HIGHLIGHT CONTENT

บทสัมภาษณ์ "แดน-วรเวช" จาก The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ

  • 10,569
  • 01 ธ.ค. 2014

“แดน-วรเวช ดานุวงศ์” นั่งแท่นควบคุมงานสร้างและแสดงนำในหนังตลกอารมณ์ดี “ตัวพ่อเรียกพ่อ” (The One Ticket)

บทบาท-คาแร็คเตอร์             ในเรื่อง The One Ticket ตัวพ่อ เรียกพ่อ” ผมรับบทเป็น “โป้ง” ก็จะเป็นคนใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไปเรื่อย ๆ ปล่อยมันดำเนินไป แต่ว่าเป็นคนมีความฝันนะ ฝันว่าอยากจะเป็นนู่นเป็นนี่ อยากจะทำนู่นนี่ อยากจะมีงานที่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มันติดตรงที่ฝันแต่ไม่ทำเท่านั้นเองครับ ในเรื่องก็จะเป็นนักเขียนการ์ตูนที่มักจะเขียนการ์ตูน คิดการ์ตูนออกก็ต่อเมื่อเงินมันช้อตเท่านั้นเองครับ แต่โดยรวมแล้วคือเป็นพ่อนที่รักลูกมากๆ แต่ไม่แสดงออก ทุ่มเทสิ่งดีๆ ให้ลูกสาวอยู่ตลอด เรื่องราวฮาชุลมุนแสนอบอุ่นในเรื่องนี้ เรื่องมันเกิดจากการที่พ่อกับลูกคู่หนึ่งที่ใช้ชีวิตกันแบบรูมเมทคือต่างคนก็ต่างมีชีวิตของตัวเองกลับมาที่บ้านกลับมาที่ห้องก็เจอกันยิ้มให้กัน ทักทายบ้างหรือบางวันอาจจะลืมยิ้มให้กันก็มี นี่ก็อยู่ด้วยกันไปอยู่ด้วยกันมาแต่เรื่องมันก็ดันเกิดขึ้นคือ ตัวลูกเนี่ยชอบวงเกิร์ลกรุ๊ปญี่ปุ่นที่ชื่อ “เบอร์รี่ซ์ โคโบ” (Berryz Kuobuo) มากๆ ครับ พยายามหาทางเก็บเงินจากที่นู่นที่นี่เต็มไปหมด เพื่อมาซื้อบัตรคอนเสิร์ตวงนี้ที่จะมาเล่นคอนเสิร์ตยิ่งใหญ่มากที่เมืองไทย ก็เลยฝากให้พ่อจองบัตรให้หน่อย แต่ด้วยความสะเพร่ามั่วซั่วของตัวโป้งดันเอาเงินไปใช้ต่อยอดอย่างอื่น แถมไม่สามารถจองบัตรให้ลูกได้อีก ความซวยพร้อมความสนุกก็เลยเกิดขึ้น ณ จุดนี้ว่าตัวโป้งรวมถึงแก๊งเพื่อนๆ เนี่ยจะทำยังไงเพื่อที่จะหาบัตรคอนเสิร์ตมาคืนลูกให้ได้ ฟังดูเหมือนจะมีแค่เหตุการณ์ที่เป็นความสนุกคอเมดี้แบบนี้ แต่ว่าคือเรื่องนี้เนี่ย สิ่งที่จะอยู่ข้างในคือทำไมถึงตั้งชื่อเรื่อง The One Ticket จริงๆ มันคือตั๋วใบเดียวเนี่ยกำลังจะเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตของคนๆ หนึ่ง เราคิดว่านี่เหมือนเป็นแค่สิ่งเล็กๆ  แต่บางครั้งเรื่องเล็กๆ นี้ก็สามารถเปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนคน เปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้นได้ หรือเปลี่ยนสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้แย่ลงสุดๆ ก็ได้ เรื่องนี้เราถึงบอกว่าอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ บางทีมันสามารถสร้างเรื่องใหญ่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ ตัวละครโป้งมีความเหมือนหรือว่าแตกต่างจากตัวแดนยังไง ผมว่าเหมือนกันตรงที่เป็นคนมีความฝัน แต่ว่าต่างกันตรงที่ผมเป็นคนที่มีความฝันแล้วผมมักจะทำมันอ่ะ แต่ตัวโป้งฝันแล้วไม่ทำ แล้วก็ต่างกันตรงที่เวลาผมฝันแล้วผมมักจะหาจุดเหนี่ยวรั้งของชีวิตผมหรือว่าตัวที่จะพาผมไปสู่ฝันนั้นๆ ให้ได้ นั่นก็คือคำว่าแรงบันดาลใจ คำว่าแรงบันดาลใจของผมเหมือนพลังแฝง พลังแฝงในที่นี้ก็คือยกตัวอย่างนะครับเหมือนกับเวลาเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้แล้วมีคนสามารถยกตุ่มได้ ไอ้สิ่งเหล่านี้ล่ะครับที่จะผลักดันให้คนประสบความสำเร็จสูงสุดได้ ซึ่งโป้งยังไม่มีสิ่งนั้นในเรื่องตอนต้น แต่หลังจากนั้นเราจะเริ่มเห็นการพัฒนาของเขาเอง เต็มที่มากครับในเรื่องนี้ เหมือนได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเองเต็มที่มาก อะไรที่เป็นตัวเราอยู่ในนี้เยอะมาก แต่ก็มีเพิ่มสีสันให้มันสนุกมากขึ้น เราก็พยายามดีไซน์คาแร็คเตอร์ให้มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ในแง่การทำงานเรื่องนี้จะแตกต่างจากสองเรื่องก่อนยังไง             แตกต่างมากครับ ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องบอกว่ามันแตกต่างมากจริงๆ เพราะว่าครั้งนี้ผมรับอยู่แค่ 2 บทบาทคือการเป็นโปรดิวเซอร์กับการเป็นนักแสดงจริง ๆ ครับ เราจะมีเวลาให้กับการแสดงมากเลยครับ ซึ่งมันเป็นความต้องการของผมเองที่ผมถอยออกมา ที่ผมตัดสินใจไม่กำกับ แต่ว่าเลือกผู้กำกับที่โตมากับผมคือ พี่ปอย (ณภัทร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา) ครับ คนนี้ทำงานกับผมมานานมาก ก็ตั้งแต่ยังไม่มีอะไร ตั้งแต่ทำงานยังไม่ได้ตังค์กัน ทำงานอะไรก็อยู่กับผมนะ แชร์ความคิดกันตลอด ทั้งผ่านมิวสิควิดีโอ ทั้งหนังสั้น คือแทบๆ ทุกชิ้นงานเบื้องหลังของผมจะมีเขาอยู่ข้าง ๆ ผมตลอด วันนี้ผมรู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว และที่เลือกเขาเพราะว่าความคิดเขากับผมมันไปในทิศทางเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราจะคุยและจูนอะไรกันก็ง่าย ผมคิดว่ามันก็เหมาะแล้วที่จะถึงเวลาของเขา สิ่งที่แตกต่างระหว่างผมกับเขามันคือเขาจะแฟนตาซีกว่าผมหน่อยนึงครับ คือเขาจะมีความเป็นโป้งมากกว่าผมด้วยซ้ำ ตัวพี่ปอยเอง คือจริง ๆ แล้วเราก็พยายามค้นหาจากตัวเขานั่นล่ะ ถ้าผู้กำกับคนไหนที่จะมาทำงานกับผม ผมอยากให้ได้คาแร็คเตอร์เขาจริงๆ ผมบอกเขาตลอดว่าเมื่อไหร่ที่พี่จะทำหนัง พี่ต้องหาพล็อตมาให้ผมรู้สึกว่าเป็นพี่ให้ได้ก่อน ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขาพูดคุยกับผมว่า เขามีเรื่องนึงที่อยากทำ เขาขายผมมาเป็นสิบกว่าเรื่องที่ผมไม่หยุดฟังเขาเลย มีเรื่องนี้ล่ะที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นเขา แล้วก็ช่วยพัฒนากันมาเรื่อยๆ ที่มาที่ไปและแรงบันดาลใจของเรื่องนี้             คือจริงๆ แล้วแรงบันดาลใจจริงๆ เลยคงมาจากพี่ปอยผู้กำกับนะครับ คือผมอยู่กับพี่ปอยมา ผมเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเขาหมดครับ อย่างเวลาเขาขายงานผม อยากทำหนังเรื่องนู้นเรื่องนี้ ผมว่ามันยังไม่ใช่ นั่นก็ดาร์กไป นี่ก็ดิ่งไป ผมว่ามันไม่ใช่ตัวเขาสักทีครับ จนวันหนึ่งเขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วเขาก็พูดเกี่ยวกับลูกเขาครับในมุมบวก ผมรู้สึกว่านี่ล่ะ อันนี้แหละคือเขา แต่ผมก็คิดว่าถ้าเป็นแบบนี้มันต้องเป็นชีวิตเขา มันต้องมีบางอย่างที่มาจากตัวเขา ผมก็เรียกคนเขียนบทเข้ามาพูดคุย ซึ่งคนเขียนบทคือน้องชายเขา เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ซึ่งเป็นเพื่อนรักผมอีกคนหนึ่งเหมือนกัน เราก็เลยทำงานกัน 3 คนในเรื่องของการลุยบท คาแร็คเตอร์แรกที่เกิดขึ้นคือ “โป้ง” เพราะฉะนั้นอย่าตกใจถ้าเรื่องนี้สมมติว่ามี 100 ซีน จะเห็นโป้งประมาณ 98 ซีน เพราะว่าตัวแรกที่มันเกิดขึ้นของเรื่องนี้เป็นแกนของเรื่องเลยคือโป้ง ซึ่งเราวิเคราะห์มาจากตัวผู้กำกับเขาเลยครับ เราวิเคราะห์ทางเชิงลึก แรงบันดาลใจนี้ไม่ได้มาจากความตลกขบขันของเขาด้วยนะครับ มันมาจากมุมลึกของเขาว่า เขาเป็นคนที่เป็นแบบโป้งในเรื่องเลยอ่ะ คือคิดว่าอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาก็ไม่เคยเขียนการ์ตูนจบสักเล่มเลยครับ เขาเอาการ์ตูนให้ผมอ่านเยอะมาก หลายเรื่องมากเลยครับ ผมไม่เคยเห็นการ์ตูนเรื่องไหนเขาเขียนจบเลย แล้วผมก็บอกว่าทำไมไม่เขียนเรื่องนั้นต่อวะพี่ ทำไมไม่เขียนเรื่องนี้ต่อวะพี่ เขาก็บอกมันตันว่ะกูคิดไม่ออกว่ะ แต่ก็นั่งเล่นเกมนะ แล้วแบบทำไมพี่ไม่เอาเวลานี้มาเขียนการ์ตูนวะ กูคิดไม่ออกอ่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูเปลี่ยนเรื่องใหม่ เรื่องใหม่กูเป็นอย่างนี้เว้ย คือมีเรื่องใหม่มาอีกแล้วเรื่องเก่ายังเคลียร์ไม่จบเลย แล้วชีวิตเขาก็วนอยู่อย่างนี้ตลอดครับ แล้วแบบวันหนึ่งเขาก็บอกอยากเป็นผู้กำกับหนังสักเรื่องหนึ่ง คงเจ๋งว่ะ เราก็เลยบอกว่าผู้กำกับมันไม่ได้ง่ายนะพี่ ไม่ใช่ว่าแบบใคร ๆ จะเป็นก็ได้อ่ะ คือถ้าพี่จะเป็นพี่ก็ต้องเป็นผู้กำกับที่อยู่ได้ยาว ๆ อ่ะ ไม่ใช่ผู้กำกับที่มาเรื่องเดียวแล้วก็หายไป ก็เลยแบบค่อยๆ  ให้มาศึกษาจริง กว่าผมจะมาตรงนี้ได้ ผมต้องเริ่มจากงานเล็กก่อนพี่ ถ้าวันหนึ่งพี่มีความใฝ่ฝันว่าจะเป็นผู้กำกับอ่ะ พี่ต้องอยู่ข้างผมตลอดอย่างนี้ล่ะ ไปด้วยกันแล้วผมจะบอกพี่เองว่า อะไรเวิร์กไม่เวิร์ก ผมจะลองผิดลองถูกให้พี่ก่อนเพราะว่าผมมีเครดิตในการที่ผมสูญเสียเครดิตบางอย่างยังพอได้ ผมยังพอมีต้นทุนในการทดลองนู่นนี่ แล้วพี่ก็ดูผมเอาแล้วกัน แล้วผมจะคอยบอกพี่เป็นระยะๆ วันหนึ่งผมรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้ว ซึ่งเขาก็ไม่ได้บอกนะว่าอยากกำกับขนาดนั้น เขาคิดแล้วว่าจะเป็นผู้ช่วยผมไปตลอดอย่างนี้ล่ะ เขาแฮปปี้ละ แต่วันหนึ่งพอเขามีลูกเขาก็รักลูกเขามาก เขาพูดขึ้นมาคำหนึ่งแล้วทำให้ผมรู้สึกว่างั้นวันนี้มันจะเป็นจุดเปลี่ยนของเขา เขาก็บอกว่ากูจะทำอะไรให้ลูกภูมิใจดีวะ แล้วถ้ากูอยู่อย่างนี้แล้ววันหนึ่งลูกกูโตขึ้นมา แล้วจะบอกลูกว่าตำแหน่งหน้าที่อาชีพจริงๆ คืออะไร นักแสดงเหรอก็ไม่ค่อยได้เล่นแล้ว หรือว่าจะเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ผมก็บอกคงภูมิใจหมดล่ะพี่ทุกตำแหน่งถ้าพ่อมีงานมีการทำเป็นคนดี ลูกคงภูมิใจหมด แต่ไอ้คำนั้นเนี่ยผมรู้สึกว่าความสามารถเขามันไปได้ไกลกว่านั้นครับ มันสามารถทำให้ลูกเขาภูมิใจอะไรได้อีกเยอะในความสามารถของเขา ก็เลยตัดสินใจบอกว่างั้นลองทำเรื่องนี้ดูไหม พี่ลองทำดู ถ้าพี่ทำหนังเรื่องนี้จบไปพร้อมกับไอ้โป้งเนี่ย พี่กับโป้งมันจะทำฝันของตัวเองสำเร็จไปพร้อมกัน เปลี่ยนไปพร้อมกัน จากที่ไม่เคยทำอะไรสำเร็จ ไม่เคยทำอะไรจริงๆ จังๆ เลยแต่เรงบันดาลใจในวันนี้คืออันเดียวกันคือลูกครับซึ่งผมคิดว่าโปรเจ็คต์นี้เหมาะกับเขาที่สุดแล้ว การทำงานร่วมกันตั้งแต่เริ่มโปรเจ็คต์จนออกมาเป็นหนังเรื่องนี้             ผมพอใจครับ พอใจมากกับภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ แล้วก็มีความสุขกับทีมงานทุกคนนะครับ แล้วก็นั่นแหละครับอย่างที่บอกว่ามันจะเป็นหนังที่ดีครับจากที่ผมลองทำ ผมทำมาอย่างเต็มที่ในสองเรื่องแรก ลองผิดลองถูกทุกอย่าง เข้าไปเรียนรู้กับมันทุกขั้นตอน ไม่เคยปล่อยให้ชิ้นงานไหนของผมมันสูญเสียเวลาไป หรือสูญเงินไปโดยแบบเปล่าประโยชน์เลย ผมศึกษากับทุกๆ ชิ้นงานของผม ผมอ่านทุกคอมเม้นต์ ผมอยู่กับทุกๆ งานผมตลอด ผมนั่งดู เอางานตัวเองมานั่งดูบ่อยมากครับ คือแบบเดือนหนึ่งดู สองอาทิตย์เอามาดู ก็ดูว่าในวันนั้นเราคิดอะไรอยู่วะ แล้ววันนี้เราคิดต่างไปหรือเปล่า เราเปลี่ยนไปมั้ย เรารู้สึกว่าหนังเราดีน้อยลงกว่าวันที่เราทำเสร็จวันนั้นหรือเปล่า ก็มาพัฒนาดูเรื่อยๆ ตรงไหนขาด ตรงไหนไม่ดีก็เติม ทีมงานตรงไหนที่ยังไม่ตอบโจทย์เราบ้าง ก็ลองทีมงานอีกกลุ่มดูไหมเผื่อว่าจะตอบโจทย์ชิ้นงานของเรามากกว่าอะไรแบบนี้ครับ เรื่องของการเลือกสไตล์คนทำงาน ตอนนี้จิ๊กซอว์ต่างๆ ก็ค่อนข้างจะสมบูรณ์ละ แล้วก็หวังว่าจนจบเป็นหนังมาสเตอร์เนี่ยมันจะดีนะครับผมหวังไว้แบบนั้น จุดไหนที่แดนมองว่ามันเหมาะกับการเป็นผู้กำกับของปอย             คือเวลาทำงานกันเขาจะอยู่ในพาร์ทเติมสีให้กับงานผมครับ คือการทำงานรวมกันของทีมผม คือผมจะเป็นคนคิดธีมขึ้นมา คิดประเด็นแล้วก็คิดทิศทางตั้งแต่ต้นจนจบของงานแล้วผมก็จะเริ่มขั้นตอนที่สอง ผมจะเริ่มคุยกับพี่ปอยแล้วพี่ปอยเติมสีให้หนังหน่อย คือแบบความเว่อร์ ความตลกสุด ความฟุ้งอ่ะครับ แล้วผมก็เลือกดึงบางจุดของเขามาใช้ พี่อันนี้ผมเอา อันนี้ไม่เอา อันนี้ก็เว่อร์เกิน อะไรอย่างนี้ แต่ผมต้องการสิ่งนั้น เขาจะเป็นคนที่อ่านการ์ตูนเยอะ เล่นเกมเยอะเขาจะมีภาพจินตนาการเขาจะสูงมากครับ ซึ่งนั่นคือข้อดีที่ผมไม่มี แล้วผมก็คิดว่าถ้าเขากำกับเราคงได้สีสันของหนังหรืออะไรบางอย่างที่มันฉูดฉาดขึ้นแล้วก็เปลี่ยนไปจากเดิมครับ ต่างจากหนังรักโรแมนติกสองเรื่องแรกยังไงบ้าง             ต่างเลยครับ เรื่องนี้เราจะพูดถึงเรื่องความรักของพ่อและลูก แต่ถ้าแค่ฟังว่าเป็นเรื่องความรักของพ่อลูกจะรู้สึกว่ามันจะดราม่าครอบครัวอะไรอย่างนี้ขนาดนั้นหรือเปล่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้ยังคงความเป็นคอเมดี้อยู่ครับ คือผมอยากให้ทุกคน ส่วนใหญ่ รู้สึกถึงความสนุกให้ได้ ผมก็จะพยายามพัฒนาต่อไป สองเรื่องแรกของผมก็พยายามเรียนรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างว่าอันไหนที่มันดีเราก็ขยายให้มันดีขึ้น อันไหนที่เราโดนคอมเม้นต์มาว่ายังไม่ค่อยเวิร์กนู่นนี่ เราก็พยายามปรับมาตลอดครับ ปรับเปลี่ยนทั้งวิธีการคิดของเรา ปรับเปลี่ยนทั้งทีมงาน ปรับเปลี่ยนทั้งทุกสิ่งทุกอย่าง เราลองผิดลองถูกมาตลอดครับ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้มันจะเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันยังมีสีสันมิตรภาพของความเป็นเพื่อนในเรื่องนี้ด้วย             แน่นอนครับ คำว่ามิตรภาพมันมักจะเกิดขึ้นเสมอๆ ในหนังของผมครับ เพราะว่ามันอาจจะเป็นตัวผมด้วยมั้งครับ เวลาที่ผมทำงาน ผมจะทำงานกันเป็นทีมมากนะครับ ก็จะอยู่ด้วยกันเวลาคุยปรึกษาอะไรกันก็จะพยายามหันหน้าเข้าหาทีมกันก่อน คือจะไม่มีใครโดดเด้งขึ้นมาว่าฉันตัวคนเดียว ก็มิตรภาพเหล่านี้มันก็เลยเกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็จะแสดงความเป็นมิตรภาพสูงมากครับ มันเหมือนหนังสองเรื่องเลยนะความรู้สึกผม พาร์ทหนึ่งเป็นครอบครัวโรแมนติกกุ๊กกิ๊ก แต่พอไปอีกพาร์ทก็จะมีความเป็นเพื่อนไม่ว่าจะมีพี่แอนนา, พี่โจอี้, กอล์ฟ, ใหม่ไอน้ำ หรือทุกคนที่เข้ามาเป็นแก๊งเพื่อนของผมนี่จะเป็นอีกโลกหนึ่งเลย คือถ้าเมื่อไหร่เราปั่นจักรยานออกจาก “จุ๋ยแมนชั่น” มันก็จะเข้าสู่โลกอีกโลกหนึ่งที่มันสุดไปอีกด้านหนึ่งเลย  Rangeของหนังมันจะกว้างมากครับ คือแบบคอเมดี้ก็คอเมดี้สุดไปเลย ดราม่าก็จะดาร์กก็จริงๆ ได้ให้ความคิดเห็นหรือแนะนำด้านการกำกับบ้างไหม             คือผมก็คุยกันก่อนหน้านี้อยู่แล้ว คือพวกผมจะเป็นเพื่อนกันก็จริง แต่ก็พยายามจะอยู่ในขอบเขตของหน้าที่ของแต่ละคนให้มันชัดเจนที่สุด เมื่อวันนี้ถึงหน้าที่เขากำกับ ผมก็ปล่อยให้เขากำกับมากที่สุด ซึ่งการทำงานผมมันจะอยู่ในขั้นของการจบที่ก่อนการจะเริ่มเปิดกล้อง ประชุมกันให้เสร็จว่าสิ่งที่เราต้องการ ต้องการอะไร เราเป็นแบบนี้ แค่นี้นะ ประมาณนี้ โอเค อย่าไปเติมเยอะ สร้างสรรค์ใหม่หรือว่าเปลี่ยนอะไรกลางเซ็ต ผมจะแค่เข้าไปทักก็ต่อเมื่อที่ความฟุ้งของเขากระจัดกระจายออกมาในระหว่างหน้าเซ็ตเท่านั้นเอง อันนี้เดี๋ยวมันเละนะพี่ อันนี้ไม่ใช่ เราไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ ประโยคนี้ที่พูดเสริมขึ้นมาไม่เข้ากับเรื่องนะพี่ คือผมจะมีหน้าที่แค่คอยดูภาพรวมว่าอะไรที่มันไม่ค่อยตรงกับที่เคยคุยกันไว้ ผมพูดกันตลอดว่าเวลาผมทำงานผมไม่เคยมีอีโก้กับใครเลยนะ คือในระหว่างที่ผมกำกับอยู่ในทุกๆ งานนะ ผมจะบอกเขาตลอดว่าพี่ถ้าทำแบบนี้คนจะรู้สึกแบบนี้กับเรานะ ทำแบบนั้นจะรู้สึกแบบนี้นะ คือผมจะบอกเขาตลอดว่าเราไม่ได้ทำงานอยู่คนเดียวนะพี่ คือคนที่อยู่ข้างหลังเราไม่ว่าจะทีมงานหรือใครก็ตาม คนกลุ่มนี้ล่ะที่จะพาพี่ไปถึงจุดที่พี่ต้องการได้ คนเราต้องมีคนซับพอร์ตตลอด แบทแมนยังมีผู้ช่วยเลยทุกคนมันต้องมี เพราะฉะนั้นอย่าเอาใจตัวเอง อย่ายึดตัวเองเป็นที่สุดของโลก แล้วก็บอกเขาว่ามันไม่มีอะไรเพอร์เฟ็คต์หรอกพี่ จริงๆ เขาอาจจะเป็นคนที่ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างตามหัวเขามากอ่ะ คือทุกอย่างต้องอย่างที่เขาคิดให้ได้ อันอื่นเขาเข้าใจหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็ค่อยๆ ปรับนะครับ เพราะคนที่อยากได้อะไรที่มันอยู่ในหัวของตัวเองเยอะๆ เนี่ย เขามักจะลืมมองคนข้างๆ ทำไมทำอันนี้ให้เขาไม่ได้ ทำไมทำอันนู้นให้เขาไม่ได้ ก็มีการพูดคุยกันบ้าง แต่ผมเข้าใจเขาในหลายๆ กรณีว่าพอเราเป็นผู้กำกับเนี่ย มาแบกกองเนี่ยมันเครียดมากนะ แล้วปัญหามันเยอะครับ ในกองปัญหามากมาย อันนู้นไม่ได้ อันนี้ไม่ได้ ฟ้าฝน เวลา งบประมาณก็ใกล้จะหมด หรืออะไรแบบนี้ ซึ่งมันเป็นเพราะอยู่กับผมเนี่ย เขาจะเป็นผู้กำกับที่คำนวณตัวเลขไปโดยปริยาย คือติดผมมา แต่ผมก็จะบอกเขาว่าพี่ไม่ต้องคิดเรื่องตัวเลข วันนี้ตัวเลขเป็นเรื่องของผม เรื่องการบริหารจัดการกองเป็นเรื่องของผม พี่แค่กำกับไป ถ้ามันถึงเวลาพี่จะเห็นผมนั่งอยู่ข้างๆ พี่เองว่าเราตัดคัตนี้ออกกันดีไหม หรืออะไร ก็จะผ่อนคลายขึ้น ทุกวันนี้เขาก็เข้าใจมากขึ้น แต่มันก็ต้องจูนกันนิดนึงว่ามันไม่ได้มีอะไรเพอร์เฟ็คต์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วก็ฟังคนอื่นไว้ดีที่สุด ทำตามไม่ทำตามอีกเรื่องหนึ่ง แต่แวะมาฟังหน่อย แต่เขาก็เป็นหนึ่งในคนดูอ่ะ ผมตีความแบบนั้น คนที่อยู่ในกองก็มีความสุขได้ หรือว่าในซีนต่าง ๆ  ทำให้เขามีความสุขได้ ก็การันตีประมาณหนึ่งว่าคนที่ดูอาจจะรู้สึกมีความสุขไปด้วย ก็ยากตรงแค่แบบจูนกันในเรื่องของบางอันไม่ต้องเพอร์เฟ็คต์ขนาดนั้น ผ่อนคลายบ้าง อย่าให้กองเครียดเพราะผมไม่ชอบอยู่ในกองที่มันเครียดครับ ซึ่งข้อดีของเขาคือรับฟังผม ก็ดีครับ ก็ขอให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาก็พยายามจูนในเรื่องการทำงาน แล้วเขาก็อายุเยอะกว่าผมประมาณ 4-5 ปีครับ ซึ่งยังไงผมก็มีฐานะเป็นน้องอยู่ดี ผมก็ไม่ปีนเกลียวรุ่นพี่ ถึงแม้จะซี้กันมาก เวลาการพูดมันก็ต้องมีการกลั่นกรองประมาณหนึ่ง คือวันนี้มันเป็นตำแหน่งที่ต้องปะทะกันแล้ว ในความเป็นจริงมันก็ต้องปะทะกัน จะทำยังไงให้แบบมันคุยกันเข้าใจมากกว่าการฉะกัน มันต้องประนีประนอมกันมากขึ้น แต่จังหวะการจูนมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ แต่ว่าก็นั่นล่ะครับ ดีที่เราเป็นเพื่อนกันแล้วก็พูดคุยกันได้ แล้วผมก็จะบอกตลอดว่าเนี่ย ถ้าพี่เครียดพี่คิดอะไรไม่ออก พี่หันมาข้างหลังเถอะ พี่หันมาข้างหลังบ้าง คือทีมงานอยู่ข้างหลัง คือพี่จะทะยานไปอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก ทะลุออกไปหันมาก็เหวอ มันไม่มีใครนะครับ มันก็ดี จริงๆ แล้วเขาเป็นคนจิตใจดีมากอยู่แล้ว เขาเป็นคนมองโลกในแง่บวก เขารักเพื่อนรักฝูงอยู่แล้ว ผมก็อยากดึงมุมนั้นของเขาให้ออกมาเต็มที่สุด มาใช้กับกองนี้  ไม่ต้องแอบ คือไม่ต้องซ่อนเอาไว้ สิ่งดีๆ เอาออกมา หลังๆ กองก็มีความสุข ผมว่าเขาเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถอีกคนหนึ่ง ถ้าเขาบริหารจัดการตัวเองได้ บริหารจัดการกองทั้งหมดได้ ผมว่าเขาโอเคเลยล่ะครับ เพราะเขามีความสามารถในเรื่อง คาแร็คเตอร์เขาค่อนข้างชัดนะ   ถือว่ายากหรือง่ายกว่าเดิมในบทบาทโปรดิวเซอร์เต็มๆ ตัว ไม่ต้องกำกับไปด้วย ผมแฮปปี้กว่าครับ ถ้าในกรณีที่ผมเล่นอยู่ด้วยนะ ผมคิดว่าหลังจากนี้ผมอาจจะ...ถ้าเล่นผมจะไม่กำกับ ถ้ากำกับผมจะไม่เล่น เพราะมันไม่เวิร์กสำหรับผม ในระหว่างที่ผมกำกับด้วยแล้วผมเล่นด้วยเนี่ย สิ่งที่ผมคิดที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ สายตาผมมันกังวลอย่างเห็นได้ชัดกำลังแบบถ่ายๆ อยู่ มองหน้าอย่างนี้ ตาเหลือบมองดอลลี่แล้ว คัทครับ คือมันไปห่วงเรื่องอื่น หรือมันไปเกิดในกรณีแบบอย่าง ไปบรีฟทุกคนเสร็จ ไปดูหน้ามอนิเตอร์ เช็คแล้วว่าโอเค ได้เฟรมที่เราต้องการแล้ว ต้องเล่นด้วยวิ่งเข้ามา พอแอ็คชั่นทุกคนก็เงียบหมด เราก็เงียบทำไมวะ คือเราไม่ได้ท่องบทของเราเลยไง คือเราบรีฟทุกคนเสร็จแล้วไงเราก็นั่งดู เล่นกันดิ คือลืมว่าตัวเองมีบทด้วยนะ ต้องพูดด้วย คือมันเหนื่อยมากครับแล้วก็ที่บ้านก็ไม่ค่อยแฮปปี้อ่ะที่จะเห็นผมอยู่ในสภาพนั้นในทุกๆ วันที่กลับมามันก็เหนื่อยแล้ว ก็แบบต้องคิดอะไรในหัวตลอดเวลา แล้วมันก็ฉีกตัวเองออกมาได้ไม่พ้นเท่าไหร่ มันเหมือนจมกับชิ้นงาน แต่อย่างเรื่องนี้เล่ นผมก็อยู่กับเล่น ผมก็แบบมีเวลาอยู่กับคาแร็คเตอร์นั้นๆ มีเวลาท่องบทมีเวลาตีความ ถึงแม้ว่าบทนั้นเราจะลงมือทำร่วมกันมาก็ตาม แต่ว่ามันยังมีเวลาที่แบบมาเห็นเซ็ตจริงแล้วก็อินกับเซ็ตนี้ พูดคุยกับนักแสดง ซ้อมบทกับนักแสดงคนอื่นก่อน ที่ไม่ใช่ต้องวิ่งไปคุยกับตากล้อง ช่างภาพ หรืออะไร มันก็ดีกว่า แล้วการที่เป็นโปรดิวเซอร์เต็มๆ แบบนี้เนี่ย มันจะได้อะไรที่เราไม่มีเต็มๆ หมายถึงว่าถ้าผมเป็นผู้กำกับ เวลาคนออกไอเดียมา ภาพในหัวเราจะชัดมากไง เราจะชัดมากจนสลัดไม่หลุดอ่ะ จนสุดท้ายก็ต้องเอาไอเดียเรา แต่พอเราเป็นโปรดิวเซอร์ เรามามอง เราเห็นว่าคนนู้นได้ไอเดียอันนู้น ปล่อยให้ผู้กำกับเขาตัดสินใจไปก่อนแล้วเราค่อยมาเติมทำให้มันคมขึ้น ทำให้มันชัดเจนขึ้นเท่านั้นครับ ผมค่อนข้างมั่นใจนะว่าเรื่องนี้มันจะดีขึ้นกว่าเรื่องที่ผ่านมาหวังว่าเป็นแบบนั้น เราก็เต็มที่ที่สุดครับ เรื่องนี้มีการแก้บทเยอะมาก คือเรื่องมันถูกเตรียมงานมาตั้งแต่ปลายๆ เรื่อง “ฤดูที่ฉันเหงา” ครับ แล้วก็ทำบทกันมาเรื่อยๆ จนผมไปที่อังกฤษ แล้วก็ทางนี้ก็ยังเตรียมงานกันแล้วก็ส่งบทผ่านอีเมลกัน พูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา แล้วกลับมาผมค่อยเข้ามาบรีฟทั้งหมด ไล่ทั้งหมดใหม่อีกทีหนึ่งเป็นปีเลยครับ พูดคุยกันมาตลอด ทำงานระหว่างนั้นใครมีมุกอะไรมีเหตุการณ์อะไรก็จะรวบรวมกันไว้ แต่พอมาหน้ากองเราก็จะมีมุกสดหรืออะไรเพิ่มเติม ใช่ครับ ก็มีบ้างครับ แต่ว่าเราจะไม่แบบสร้างใหม่จนน่าตกใจ มันจะเป็นสิ่งที่เราคิดไว้แล้ว เราแค่ทำให้มันสนุกขึ้นหรือใหญ่ขึ้นเท่านั้นเอง สมมติอย่างคาแร็คเตอร์ของโป้งเราคิดมาแค่ประมาณหนึ่ง แต่พอถ่ายจริงแล้วลองเล่นหลายๆ แบบ รู้สึกว่ามันมีทางที่สนุกกว่านั้น บางอย่างมันอาจจะเปลี่ยนไปตามคาแร็คเตอร์นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง แต่หลักๆ มันก็ยังเป็นเหมือนเดิม ในแง่ของการแสดงมันง่ายขึ้นไหม มันง่ายขึ้นมาก ผมถึงบอกว่าผมแฮปปี้กับสิ่งนี้ ผมรู้สึกว่ามันดีกว่าไปเป็นนักแสดงเฉยๆ ของกองอื่นด้วยนะ เพราะเราลึกมากเลยครับ เพราะเราอยู่กับมันมานาน แล้วก็รู้ว่าคนๆ นี้ จริงๆ แล้วโป้งมันคิดอะไร มันเป็นคนยังไง มันจะไม่ทำสิ่งนี้มันจะไม่พูดสิ่งนี้ หรือว่าเวลามันโกรธมันจะโกรธได้แค่ไหน สีหน้าจะเป็นยังไง เวลาเราจริงจัง เวลาร้องไห้ มันจะร้องยังไง คือโป้งมันจะไม่ใช่พระเอก คือมันจะไม่ใช่พระเอกเลย มันไม่ใช่ผู้นำคนเลย แล้วก็จะเห็นถึงความไม่เป็นผู้นำของเขาจริง ๆ แต่ว่าบางทีคนที่ไม่ใช่ผู้นำคนก็สามารถพากลุ่มก้อนของเขาให้ประสบความสำเร็จได้เหมือนกันในบางกรณีอย่างนี้ เพราะว่าเราอยู่กับมันมาตั้งแต่ศูนย์เลย ใช่ครับ ตั้งแต่มีแค่คำว่า The One Ticket เลยครับ การร่วมงานกับทีมนักแสดง             คนแรกคือ “น้องยูเค” (ณัฐธยาน์ องค์ศรีตระกูล) คือเราแคสมาหลายคน ก็เรียกน้องๆ มาแคส คือน้องที่แคสไม่ได้ก็ไม่ใช่ว่าเล่นไม่ดีนะครับ แต่ว่าผมต้องการเด็กที่ใสอ่ะครับ คือบางคนเล่นดี แต่ว่าเป็นผู้ใหญ่มากเลย เคยเห็นเด็กที่เล่นดีมาก จนรู้สึกว่าเขาไม่ใช่เด็กอ่ะ เขาเป็นผู้ใหญ่อ่ะ ซึ่งเราไม่ได้ต้องการเด็กที่คาแร็คเตอร์นั้น เราต้องการเด็กที่ยังเป็นเด็กอยู่ แล้วที่สำคัญต้องมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก ๆ เพราะธรรมชาติคือไม่ใช่ว่าจำบทมาแค่นี้แล้วถ้าเราพูดอะไรต่อก็จะไม่พูดอะไรกับเรา เขาต้องสามารถอยู่กับเราได้จริง ๆ เช่น บทมันจบแล้ว เราพูดนู่นพูดนี่ต่อแล้วเขายังสามารถฟังเราแล้วก็ตอบโต้กับเราได้ อันนั้นคือสิ่งที่เราต้องการซึ่งมันอยู่ในตัวน้องยูเคหมดเลย เข้าฉากด้วยกันเป็นยังไงบ้าง ตอนแรกผมก็ยังหวั่นๆ นะ คือไม่เคยทำงานกับนักแสดงเด็กแบบจริงๆ จังๆ แบบนี้ ยิ่งเด็กผู้หญิงนะยิ่งไม่ค่อยคุ้นเลย ก็ไม่รู้ว่าจะทางไหน จะได้หรือเปล่า พี่ปอยผู้กำกับเองพยายามบอก แดนต้องหาเวลามาเวิร์กช็อปกับน้องหน่อยนะเพื่อทำความคุนเคย ผมปฏิเสธตลอด ผมไม่ให้คิวเวิร์กช็อปเลย เพราะว่าคือผมยังไม่อยากสนิทกับเขา เพราะว่าในเรื่องมันต้องไม่สนิทก่อน คือผมวัดดวงเลยกะมาสนิทหน้ากองเลย คืออยากให้เล่นด้วยกันแล้วมันพัฒนาไปเรื่อยๆ จริงๆ  ซึ่งโชคดีที่มันเกิดการพัฒนาขึ้นจริงๆ ตอนแรกน้องก็เล่นแล้วก็ดูแบบมีกำแพงกับเราหน่อย แบบไม่ค่อยกล้าคุยไม่ค่อยกล้าสบตา พอหลังๆ ในจังหวะที่เนื้อเรื่องมันดำเนินไปถึงจุดเปลี่ยนพอดี มันก็เห็นการพัฒนาของตัวน้องในระหว่างที่ผมเล่นด้วย เขาดูมีความสุขกับการที่อยู่กับเรามากขึ้น ซึ่งผมว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ก็ค่อยๆ เติบโตกันไป พอปิดกล้องแล้วมันก็เหงาเหมือนกันนะ คือน้องยูเคเป็นเด็กน่ารักจริง ๆ นะครับ ผมว่าใครเจอน้อง ผมเชื่อว่าก็ต้องรักน้องนะครับ เพราะว่าน้องเขาก็เป็นเด็กมีสัมมาคารวะ แล้วก็เป็นเด็กมองโลกในแง่บวกคือร่าเริง ใครจูงไปไหนก็ไป แล้วก็เล่นกับเขา แล้วก็เร็ว แล้วก็ฉลาด ฉลาดแบบเด็กอ่ะครับ ฉลาดแบบเด็กเก่ง ไม่ใช่เด็กที่เป็นผู้ใหญ่ แล้วเราก็คิดถึงเขานะ คิดถึงเวลาเล่นกับเขา เวลาเขาหัวเราะ เขาหัวเราะจริงๆ จากใจแล้วไม่เฟกเลย แล้วน้องเขาก็ซ้อมร้องไห้บ่อยมาก คือทุกครั้งที่แบบพอเลิกกองเขาจะคิดว่าคิวนั้นเป็นวันสุดท้ายของการปิดกล้องตลอด จนแม่เขาต้องบอกว่ายังไม่หมดลูก แล้วเขาก็เหรอๆ เดี๋ยวมีอีกใช่ไหม ถึงหยุดร้อง แล้วพอแบบมาถึงอีกวันหนึ่งก็ร้องอีกก็แบบจิกเสื้อจะไม่กลับอ่ะ ไม่ไป แบบให้เรากลับบ้านไปด้วยไปอยู่ที่บ้าน ไปดูของเล่น เราก็บอกยังไม่หมด ยังเหลืออีก จนหลังๆ ก็ดีขึ้น แล้วในแง่การแสดงของน้องยูเคเป็นยังไงบ้าง ผมว่าได้สิ่งที่เราต้องการหมดเลย ก็น้องเขาคงมีความตั้งใจ ไม่ดื้อไม่งอแง ให้เล่นอะไรก็เล่นเต็มที่ แล้วก็เข้าใจง่าย ผมว่าน้องเขามีพรสวรรค์ในเรื่องของการแสดง แล้วก็เป็นการแสดงแบบที่ผมชอบ คือมีความเป็นธรรมชาติสูง ทำให้เกิดฉากประทับใจของผมซึ่งจะเป็นจังหวะช่วงรอยต่อทั้งหลาย มันจะเป็นอารมณ์ช่วงที่แบบหยอกกันเล่นกันอะไรแบบนี้ ช่วงที่มันไม่มีบทฟิคตายตัวอ่ะ เป็นเหมือนฟีลมิวสิควิดีโอเล่นอะไรก็ได้อย่างนี้ครับ เออ...ผมสนุกดีอ่ะ ผมมีความสนุก ผมชอบเล่นกับเด็กอยู่แล้วอ่ะครับ ยิ่งกับเด็กน่ารักว่าง่ายอย่างนี้ เออ...เรายิ่งมีความสุข ทำกับข้าวด้วยกัน กินบะหมี่ด้วยกัน เล่านิทานให้กันฟัง เล่ามั่วๆ ให้เขาฟัง แล้วเขาก็ตั้งใจฟังจริงๆ คือเราก็ขำในใจไง คืออำอะไรก็ได้ คือสนุกอ่ะ สำหรับแดนรับบทเป็นพ่อครั้งแรกเป็นยังไง             ครับ ก็หาประสบการณ์จากพี่ปอยผู้กำกับเนี่ยล่ะครับ ก็ชีวิตเขาอ่ะครับ คือผมอยู่กับเขามา ผมก็รู้ว่าตั้งแต่วันที่เขารู้ว่าเขามีลูก เขาเป็นคนยังไง วันที่ลูกเขาเริ่มโตมายังไง ผมก็อยู่กับหลานตลอด ผมก็แวะไปพูดคุยเล่นกัน ผมก็รู้ว่าวิธีคิดเขาคืออะไรมันเป็นยังไงอะไรแบบนี้ การร่วมงานกับ “นิว ปทิตตา” คือบทของนิวก็ยาก ซึ่งก็ต้องเป็นนักแสดงที่เก่งมาก คือต้องเล่นได้ดีแล้วอีกอย่างก็คือ เขายังต้องเป็นการแสดงแบบที่เราชอบ ก็คือต้องมีความเป็นธรรมชาติ พูดอะไรพูดได้ไปเรื่อยที่มันไม่ได้อยู่ในบท เป็นอารมณ์ที่รับรู้ ณ เวลานั้นแล้วก็ยังสามารถพูดกันได้ คุยกันได้ หยอกล้อไปจนกว่าผู้กำกับสั่งคัตไปเอง ซึ่งนิวก็มีสิ่งนั้น ผมเชื่อว่าเลือกถูกอ่ะ แก๊งเพื่อนสุดเพี้ยนในเรื่องนี้             แก๊งเพื่อนเนี่ยครึ่งหนึ่งเป็นเพื่อนจริงๆ ที่รู้ทางกันอยู่แล้ว เพราะว่าเราต้องการความเป็นเพื่อนจริงๆ อย่าง “กอล์ฟ” (ฟักกลิ้งฮีโร่), “ใหม่” (วงไอน้ำ) อันนี้เป็นเพื่อนจริงๆ  และก็พี่แอนนา (ชวนชื่น) คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่ว่าคนที่เข้ามาใหม่คือ “พี่โจอี้ กานา”, “น้องบ๊อบบี้” แล้วก็ “น้องนาย เดอะคอมเมเดี้ยน” ก็ครี่งๆ ซี่งเราก็แบ่งพาร์ตความสนิทเป็นแบบนั้นจริงๆ คือสนิทที่สุดก็คือกอล์ฟเป็นเพื่อนเราในเรื่อง เป็นผู้นำของกองทัพ ทีนี้เราก็ทำงานง่าย แล้วผมก็จะบอกเพื่อนผมว่า ความเป็นเพื่อนก็คือความเป็นเพื่อน คาแร็คเตอร์ของนักแสดงก็คือคาแรคเตอร์ แล้วทุกคนก็ต้องจับคาแร็คเตอร์ของตัวเองให้อยู่แค่นั้นเองว่าคนๆ นี้คิดอะไรเป็นยังไง ก็สนุก ทุกคนก็ดูแฮปปี้ดีในการเป็นตัวละครนั้นๆ มันสนุกแน่นอนครับแล้วเราสนุกกันจริงๆ ครับ เรามีความสนุกกันจริงๆ คือมันสนุกแบบไม่เละเทะอ่ะ สนุกแบบอยู่ในเรื่อง คาแร็คเตอร์ของแก๊งเพื่อนแต่ละคน คนแรกเลยก็คือ “กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่” ซึ่งกอล์ฟเนี่ยเป็นเจ้าของค่ายมวยที่กำลังจะเจ๊งแหล่ไม่เจ๊งแหล่ มีนักมวยอยู่แค่คนเดียวก็คือพี่โจอี้แล้วก็มีแค่คู่ซ้อมคือพี่ใหม่ไอน้ำ ในเรื่องของกอล์ฟเนี่ยจะชื่อ “ฟัก” ครับ แล้วฟักเนี่ยเป็นเพื่อนคู่คิดของโป้งมาตลอด ตั้งแต่โป้งวัยรุ่นจนวันที่มีลูกจะอยู่ในทุกเหตุการณ์ของโป้งนะครับ เขาเป็นผู้นำโป้งมาตลอด คือโป้งมีปัญหาอะไรก็จะเข้ามาปรึกษาฟัก แต่เถียงนะ ปรึกษาแต่เถียง คือมันก็ไม่ได้ฟังคำตอบอะไรเท่าไหร่ ก็พวกนี้ก็จะเถียงๆ กัน แต่ก็ช่วยเหลือกันตลอด มีปัญหาเหมือนลูกแหง่ อยู่กับไอ้นี่เหมือนไอ้นี่เป็นพ่อ มันก็คล้ายๆ มาจากตัวพี่ปอยกับผม เพราะว่าต้องถามพี่ปอยเขาจะรู้ว่ามันคล้ายเราในบางเหตุการณ์ เขาเคยตกใจมากตอนเขาเปิดประตูออกมาหน้าบ้านในชีวิตจริงเขานะ เขาเปิดประตูออกมาแล้วตกใจเห็นผมนั่งอยู่บนฟุตปาธหน้าบ้านเขา แล้วเขาก็มาชะเง้อดู แล้วแบบแดนมึงมานั่งทำอะไร มันเครียดอะครับ เวลาผมคิดอะไรไม่ออก โดยเฉพาะกับเรื่องงาน ผมจะนึกถึงเขาเป็นคนแรก แล้วผมก็อยากอยู่บริเวณแถวๆ นั้นก่อน เพื่อจะบอกเขาว่าพี่คิดไม่ออก เอาไงดี เขาก็จะรีบวิ่งไปเปลี่ยนชุดแล้วก็ไปดิไปไหนก็ได้ ไปหาร้านนั่งกัน ไปกินกาแฟ ไปขับรถเล่นกัน แล้วก็คุยๆ แล้วมันก็คลายเครียด แต่ยังไม่ได้ตอบโจทย์งานผม แต่ผมรู้สึกว่าผมมีเพื่อนที่เข้าใจอ่ะ เพื่อนที่ช่วยผมคิดอยู่ตลอด “พี่แอนนา” ฮาตัวพ่อมาแสดงเป็นบรรณาธิการครับ เป็นบก. ของสำนักพิมพ์ที่ผมทำงานอยู่ คาแร็คเตอร์ของบก. เนี่ยก็เป็นคนสนุกสนานครับ รักการเต้นเป็นชีวิตจิตใจ เวลาคุยโทรศัพท์กับโป้ง ไม่มีอะไรมากนอกจากไปเที่ยวกัน ไปเต้นกัน จนโป้งบอก เฮ้ย...ทำงานอยู่ บางทีก็สงสัยว่าจริงๆ แล้วที่โป้งงานไม่เสร็จเนี่ยเพราะบก. หรือเปล่า ชวนแต่เที่ยวหรือเปล่า แต่ว่าโป้งก็ไม่ไปด้วยนะครับ บก. ก็ไปเที่ยวคนเดียว เป็นคนเที่ยวคนเดียวได้อ่ะครับ ไปเต้นอยู่คนเดียวกลางลานที่ไม่ได้มีใครสนใจ เขารักการเต้นมากๆ มาคนเดียวก็เต้นได้ เต้นอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีหญิงอยู่ข้างๆ เลยนะ เต้นอยู่ทุกคนแหวกให้เต้น สเต็ปพิลึกพิลั่นมาก ก็รอดูครับท่าเต้นพี่แอนนเขาคิดเองด้วย ฮามากครับ “พี่โจอี้ กานา” เนี่ยเคยทำงานด้วยกัน แวบๆ เขาไปรับเชิญในกองผมบ้าง ยังไม่เคยแบบอยู่เต็มๆ เรื่องแบบนี้ซักที แล้วเขาก็มาเล่นเป็นนักมวย แล้วเป็นนักมวยที่อยากขึ้นชก Thai Fight มากๆ แล้วก็พูดภาษาไทยไม่ได้ ในเรื่องเขาจะพูดแอฟฟริกาหมดนะครับ ซึ่งก็ไม่มีใครฟังรู้เรื่องหรอกครับ ซึ่งเป็นบทที่เขาบอกว่าไม่เคยมีใครให้เขาเล่นซักที ไม่เคยมีใครให้เขาพูดภาษาบ้านเกิดเขาทั้งเรื่อง ซึ่งเราให้เขาพูดแบบนั้นจริงๆ อยากให้เขาเป็นคาแร็คเตอร์นี้จริงๆ ไม่ได้อยากให้เขาต้องมาตัดมายิงมุกๆ อะไรอย่างนี้ เราอยากให้คนดูมีความสุขแล้วก็อินกับคาแร็คเตอร์ของเขา แล้วก็ดันมีเมียพูดภาษาอีสานก็คือน้องบ๊อบบี้ แล้วเขาสื่อสารกันได้นะครับ เขาสื่อสารกันรู้เรื่อง คือประเด็นแฟนเขาสวยมากจนหลายคนสงสัยว่าทำไม เพราะอะไร “ใหม่ ไอน้ำ” ก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ก็เคยบอกกับใหม่ว่าสักวันหนึ่ง มึงจะต้องเล่นหนังกูให้ได้ เดี๋ยวกูหาคาแร็คเตอร์ที่มันใช่กับมึง ซึ่งเรื่องนี้ก็เล่นเป็นคู่ซ้อมครับ เป็นคู่ซ้อมของพี่โจอี้ครับ พี่โจอี้ก็ตัวใหญ่แล้วใหม่เขาตัวเล็กๆ อ่ะครับ ก็จะโดนเตะทีกระเด็นที ต่อยทีกลิ้งทุลักทุเลที แล้วก็ในเรื่องเป็นคนชอบกินไข่มากครับ วันๆ จะถามหาแต่ไข่ กินไข่ไหม ไข่อยู่ไหน คือชีวิตจมอยู่กับไข่ แม่งไม่คุยกับใครเลย คือมันต้องโดนเตะโดนซ้อมจนเอ๋ออ่ะ มันถึงกลายเป็นแบบนี้  ใหม่มันก็เลยบอกว่าไอ้บทนี้ใช่ไหมที่มึงว่าใช่สำหรับกู คาแร็คเตอร์มันแต่มันสนุกไง “น้องบ๊อบบี้ เสียงอีสาน” เขาก็เป็นน้องใหม่อ่ะ เขาก็ตื่นเต้นอ่ะครับ แล้วก็มาเล่นกับพวกพี่ๆ นักแสดงแบบเก่งๆ พี่แอนนา, พี่โจอี้ อะไรอย่างนี้  เขาก็เกร็งๆ หน่อยตอนแรกๆ แต่ไปๆ มาๆ เขาก็สนิทกัน พอสนิทกันก็เล่นลื่น เราเจอน้องถ่ายคลิปอะไรซักอย่าง พูดภาษาอีสานอยู่ แล้วผมว่าเขาเป็นคนพูดภาษาอีสานแล้วก็ดูน่ารักดีครับ น้องเขาก็ดูเด็กๆ น่ารักๆ ผมว่าเวลาเขามาอยู่กับพี่โจอี้มันน่าจะขัดแย้งกันนิดหน่อย ซึ่งก็น้องเขาก็รับหน้าที่ตรงนั้นได้ดีอ่ะครับ ผมอยากให้กลุ่มนี้มีผู้หญิงอยู่ด้วยเพื่อเติมสีสันให้กับทีมหน่อยครับ ส่วนคนสุดท้ายคือ “น้องนาย เดอะคอมเมเดี้ยน” ผมเคยดูเขาจากการประกวดเดอะคอมเมเดี้ยนไทยแลนด์ในซีซั่นแรก ผมว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลายมากๆ เลยครับ คือเขาสามารถเป็นได้ทั้งตัวปู ตัวตบ ตัวชง เขาเล่นได้ทุกอย่าง ร้องลิเกก็ได้ แล้วเขาเป็นคนเข้าใจจังหวะตลก เขาเป็นคนเข้าใจจัหวะคอเมดี้ว่าตรงไหนควรขยี้ คำนี้ควรจะมาในช่วงเวลาไหน แล้วในการเข้าฉากวันแรก เขาแสดงให้เห็นจริงๆ ว่าโอเค เราเลือกถูกคนแล้ว เขาเข้าใจจริงๆ บรีฟนิดหน่อยเขาเข้าใจเลย เขาจะบิดจะอะไร บอกปุ๊ปรู้เลยครับ ว่าโอเคพี่อยากได้แบบนี้ เพราะเป็นคนคุมคาแร็คเตอร์ตัวเองชัดเจนมากครับ คือผมว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์ ถ้าจะเอาดีทางด้านตลกอ่ะครับแบบจริงๆ จังๆ หรือว่าใครที่อยากได้เขาไปทำงานเพื่อเติมเต็ม สีสันความเป้นคอเมดี้ ผมว่าเลือกน้องนายไป ไม่ผิดหวัง เขาจะช่วยเราด้วย ช่วยเราคิด เขาสดนะ วิธีการเล่นเขาเป็นอีกสไตล์หนึ่ง ผมว่าใช้ได้ครับ เขาก็คมอ่ะ เล่นแล้วคม รู้ว่าจังหวะไหนจะมากจะน้อยยังไง พอแก๊งนี้มารวมตัวกันแล้ว มันเกิดเหตุการณ์มากมายครับ พวกนี้ก็จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในค่ายมวยอ่ะครับ เล่นนู่นเล่นนี่กัน ซ้อมนู่นซ้อมนี่กัน หลักๆ คือปฏิบัติภารกิจนี่ล่ะ เกิดจากการรวมตัวคล้ายๆ การรวมตัวสร้างโลกใหม่ เปลี่ยนโลกอะไรกันอย่างนี้ รับรองฮา การถ่ายทำที่ญี่ปุ่น             โคตรร้อนเลยครับ (หัวเราะ) ผมเป็นคนชอบญี่ปุ่นมากนะ คือเราไม่ได้คิดว่าญี่ปุ่นมันจะร้อนแรงได้ขนาดนี้ แล้วน้องยูเคก็สนุกมากอ่ะ แบบเดินไปไหนก็เดินอ่ะ เดินขึ้นรถไฟ เดินๆ จนวันสุดท้ายหลับคาไหล่เลยอ่ะ แล้วพอถึงสถานนีที่จะถึงโรงแรมปลุกนิดเดียวก็เด้งขึ้นมาเดินลั้ลลา คือเขาก็สนุกของเขาอ่ะครับ แล้วก็มีความสุข แต่ว่าเราปวดขา ปวดอะไรหมดเลย แต่ก็มีความสุขดี แล้วก็ที่สำคัญได้มาเจอวงเบอร์รี่ซ์โคโบที่นี่จริงๆ ซึ่งน้องเขาตื่นเต้นมาก ผมไม่เคยเห็นน้องเขาตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน  เขาแบบพูดไม่ได้ยืนตัวแข็ง บอกอะไรเหมือนหูดับอ่ะครับ ไม่ฟังอะไร ฟังอะไรไม่รู้เรื่อง คือเขาคงตื่นเต้นมากจริงๆ ผมไม่รู้นะว่าเขาจะรู้หรือเปล่าว่าวงนี้เป็นวงที่เป็นนักร้องญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จมาก ไม่รู้ว่าเขาตื่นเต้นอะไร แต่เราก็ผ่านกันมาได้แล้วก็มีความสุขสนุกสนานกันดีครับ ทำไมถึงเลือกวงเบอร์รี่ซ์ โคโบ คือผมเคยเห็นเขามาเมืองไทยครับ มาสัมภาษณ์รายการทีวีในเมืองไทย มีคอนเสิร์ตในเมืองไทยนะครับแล้วก็เอาเพลงของพี่เบิร์ดมาเปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ผมว่าเขาค่อนข้างจะมีกิจกรรมอยู่ในเมืองไทยแล้วก็จำนวนคนของเขามันเป็นจำนวนที่เราต้องการพอดีครับ คือมีวงที่แบบดังมากๆ ของเขาในตอนนี้ก็แบบสิบกว่าคน ไม่งั้นเราจะเห็นหนังที่แบบมีแก๊งเพื่อนที่เยอะมาก มันจะเยอะเกินไป แล้วก็ทุกคนในวงเบอร์รี่ซ์โคโบก็มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก แล้วคาแร็คเตอร์แต่ละคนก็ชัดเจน ถ้าดูในโปสเตอร์วงของเขาจะเห็นว่าคาแร็คเตอร์แต่ละคนชัดเจนมาก ซึ่งเขาตอบโจทย์หลายอย่างของเรา กลุ่มเพื่อนๆ นักแสดงที่เราเลือกมา เราก็พยายามเลือกคนที่คาแร็คเตอร์ชัดๆ มาอยู่แล้วครับ พอเราติดต่อไปเขาก็ยินดีให้ความร่วมมือเรา จะขอชิ้นงานอะไรก็ได้ มิวสิควิดีโอ โปสเตอร์ หรือเราจะขอไปถ่ายทำตัวจริงเขา เขาก็น่ารักนะครับ ก็ไปเจอกันพูดคุยกันก็นั่งเล่นกันอยู่อย่างนี้ครับ ก็เหมือนแบบไม่มีอะไรอ่ะครับ ก็ไม่ได้วางตัวว่าเป็นซูเปอร์สตาร์อ่ะครับ น้องยูเคก็วิ่งกระโดดนั่งตักเขา ความประทับใจต่อ “The One Ticket ตัวพ่อเรียกพ่อ” ความประทับใจคือมันเป็นเรื่องของมวลทั้งหมด อุณหภูมิความอบอุ่นของความเป็นเพื่อน ความเป็นพี่น้อง หรือแม้แต่ความเป็นพ่อลูกที่ผมไม่เคยสัมผัสแล้วก็ยังไม่คิดที่จะสัมผัสมัน ณ เวลานี้ด้วยนะครับ มันยังไม่พร้อมมากๆ จริงๆ แต่มันก็แค่รู้สึกว่า อ่อ...คำที่มีคนเคยบอกผมว่า จริงๆ ลูกติดพ่อแม่ หรือพ่อแม่ติดลูกมากกว่าเนี่ย มันคือแบบนี้นี่เองอ่ะ มันคือความน่ารักของเด็กที่น่ารัก จริงๆ เนี่ยมันทำให้เราไม่อยากไปไหนเลยครับ จะคิดถึงเขา จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้ หรือทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนๆ นี้ได้จริงๆ อันนี้คือสิ่งที่หนังเรื่องนี้มันได้แบบนั้น แล้วก็ผมประทับใจที่ผมกำลังจะเห็นพี่ชายผมคนหนึ่งทำงานชิ้นใหญ่ๆ สำเร็จได้ด้วยความภาคภูมิใจของตัวเขา นั้นคือเหตุผลที่ผมไม่อยากจะเข้าไปแตะงานเขาเยอะ ผมพยายามมองอยู่ให้ห่างที่สุดเพื่อให้เขารู้สึกว่ามันเป็นงานของเขามากที่สุดจริงๆ ซึ่งงานหลายๆ อย่างก็เป็นไปตามที่ผมคาด อย่างน้อยๆ ก็ 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้นนะครับตามที่เราวางแผนไว้ เสน่ห์ความน่าสนใจและน่าชมของเรื่องนี้ เสน่ห์ของเรื่องนี้เนี่ย คือหนังเรื่องนี้มันจะมีครบทุกอารมณ์นะครับ ก็จะมีเรื่องของความสัมพันธ์กับครอบครัว ความสัมพันธ์ของผู้หญิงผู้ชายรักกัน ความเป็นเพื่อนรักที่จะให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คือเรื่องบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าคอเมดี้นำมากๆ เป็นคอเมดี้แบบเป็นคอเมดี้ที่สุด ถ้าเทียบสองเรื่องของผมที่ผ่านมา คือเรื่องนี้คอเมดี้ที่สุดเท่าที่ผมทำมานะครับ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าข้างในมีแกนสำคัญอยู่หมดครับ เรามีไลน์เรื่องที่ชัดเจนครับ เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนของการดำเนินเรื่อง จากจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงไปถึงจุดจบของเรื่องว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่ แล้วก็ปรัชญาของหนังเรามีแล้วก็ทำเรื่องทำบทเกาะตามแกนของหนังตลอด คือถ้ามันหลุดแกนที่จะให้อะไรกับคนดู เราจะปรับบททันทีครับ เราวัดกันตรงนั้นว่าเราจะสื่อเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ เรากำลังจะสื่อเรื่องงบัตรใบหนึ่ง มันกำลังจะปรับเปลี่ยนความรักของพ่อลูกคู่หนึ่งไปตลอดกาล แล้วก็จะบอกว่าคนๆ หนึ่งไม่มีใครที่จะทำอะไรไม่ได้ อยู่ที่ว่าคุณลงมือทำมันหรือยัง แล้วทำมันจริงหรือเปล่า แล้วการที่คุณบอกว่าคุณทำมันไม่ได้ คือถามว่าคุณทำมันสุดหรือยังครับ แล้วถ้าทำไม่ได้เรามีวิธีให้ จงหาแรงบันดาลใจซะ แรงบันดาลใจคุณอยู่ที่ไหนคุณหามันให้เจอ จะทำเพื่อคุณพ่อคุณแม่หรือจะทำเพื่ออนาคตที่ดีของตัวเอง ทำเพื่อแฟนคุณ หรือว่าทำเพื่ออะไรซักอย่าง ถ้าคุณเจออันนั้นคุณจะประสบความสำเร็จแน่นอน นั่นล่ะครับ แต่โดยรวมทั้งหมดคือความสนุกสนานบันเทิงแน่นอนครับ

ตัวพ่อเรียกพ่อ

  • 31 December 2014
  • Adventure / ตลก /
  • 110 นาที
15+

ข่าวที่เกี่ยวข้อง