การสร้างภาพและความรู้สึกต่อภาพยนตร์เรื่อง The Farewell
สำหรับภาพยนตร์ที่ฉากถ่ายทำนั้นอยู่แค่ในห้องแคบๆ และฉากในฮอลล์ใหญ่เพียงฉากเดียวเท่านั้น แต่กับภาพยนตร์เรื่อง The Farewell ได้สร้างงานภาพที่แข็งแรงและบรรยากาศที่โดดเด่น ภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพที่ชัดเจนที่อยู่ในหัวของลูลู่หวังตั้งแต่เริ่มแรกในการใส่ถ้อยคำลงไปในบทภาพยนตร์ “ฉันรู้ตั้งแต่แต่แรกว่าโทนหนังของฉันนั้นจะสามารถสำเร็จได้ด้วยการใช้แสงไฟ” เธอกล่าว “ฉันรู้ว่าฉันอยากใช้ไฟฟลูออเรสเซ้นส์ ที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในจีน มันเป็นแสงไฟที่ไม่ได้ทำให้เราสบายใจ แล้วบ้านส่วนใหญ่ก็ใช้หลอดไฟแบบนี้ เพราะหลอดไฟแบบนี้เป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย มันไม่มีหลอดไฟแบบสลัวๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความโรแมนติกเลยสักที่ในประเทศนี้
หลอดไฟได้กลายมาเป็นการถ่ายทอดความหมายของภาพยนตร์เมื่อแสงของมันแสดงให้เห็นถึงความหนาวและความกระอักกระอ่วน แต่กลายเป็นว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นสามารถเอาชนะความเยือกเย็นให้กลายมาเป็นความอบอุ่นและความผูกพันอันใกล้ชิดได้ “ความย้อนแย้งในสีภาพและความสัมพันธ์ในเรื่องราวคือความแตกต่างที่ฉันชอบและอยากเอามันมาเล่า”
การได้มาซึ่งสไตล์โทนภาพของภาพยนตร์ ลูลู่ หวัง ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ ผู้กำกับภาพที่เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกันอย่าง แอนนา ฟรานเคสซ่า โซลาโน่ และ ผู้กำกับศิลป์อย่าง ยอง ออก ลี
“แอนนา เป็น ผู้กำกับภาพที่เน้นงานของการเล่าเรื่อง” หวัง กล่าว “เธอเป็นคนที่มีความรู้เรื่องภาพยนตร์สูงมาก เราสามารถพูดคุยกันได้ตั้งแต่ผลงานของ ไมค์ ลี ไปจนถึง โคเร-เอดะ ไปจนถึง รูเบน ออสลัน และ ฉันรักการที่เธอเป็นคนถ่ายภาพสไตล์แบบยุโรป เธอไม่เคยถ่ายงานด้านภาพยนตร์คอมิดี้มาก่อนเลย ซึ่งมันก็น่าตื่นเต้นมาก เราทั้งคู่ต่างมีไอเดีย ในการจะถ่ายทำเฟรมภาพอย่างไรเมื่อมันถึงซีนตลก เราได้สื่อสารกันตลอดเวลาว่าเราจะสื่อสารภาพถึงความอบอุ่นของครอบครัวนี้ได้อย่างไร แล้วทุกคนในภาพยนตร์เรื่องนี้จะถ่ายทอดอารมณ์ของตัวเองออกมาได้อย่างไร ซึ่งทุกคนจะมีพื้นที่ของตัวเองในการถ่ายทอดแสดงออกถึงความรักที่มีต่ออาม่า”
อีกหนึ่งไอเดียที่หวัง และ โซลาโน่ ให้ความสำคัญคือเรื่องของการสร้างเฟรมขนาดภาพ เพื่อสื่อสารการรวมตัวของครอบครัว “สิ่งหนึ่งที่แอนนาต้องทำคือการแบ่งแยก มื้ออาหารแต่ละมื้อ ออกจากกัน ซึ่งแต่ละมื้อจะมีความแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ชิดของครอบครัว” หวังกล่าว “อย่างเช่น การรวมกันนั่งทานอาหารในครั้งแรกที่ ฉางชุน เราจะใช้เลนส์ที่ยาวกว่าปกติ เพื่อที่จะได้ภาพแห่งความโดดเดี่ยว และ แตกแยกกันของตัวละครแต่ละตัว ในขณะที่อาม่ากำลังตื่นเต้นกับงานแต่งงานที่จะเกิดขึ้น แต่ทุกคนกลับกังวลเกี่ยวกับความลับที่ไม่อยากเปิดเผยให้อาม่ารู้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนไปในซีนหลังจากนี้”
ในฉากแรกเราได้ใช้เลนส์ในมุมกว้างเพื่อเก็บภาพ เราจึงได้เห็นเฟรมครอบครัวทั้งหมดในเฟรมเดียว “โดยปกติแล้ว เฟรมภาพมุมกว้างมักจะใช้ถ่ายวิวทิวทัศน์เสียมากกว่า แต่ฉันอยากให้ใช้มุมกว้างในการจับภาพครอบครัวเพื่อให้เห็นสีหน้า ท่าทางของทุกคนในภาพเดียว แล้วเมื่อเรากลับมาใช้กล้องมุมแคบเพื่อจับภาพบิลลี่ เราจะสามารถเห็นถึงความแปลกแยกของบิลลี่ได้อย่างชัดเจน” หวัง กล่าว
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถ่ายทำที่เมืองฉางชุน เมืองจริงที่อาม่าอาศัยอยู่ เมืองนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรมตั้งอยู่ในจังหวัดจี๋หลินทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน “ตอนแรกเราไปสำรวจเมืองใหญ่อย่าง ปักกิ่ง และ เซี่ยงไฮ้ เพราะว่าพวกเขามีความพร้อมในการถ่ายทำภาพยนตร์” หวัง กล่าว “แต่สุดท้ายแล้ว เราก็กลับไปเลือกที่ฉางชุนอยู่ดี เพราะเมืองเล็กๆ แห่งนี้ มันมีความรู้สึกที่แปลกแตกต่างจากเมืองอื่นๆ และในซีนงานแต่งงาน สถานที่ถ่ายทำก็เป็นห้องจัดเลี้ยงที่ฉางชุนเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่เดียวกันนี้ก็เป็นที่แต่งงานของลูกพี่ลูกน้องของฉัน มันเลยทำให้การจินตนาการภาพชัดเจนเพราะมันเกิดขึ้นจริงๆ กับฉัน ในที่แห่งนี้มาแล้ว”
หวังกลับไปที่สหรัฐ เพื่อเริ่มงานตัดต่อ โดยเธอได้ร่วมงานกับ ไมเคิล เทย์เลอร์ และ แมทท์ ฟรีดแมน “การตัดต่อมันเป็นเรื่องของจังหวะ” เธอกล่าว “ไมเคิล ได้ตัดต่อดราฟท์แรกได้อย่างยอดเยี่ยมในแบบที่ฉันจินตนาการไว้ เพียงแต่มันยาวไปนิด เมื่อแมทท์เข้ามา เขาได้สร้างเวอร์ชั่นที่ตัดให้เหลือเฉพาะส่วนที่สำคัญกับเรื่องจริงๆ เขาพูดคุยกับฉันในทุกฉากทุกตอน ทำให้ฉันได้เรี่อง ตามแบบที่ฉันต้องการ ในแบบฉบับที่กระชับและสดใหม่ที่สุด”
The Farewell เป็นเรื่องที่ผสมผสานกันระหว่างความเศร้าโศก เสียงหัวเราะ และเรื่องราวหวานขม จนกระทั่งมันพุ่งไปสู่จุดไคลแมกซ์ ที่นำมาซึ่งคำถามที่ว่า คำว่า “farewell หรือคำลา” ที่แท้จริงแล้ว มันคือ สิ่งที่บิลลี่อยากพูดกับอาม่า หรือ จริงๆ แล้ว มันคือคำลาจากสิ่งที่เธอคาดหวังในภาพของครอบครัวและชีวิตที่ต้องการกันแน่
จากผลลัพธ์ของการโกหก ตอนนี้บิลลี่ต้องตั้งคำถามอีกครั้งว่า จากที่เคยมองการโกหกเป็นสิ่งที่ผิด ทำไมตอนนี้มันถึงกลับเป็นส่วนช่วยในการรักษาของอาม่า หวังบอกเพิ่มเติมว่าทุกคนในครอบครัวต่างมีคำอธิบายที่แตกต่างกันถึงเหตุผลที่อาม่าอยู่ได้อีกหลายๆ ปี ทั้งๆ ที่การวินิจฉัยจากหมอคาดการณ์ว่าอาม่าจะเสียในเวลาอันใกล้ “ฉันคิดเสมอว่ามนุษย์เราจะสามารถหาเหตุผลมาซัพพอร์ททางเลือกของเราเสมอ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม” หวัง กล่าว
“มันถึงจุดที่ฉันไม่แคร์แล้ว ว่าสิ่งที่แต่ละคนเลือกจะผิดหรือถูก” เธอกล่าว “สำหรับฉัน เรื่องนี้มันเป็นเรื่องราวของการยอมรับและการทำความเข้าใจ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะเราจะต้องมีความมั่นใจต่อเหตุผลของตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็อย่าลืมว่าคนอื่นก็มีเหตุผลของพวกเขาเองเช่นกัน”
อควาฟิน่า ก็มองเรื่องนี้ไปสองทางเช่นกัน “ฉันรู้สึกทั้งคู่” เธอกล่าวยอมรับ “เรื่องมันพาให้เราไปพบกับคำถามว่าเราจะโกหกดีมั้ย มันมีสองทางเลือก แต่เราก็ไม่รู้จะเลือกทางไหนอยู่ดี ตอนที่ฉันเล่นบทบิลลี่ ฉันเข้าใจถึงความวิตกที่ต้องกุมความลับไว้ และอดกลั้นตัวเองเพื่อที่จะไม่เปิดเผยความจริงออกมา แต่ขณะเดียวกันการโกหก ก็ส่งผลดีให้เราได้เห็นอย่างชัดเจนเช่นกัน แล้วมันก็นำไปสู่ประโยคที่ว่า ถ้าเราไม่รู้ เราไม่ผิด นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดและทุกคนสามารถแบ่งความเห็นออกไปสองทางได้ มันไม่มีทางไหนถูก และมันไม่มีทางไหนผิด เราแค่คิดต่างกันเท่านั้นเอง”
ภาพยนตร์ที่สร้างเสียฮือฮาให้กับเทศกาลภาพยนตร์ Sundance ที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลาม
The Farewell สร้างและจัดจำหน่ายโดยค่ายภาพยนตร์ A24 (Hereditary, Moonlight) ที่พูดถึงความสัมพันธ์ของคนอเมริกันเชื้อสายจีน และมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เรื่องราวเกี่ยวกับบิลลี่ นักเขียนสาวอเมริกันเชื้อสายจีน ที่ได้ทราบข่าวจากพ่อแม่ของเธอว่า ย่าของเธอที่อยู่ที่จีนนั้นป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายและมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ครอบครัวจึงจัดงานเลี้ยงรวมญาติขึ้น โดยที่ทุกคนต่างปิดความลับไม่ให้ย่าได้ล่วงรู้ถึงอาการของตน บิลลี่ที่ไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรม กำลังจะได้เรียนรู้วิถีชีวิต ความสัมพันธ์ ความต่างระหว่างโลกตะวันตก โลกตะวันออก และความหมายที่แท้จริงของคำว่า ครอบครัว
ผลงานการกำกับของ Lulu Wang ถ่ายทอดประสบการณ์จริงของชีวิตผ่านงานภาพยนตร์ ร่วมด้วยนักแสดงอย่าง Awkwafina จาก Crazy Rich Asians
The Farewell กอดสุดท้ายคุณยายที่รัก เข้าฉาย 19 ธันวาคม ในโรงภาพยนตร์