HIGHLIGHT CONTENT

เอ็ม ลูกสาวหม่ำ จ๊กมก ขึ้นแท่นผู้กำกับ 200ล้านคนใหม่ จากหนังเรื่องแรก ส่มภัคเสี่ยน

  • 8,200
  • 29 ส.ค. 2017

เอ็ม-บุษราคัม ลูกสาวตลกชื่อดัง สวมบทผู้กำกับหญิงในภาพยนตร์
"ส่มภัคเสี่ยน" พร้อมให้สัมภาษณ์

 

บุษราคัม วงษ์คำเหลา (เอ็ม): ส้ม / ผู้กำกับภาพยนตร์
ส้ม สาวสวยรวยเสน่ห์ น่ารัก ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ส้มเป็นแฟนกับเสี้ยนตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 จนกระทั่ง จบปี 4 แล้วส้มไปทำงานต่อที่กรุงเทพ

 

ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์หน้าใหม่ เริ่มแรกเป็นมายังไง?
เรื่องของเรื่องก็คือเวลากินข้าวกันก็จะแชร์ไอเดียกัน ว่าอยากทำหนังนะ อยากทำหนังแบบไหน คือเอ็มอยากทำหนังแบบไหน พ่ออยากทำหนังแบบไหน ก็มาแชร์ไอเดียกัน แล้วพอดีพ่อเล่าเรื่องแบบนี้ เล่าเรื่องหนังประมาณนี้เลย มันก็โอเคนะ ที่เอ็มจะมาทำเอง ก็เลยเปลี่ยนจากความเป็นพ่อมาเป็นเอ็มแทน ความเป็นเอ็มในที่นี้หมายถึงว่าหนังอาจมีความเป็นปัจจุบันมากขึ้น เพราะตอนแรกพ่อเขาอยากทำให้มันแบบเหมือนยุคอดีต แต่เอ็มว่าปัจจุบันใช้นักแสดง เอ็มมีคิดไว้ในใจแล้วว่าเอ็มอยากได้ใคร ก็เลยสรุปมาเป็นเรื่อง ส่มภัคเสี่ยน

ในความหมายของ ส่มภัคเสี่ยน คืออะไร
ส่มภัคเสี่ยน ในความหมายของเอ็มเหรอคะ ในเรื่องนี้มีหลายหลายรสชาติมาก ๆ ก็เหมือนกับ ส้มผักเสี้ยน ที่เอาผักมาดอง แต่ด้วยความที่ว่าเราเนี่ย ตัวนักแสดงเนี่ยจะชื่อ ส้ม ภัค และเสี้ยน พอดีเป๊ะเลยมันก็เหมือนเป็นการเล่นคำไปด้วย แล้วส้มผักเสี้ยนก็คือ การรวมความสนุกสนาน รวมรสชาติหลาย ๆ รสชาติมาอยู่ใน ส้มผักเสี้ยน

 

ประวัติความเป็นมาของเอ็มก่อนที่จะมากำกับภาพยนตร์
เอ็มจบปริญญาตรี ในเรื่องของฟิล์มเลยค่ะ ที่มหาวิทยาลัย Full sail University ที่ฟลอริด้า อเมริกา
ตั้งใจเรียนฟิล์มเลย ตอนแรกตั้งใจเรียนพวกโปรดิวซ์เซอร์เพลง อยากทำเพลงเพราะชอบ แต่คราวนี้คุณพ่อเพิ่งมาทำบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยมเรื่องแรก แล้วความสนใจของพ่ออยู่ที่การทำหนัง เหมือนเอ็มมีพ่อเป็นแรงบันดาลใจว่าทำหนังสิลูก มันอย่างนู่นอย่างนี้ แล้วอีกอย่างเอ็มที่ถูกปลูกฝังมาให้ชอบการดูหนัง ก็เลยคิดว่า เออ จริง ๆแล้วเราเรียนทำหนังก็น่าจะโอเคนะ ก็เลยตัดสินใจเรียน เรียนไปเรียนมา แล้วรู้สึกว่าสนุกนะ เออมันเป็นตัวตนของเรามากกว่า เคยนะ เรียนไปสักพักแล้วเปลี่ยนมาเรียนการโรงแรม เรียนได้เทอมเดียว มันทำให้ตัวเองได้รู้ว่าฉันที่ถือกล้องกับฉันที่จับตะหลิวอันนั้นไม่ใช่ฉันเลย ฉันอยากกลับไปจับกล้องมากกว่า แล้วหลังจากนั้นก็ต่อปริญญาโท ที่เดียวกันเลยค่ะ เป็นเอนเตอร์เทนเม้นท์ บิสเน็ต ก็คือธุรกิจบันเทิง เท่ากับว่าที่นี้รู้ทั้งข้างนอกข้างใน ออกกองก็รู้ ออฟฟิศก็รู้เหมือนกัน

กี่ปีแล้วครับที่จบมา?
ประมาณถึงตอนนี้ ประมาณ 6-7 ได้ ช่วงแรกที่มาก็มีหลงทางบ้าง ว่าฉันชอบอะไร ฉันอยากทำอะไร ก็เสียเวลาตรงนั้นไปพักหนึ่ง ไปช่วยพ่อดูร้านอาหารด้วยช่วงนั้น ยังไม่ค่อยสนใจอะไรสักเท่าไหร่ แล้วก็ไปเป็น โปรดิวซ์เซอร์มาพักหนึ่ง เรื่อง ทาสรักอสูร ช่วงนั้นเป็นพิ้งกี้ แต่จริง ๆ เรื่องแรกที่ทำกับพ่อคือเรื่อง ใหม่กับหม่ำ แต่เอ็มไม่มีตำแหน่งไรเลยนะ เป็นเด็กกอง ไปดูเขาทำอะไร กันยังไง ก็เพราะว่าตอนเรากลับมาใหม่ ๆ เราเรียนแต่หนังสือมา อยู่ในตำรา พอเรามาทำจริง ๆ แล้ว เฮ้ย มันต่างจากที่นู้นนะ ที่นู้นเขาจะทำงานที่ไม่เหมือนเรา ไม่เหมือนเราเลยจริง ๆ

พอมาลงชีวิตจริงแล้วรายละเอียดมันเยอะมั้ย?
ใช่ แต่กองไทยเอ็มว่าสนุกกว่าเยอะ ที่เมืองนอกนะ เอ็มเคยฝึกทำทีสิทนะ มันยากไม่เท่าไหร่ แต่เขาอยู่แบบไม่พึ่งพากัน ไม่ช่วยกัน หน้าที่ใครหน้าที่มัน สมมติว่าเอ็มทำหน้าที่ สไตล์ลิสต์ แล้วเอ็มลืมเอาไดร์เป่าผมมา เขาไม่มีใครช่วยนะ ทุกคนรวมกันว่า ยูทำยูก็โดนรุมกันด่ายูคนเดียว ไม่เหมือนคน ไทย ที่แบบ ไอ้นี่ลืมอันนี้ เฮ้ย ระวังโดนเจ้านายด่านะ ช่วยกันอะไรแบบนี้ คือกองเมืองนอกทำให้รู้ว่าต้องรับผิดชอบของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วพอมารวมกันมันก็จะสำเร็จ แต่พอเมืองไทย ทุกคนช่วยเหลือ เป็นพี่น้องกันหมด แต่มันไม่ได้เป็นไปในแบบที่แต่ละคนก้าวก่ายหน้าที่ของกันและกัน มันเป็นการอยู่ร่วมกัน อย่างมีความสุขมากกว่า

เป็นโปรดิวซ์เต็มตัว รับผิดชอบหน้าที่เต็มตัว ทำอะไรบ้าง?
เป็นโปรดิวซ์เต็มตัว ก็จะมีหน้าที่ ดูงบ ดับฝันคุณพ่อ อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะคุณพ่อเป็นผู้กำกับ ต้องเข้าใจว่าผู้กำกับเขาต้องมีฝัน ฟุ้งไปหมดเลย ถ้าเราไม่ดับฝันเขา เขาจะไปไกลมาก อย่างเช่น สมมตินะเขาอยากได้นักแสดงตัวท้อปมาก แต่งบเรามันไม่ไปถึงนั้น ก็ต้องแบบพ่อ กลับมาก่อน

ในที่สุดมันก็มาถึงวันที่วันเปิดกล้อง วันคัดเลือกนักแสดง วันบทเสร็จ อะไรพวกนี้ ทุกอย่างได้อย่างใจ ครบสมบูรณ์แบบ ตัวนักแสดงเป็นไงบ้าง?
นักแสดงได้ดั่งใจ เพราะเอ็มเป็นคนเลือกเองว่าเอ็มอยากได้ใคร มีในใจอยู่แค่ไม่กี่คน เท่านั้นที่สามารถพูดภาษาอีสาน เอ็มอยากได้คนที่มีเสน่ห์ พูดภาษาอีสานได้ พูดพรีเซนส์จังหวัดของเขาได้ มันมีไม่กี่คน แล้วบางคนมันติดสัญญา แต่ในใจเอ็มตั้งแต่แรกก็คือพี่โตโน่

แล้วตัว ส้ม ล่ะครับ?
คือจริง ๆ ตอนแรกคุยกับพ่อแล้วล่ะ ว่าหานางเอกว่ายากแล้ว หานักแสดงสมทบว่ายากเข้าไปอีก เอ็มก็เสนอคนอื่น เพราะเอ็มไม่อยากเล่น เอ็มไม่ค่อยชอบ ยืนหน้ากล้องเท่าไหร่ เพราะว่าหลายอย่างไม่ไหว แล้วพ่อก็พูดขึ้นมา ถ้ามันยากมากเอ็มก็เล่นเองดีกว่าไหม เอ็มก็ แบบ หืม เอ็มขอเป็นช้อยสุดท้ายได้ไหม ตอนนี้เอาแบบช่วยๆกันหาไปก่อน แล้วพ่อก็บอกว่าพ่อยังเล่นเป็นพระเลย เหมือนเป็นข้อตกลงกัน
ท้ายที่สุดแล้วคือ ไม่ได้จริง ๆ เราก็เลยเป็นเอ็มเอง แต่ถ้าว่าเป็นเอ็มแล้วดีไหม มันก็ดีในอีกมุมหนึ่ง ตรงที่ว่าส้มเขาเป็นตัวผูกเรื่อง จังหวัดนครพนม เป็นที่ที่เกิดเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะว่าเอ็มอยากให้คนไทยเที่ยวไทย เพราะว่ายังมีสถานที่อีกเยอะที่สวย ๆ ที่เรายังไม่เคยเจอ ยกตัวอย่างเอ็มเลย มีแต่คนบอกว่า พระธาตุพนมสวยมาก แต่เราไม่เคยเห็นไม่เคยไป จนกระทั่งมาถ่ายหนัง พอได้ไป พอได้เลือก เอ้ย สวยมาก นี่บ้านเรานะ และด้วยความที่ ที่นั้นมีความสวยงามมีกลิ่นอายอีสานจริง ๆ ก็เลยชอบที่นั้นเป็นพิเศษ แล้วที่นี่ก็พูดภาษาอีสาน คือเอ็มไม่อยากให้เด็กรุ่นใหม่ลืมความเป็นตัวตน
 

นี่ขนาดเอ็มเป็นเด็กใช้ชีวิตเมืองนอกมานาน ยังรู้สึกว่ายังได้กลับมาทำผลงาน แล้วเรื่องโลเกชั่นเป็นไง ภาคอีสานเลย
ใช่ค่ะ 7- 8 ปี เอ็มก็แอบกลัว ว่าการพูดอีสานเนี่ย คนจะไม่รับ เพราะว่ามันไม่ใหม่แล้ว แต่เอ็มเชื่อว่าโตโน่เขามีพลังในแฟนคลับของเขา และ เอ็มก็เชื่อในไข่มุก เชื่อว่าความน่ารักของเขาทั้งสองทำให้คนดูสะกดใจคนดูได้

 

 

ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ (โตโน่): เสี้ยน
เสี้ยน หนุ่มอีสาน หน้าตาดีประจำหมู่บ้าน จริงใจ ใสซื่อ รักสงบ ผู้เชื่อมั่นในความรัก ศรัทธาในความจริงใจ ผู้เฝ้ารอคนรักจะกลับมาบ้านเกิด เพื่อสร้างชีวิตคู่ด้วยกัน แต่ระยะทางและเวลา ก็ทำลายความฝัันของเสี้ยนลง

ตอนที่ติดต่อไปทำไมถึงรับเล่นเรื่องนี้?
ก็พอรู้ว่ามีพี่หม่ำเล่นด้วย เราก็ชื่นชอบพี่หม่ำอยู่แล้ว ดูหนังพี่หม่ำอยู่แล้ว เป็นแฟนหนังพี่เค้า พอวันนึงติดต่อมา ก็อยากจะคุยกันก่อนว่าเนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร บทเป็นยังไง พอรู้ว่าบทต้องพูดอีสานเลยเราก็อยากจะเล่นเพราะเรื่องของภาษาบ้านด้วย เพราะเราก็ไม่เคยเล่นละครหรือหนังเรื่องไหนที่ต้องใช้ภาษาอีสานทั้งเรื่องก็อยากจะใช้ แล้วก็อยากจะร่วมงานกับพี่หม่ำกับเอ็ม

เรื่องภาษาอีสานที่ต้องพูดทั้งเรื่องเราพูดได้อยู่แล้วเป็นไงบ้าง?
ชอบนะเป็นสิ่งที่เราอยากทำมานานแล้ว  แต่ว่ามันอาจจะติดในเรื่องของบางคนกลัวจะเสียภาพลักษณ์ซึ่งผมไม่กลัวเลย ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เราควรจะเผยแพร่วัฒนธรรมของบ้านเรา ผมเป็นคนอีสานอยู่แล้ว คงจะดีถ้าเกิดเราได้มีโอกาสที่จะทำสิ่งๆนั้น  แล้วยิ่งออกมาเป็นหนังดีๆเรื่องนึงที่ทำให้คนได้มีความสุขได้หัวเราะไปกับความพื้นบ้านกับขนบทำเนียมของคนต่างจังหวัดผมว่ามันก็เป็นเรื่องที่ผมภูมิใจนะ ภูมิใจที่จะทำเต็มใจที่จะศึกษาจะพูด เราพูดได้อยู่แล้วแต่ต้องไปฝึกเพิ่ม แต่ว่ามันมีคำบางคำที่มันลึกอย่างอีสานจะแตกไปอีก อีสานโคราช อีสานอุดร บางทีต้องฟังสำเนียงของเค้าฟังให้ออก  แต่ก็ดีที่ส่วนใหญ่แล้วพี่หม่ำนั่นแหละที่เป็นคนแปลจะบอกว่าสำเนียงนี้พูดแบบนี้  ถ้าเราพูดแฟนๆภาคอื่นอาจจะเข้าใจจับไม่ได้ แต่กับคนอีสานด้วยกันจะรู้ว่าไม่ใช่นะเนี่ย เราต้องเล่นให้จริงด้วยครับ

เอ็มกับบทบาทผู้กำกับครั้งแรกร่วมงานด้วยเป็นยังไง?
ผมว่าเค้าเป็นคนเอาใจใส่ ละเอียด ไม่ใช่แค่อาศัยว่าอ๋อนี่เป็นลูกพี่หม่ำถึงมาทำหนังได้แต่ว่าเอ็มใส่ใจกับงานจริง

 

กำหนดเข้าฉายวันที่ 31 สิงหาคมนี้