ทำไมถึงสร้างหนัง Elvis? ผู้กำกับเล่า พร้อมเผยเหตุผลที่ต้องเป็นออสติน บัตเลอร์ในบทนี้

 

 

ทำไมถึงสร้างหนัง Elvis? ผู้กำกับเล่า

พร้อมเผยเหตุผลที่ต้องเป็นออสติน บัตเลอร์ในบทนี้

 

สำหรับการปลุกชีพชายที่มีทั้งความเป็นศิลปะและสร้างอิทธิพลแผ่กระจายได้กว้างถึง 4 มุมโลกมายาวนานกว่า 60 ปี ผู้สร้างภาพยนตร์ค้นหาเป็นวงกว้างกว่าจะพบออสติน บัตเลอร์ เลอห์มานน์กล่าว “ผมรู้ว่าจะทำหนังเรื่องนี้ไม่ได้หากนักแสดงไม่เหมาะสม และเราได้พบกับนักแสดงที่มีการเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ มีคุณภาพน้ำเสียงที่เหมือนกับนักร้องอย่างไร้ที่ติ และมีคุณสมบัติภายในที่เหมือนกับศิลปิน ผมได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับออสติน บัตเลอร์ว่าเขาถ่ายทอดการแสดงได้อย่างโดดเด่นคู่กับเดนเซล วอชิงตัน ในเรื่อง ‘The Iceman Cometh’ บนบรอดเวย์ รวมถึงผ่านการทดสอบหน้าจออย่างเข้มข้น มีเวิร์คชอปด้านเสียงดนตรีและการแสดง ผมรู้ว่าได้พบกับคนที่มีสปิริตแห่งความเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลกเข้าให้แล้ว”

               บัตเลอร์เล่าว่า “สิ่งที่ทำให้ผมเกิดความสนใจเกี่ยวกับคนดังเสมอ คือความเป็นมนุษย์ของเขาที่สำคัญสุดเป็นอย่างแรก เอลวิสมีจุดเริ่มต้นจากการเป็นเด็กที่ไม่มีอะไรเลย จากนั้นกลายเป็นคนที่ชื่อเสียงมากที่สุดบนโลก มันคือความฝันของชาวอเมริกัน เขายังคงครองใจมายาวนานหลายยุคสมัยจนเหมือนเขามีอายุนานนับ 100 ปี ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกที่เขามีอายุได้เพียง 42 ปี”

               ทีมผู้สร้างของเลอห์มานน์ในเรื่อง “Elvis” ได้รวมถึงผู้ร่วมงานมาอย่างยาวนานของเขา แคทเธอรีน มาร์ติน ที่นับตั้งแต่ร่วมงานกับผู้กำกับฯ ในเรื่อง “Strictly Ballroom” ยังทำหน้าที่ออกแบบฉากและเครื่องแต่งกาย รวมถึงผู้อำนวยการสร้างที่มีฝีมือ เกล เบอร์แมน จาก Jackal Group แพทริค แม็คคอร์มิค และชุยเลอร์ วีซ

 

 

มาร์ตินเล่าว่า “บาซสนใจเรื่องราวของเอลวิสมาโดยตลอด มันจึงเหมือนการกลั่นกรองเรื่องราวเบื้องหลังก่อนที่จะมาโฟกัสเรื่องราวของเราเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าผมชื่นชมการถ่ายทอดเสียงอันทรงพลังของเอลวิส และเข้าใจว่าเรื่องวัฒนธรรมก็มีส่วนสำคัญ แต่เมื่อบาซถ่ายทอดจินตนาการของเขาให้ผมฟัง ผมนึกภาพออกเลยว่าชื่อเสียงที่โด่งดังของเอลวิสเหมือนกับอิคารัสที่บินเข้าหาพระอาทิตย์ มันเป็นเรื่องราวที่สะเทือนอารมณ์และแฝงข้อคิดของการใช้ชื่อเสียงอย่างไม่ถูกต้อง”

เลอร์แมนเล่าว่า “ภาพยนตร์มีอะไรมากกว่าเรื่องราวชีวิตส่วนตัว เราต้องยกย่องในความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของบาซและความชื่นชมในตัวเอลวิส เขาไม่ใช่แค่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์โดยถ่ายทอดเรื่องราวของอเมริกาได้ด้วย บาซสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่เห็นกันอย่างผิวเผินแล้วค่อยๆ เจาะลึกลงไป สะท้อนความจริงออกมาได้ เรื่องราวของเอลวิสมีอะไรมากกว่าทที่หลายคนรู้ และบาซมีสไตล์การเล่าทั้งเรื่องราวในภาพยนตร์และดนตรีได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เขาเป็นศิลปินคนเดียวที่ผมรู้ว่าใครจะถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตนี้สู่หน้าจอได้”

แม็คคอร์มิคพบว่าเลอห์มานน์เหมาะกับเนื้อเรื่องอย่างชัดเจน เขาเล่าว่า “สำหรับการถ่ายทอดเรื่องราวนี้เกี่ยวข้องกับนักแสดงจำนวนมาก ไม่ใช่แค่นักแสดงของปาร์คเกอร์หรือเอลวิส บาซในฐานะของผู้กำกับฯ ก็มีพรสวรรค์พิเศษโดยเฉพาะด้านดนตรี บาซมีส่วนร่วมในวงการบันทึกเสียง และรู้เรื่องศิลปินที่แสดง มีไอเดียใหม่ๆ สำหรับการสร้างและค้นหาดนตรีของแต่ละยุคสำหรับภาพยนตร์ได้อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เขาจะหาวิธีเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียนตามสไตล์ของบาซ”

วีซร่วมงานกับผู้กำกับฯ อย่างใกล้ชิดมานานหลายปีในหลายโปรเจ็กต์ เขาได้เล่าเรื่องวงในเสริมว่า “บาซพูดเสมอว่าเอลวิสเหมือนวอลเปเปอร์ เขาอยู่ทั่วทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นตัวเขาหรือดนตรีของเขา แต่ผมแทบไม่รู้เรื่องราวความเป็นมาของเอลวิส การทำงานช่วงต่างๆ ของเอลวิส และความหลากหลายทางดนตรีและวัฒนธรรมที่เขาสร้างแรงจูงใจได้มากมาย นั่นคือสิงที่ผมเริ่มทำการค้นคว้าเมื่อเราลงลึกเกี่ยวกับโปรเจ็กต์นี้ ซึ่งสิ่งที่ค้นพบทำให้ผมตื่นเต้นและอยากเรียนรู้มากขึ้น”

 

 

การถ่ายทำทั้งหมดเกิดขึ้นที่ออสเตรเลียบ้านเกิดของเลอห์มานน์ ผู้สร้างภาพยนตร์เสาะหาผู้มีความสามารถมากมายที่จะมารับบทสำคัญของเรือง “เราเชิญเฮเล็น ธอมสัน นักแสดงคนสำคัญของโรงละครในซิดนีย์และเมลเบิร์นมารับบท กลาดิส แม่ของเอลวิส รวมถึงนักแสดงที่ผมเคยร่วมงานด้วยเป็นเวลาหลายปี เช่น ริชาร์ด ร็อกซ์เบิร์ก ผู้รับบท เวอร์นอน พ่อของเอลวิส และเดวิด เว็นแฮม ผู้รับบทแฮงค์ สโนว์ สิ่งหนึ่งที่ผมรักในงานนี้คือการได้กลับมาร่วมงานกับผู้ร่วมงานที่ทำงานกันมาอย่างยาวนานเหล่านั้น” เลอห์มานน์ กล่าว

 

 สำหรับแฟนหนังเมเจอร์ ห้ามพลาดกับบัตรดูหนังสุดคุ้ม M PASS ที่จะทำให้คุณคุ้มเต็มอิ่มกับการดูหนังตลอดทั้งปี เตรียมไปมันส์กับกองทัพหนังดังมากมาย สมัครง่ายๆเพียงแค่คลิก ที่นี่