รีวิว LA LA LAND ดิ้นรนเพื่อฝัน หรือ อยู่อย่างเคยฝัน
ย้อนมองกลับไปในชีวิตวัยเด็กมาจนถึงวัยรุ่น หลายคนคงเคยคิดว่า ‘โตมาฉันจะไม่ทำอาชีพแบบนั้น’ โตมาฉันจะไม่เป็นมนุษย์เงินเดือน ใช้ชีวิตซ้ำซากจำเจอยู่ในห้องแอร์คับแคบ แต่พอก้าวเข้าสู่ชีวิตจริง เราต่างไหลเวียนเข้าสู่วงจรที่ไม่อาจหยุดยั้งได้จนหลงลืมไปว่า ในตอนเด็กเราเคยฝันอยากเป็นอะไร ? แม้หนังหลายเรื่องจะเคยจุดประเด็นเรื่องไฟฝันมาแล้ว แต่จะมีหนังเรื่องไหนที่เล่าประเด็นนี้ได้งดงามเทียบเท่ากับ LA LA LAND นครดารา หนังรางวัลลูกโลกทองคำที่สร้างประวัติศาสตร์สูงสุด 7 รางวัล
LA LA LAND เป็นการวิ่งตามความฝันของสองตัวละคร มีอา รับบทโดย เอ็มม่า สโตน สาวผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดง เธอเพียรไปเข้าออดิชั่นในทุกเวทีที่เปิดโอกาส แม้จะผิดหวังบ้าง พลาดบ้างแต่เธอไม่เคยย่อท้อ และ เซบาสเตียน รับบทโดย ไรอัน กอสลิ่ง หนุ่มนักเปียโนที่ฝันอยากจะมีบาร์แจ๊สแบบดั้งเดิม เล่นแจ๊สเพียวๆเพื่อรักษาตำนานของเสียงเพลงไว้ เมื่อสองเส้นของคนที่มีความฝันมาบรรจบกันเกิดเป็นความรักและร่วมกันสานฝัน เคล้าคลองานภาพ เสียงเพลงและบรรยากาศสุดโรแมนติก ทำให้คนดูต่างเคลิบเคลิ้มไปกับการตามฝันในครั้งนี้
"...
ชอบการที่เอามิวสิคัลสไตล์หนังยุค50s มาเล่าในแบบร่วมสมัย งานดีไซน์แดนซ์และการร้องไม่ต้องพยายามโชว์สกิลมากแบบหนังมิวสิคัลอื่น แต่ปล่อยให้อารมณ์นำคนดูไปแบบธรรมชาติ...การเชื่อมเข้าฉากเพลงลื่นไหล ติดตรงที่เพลงน้อยไปหน่อย ..."
งานสร้างหนังในแนวมิวสิคัลโรแมนติกเรื่องนี้ ทำให้เราหวนนึกถึงหนังเพลงขึ้นหิ้งในอดีตอย่าง Singin' in the Rain หนังปี 1952 ที่เล่าเรื่องของฮอลลีวู้ดและการตามหาฝันเหมือนกัน ซึ่ง LA LA LAND ได้ทำให้หนังมีกลิ่นอายของหนังเพลงยุคนั้น ในขณะเดียวกันก็เลือกใช้โทนสีในการสร้างอารมณ์ให้กับคนดู งานดีไซน์ฉูดฉากทั้งเสื้อผ้าและฉากชวนฝันทำให้การเล่าเรื่องของ LA LA LAND ไหลลื่นได้ตลอดทั้งเรื่อง
ส่วนสำคัญของ LA LA LAND คือการใช้บทเพลงที่ไม่พยายามดิ้นรนให้มันเป็นหนังมิวสิคัลจ๋ามากเกินไป เพลงทำหน้าที่เล่าเรื่อง บ่งบอกอารมณ์แต่ไม่ได้มาบ่อยจนคนดูเบื่อ มีการใช้เทคนิคเพลงธีมในการแทนตัวละคร แทนความรู้สึกในฉากต่างๆ โดยเน้นการใช้แจ๊สและเปียโนในการเล่าเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงที่มีทำนองใกล้เคียงกันทำให้หลังหนังจบ บทเพลงเหล่านี้เข้าไปอยู่ในหัวคนดูแบบอัตโนมัติเลย ไม่เพียงเท่านี้มันยังเป็นชิ้นงานที่สดุดีให้กับวงการเพลงแจ๊สด้วย พร้อมกับตั้งคำถามให้กับธุรกิจอุตสาหกรรมเพลงและคนในวงการดนตรีว่า จะรักษามันไว้ หรือจะปล่อยให้มันปรับเปลี่ยนไปตามยุคจนหลงลืมความเป็นแจ๊สที่แท้จริง
2 นักแสดงฝีมือเยี่ยม เอ็มม่าและไรอัน ฝากงานดีๆไว้ให้คนดูประทับใจ ไม่ใช่แค่งานแสดงที่พวกเขาต้องถ่ายทอดแต่หลายฉากต้องร้องและเต้นด้วย ซึ่งฉากน่ารักๆฉากหนึ่งคือ เพลง Lovely Night Dance ซีนโรแมนติกลองเทคที่นักแสดงทั้งสองคนจะต้องเต้นแท็บและร้องเพลงโต้ตอบกัน อารมณ์เหมือนได้ดูหนังเพลงในยุคเก่าๆ
ความฝันที่เป็นธีมหลักของหนัง เมื่อ LA LA LAND เล่าให้เราได้เห็นสองเส้นเรื่องที่มาบรรจบกันแต่ก็ยังมีสองเส้นทางที่เราต้องเลือกเดินด้วยระหว่าง ‘เดินหน้าทำตามความฝันอย่างไม่ย่อท้อ’ กับ ‘ไหลไปตามกระแสเพื่อหาเลี้ยงชีพ’ ประเด็นนี้ทำให้คนที่นั่งดูอยู่ต้องมาสะท้อนใจตัวเองว่า เรามีฝัน หรือ เราเคยมีความฝันกันแน่ ที่ซ้ำร้ายคือเราหลงลืมความฝันนั้นไปหรือยัง การได้ตั้งโจทย์ให้กับคนดูได้คิดต่อ ถือเป็นความยอดเยี่ยมของหนังที่น่าจดจำรวมถึงเชื่อได้ว่าในอนาคตหนังเรื่องนี้จะขึ้นหิ้งความเป็นมิวสิคัลที่คลาสสิคติดอันดับหนังในตำนานเลยก็ว่าได้