HIGHLIGHT CONTENT

ถอดรหัสแดน บราวน์ หนัง Inferno ปริศนาการลงทัณฑ์จากนรก ซับซ้อนกว่า The Da Vinci Code

  • 32,969
  • 02 พ.ย. 2016

 

 

สิ่งที่ตามหลังความสำเร็จทั่วโลกของภาพยนตร์เรื่อง The Da Vinci Code (2006) และ Angels & Demons (2009) ก็คือ Inferno ภาคที่สามที่หลายคนรอคอย ที่ดัดแปลงนิยายชุดโรเบิร์ต แลงดอนของแดน บราวน์ Inferno ซึ่งเป็นภาคล่าสุดของแฟรนไชส์ภาพยนตร์เจ้าของสถิติรายได้ 1.2 พันล้านเหรียญ เป็นหนังสือเบสต์เซลเลอร์สำหรับผู้ใหญ่ในปี 2013 ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่านักอ่านทั่วโลกยังคงอยากติดตามเรื่องของโรเบิร์ต แลงดอนไม่เปลี่ยนแปลง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของผู้กำกับรอน ฮาวเวิร์ด ผู้เพิ่งกำกับสารคดีบีเทิลส์ชื่อดังเรื่อง Eight Days a Week: The Touring Years และทอม แฮงค์ ผู้กลับมาสู่หนึ่งในบทบาทดังของเขาอีกคั้ง ด้วยการรับบท แลงดอน ผู้มีไหวพริบและความรอบรู้เป็นเลิศ แฮงค์อธิบายถึงเสน่ห์อมตะของแฟรนไชส์นี้ว่า “มีบางสิ่งที่แดน บราวน์คิดได้ นั่นคือทุกคนชอบปริศนาดีๆ โดยเฉพาะปริศนาที่คุณสามารถคลี่คลายเงื่อนงำทีละเปลาะๆ และไขปริศนาได้ในที่สุด” เขากล่าว “หนังพวกนี้เป็นเหมือนปริศนาดีๆ สำหรับผู้ชม มันเกือบจะเหมือนเป็นหนังอินเตอร์แอ็กทีฟ และมันก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ The Da Vinci Code แล้วครับ”

 

 

Inferno ซึ่งมีชื่อเรื่องมาจากผลงานชิ้นเอกของดันเต้ และเป็นคำภาษาลาตินที่มีความหมายว่านรก มีองค์ประกอบความเป็นทริลเลอร์จิตวิทยาเพิ่มเติมเข้ามา ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ดร.โรเบิร์ต แลงดอน ฟื้นขึ้นมาเพื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุด ซึ่งก็คือการที่เขาสูญเสียความทรงจำ เมื่อถูกครอบงำด้วยภาพหลอนและอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เขาก็ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาและทำไม
    
Inferno เป็นภาพยนตร์ที่มีสไตล์วิชวลโดดเด่นที่สุดในแฟรนไชส์จนถึงตอนนี้ ด้วยซีเควนซ์ภาพฝันพิลึกพิลั่นที่นำผู้ชมเข้าไปในห้วงความคิดของแลงดอน และทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงกับภาคก่อนหน้านี้ นั่นเองคือสิ่งที่ทำให้ผู้กำกับรอน ฮาวเวิร์ดสนใจแฟรนไชส์นี้ ในบรรดาภาพยนตร์ 23 เรื่องที่เขาเคยสร้างมากว่าสามทศวรรษในฐานะผู้กำกับ ซีเควลเรื่องเดียวที่เขาเลือกกำกับคือ Angels & Demons และตอนนี้ก็รวม Inferno ด้วย “มันมีตัวละครที่ผมรักมากพอๆ กับที่ผมรักโรเบิร์ต แลงดอน แต่ผมก็อยากจะผลักดันตัวเองให้ทำสิ่งที่ต่างออกไปเสมอ มันจะน่าสนใจกว่าการทำแบบเดิมๆ ครับ” ฮาวเวิร์ดอธิบาย “แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับหนังที่สร้างจากหนังสือของแดน บราวน์ก็คือแต่ละเรื่องแตกต่างกันมากเหลือเกิน และเขาก็สำรวจธีมที่แตกต่างกันมากๆ ในการผจญภัยแต่ละครั้ง Inferno เป็นเรื่องราวที่มีสไตล์แตกต่างออกไปมากที่สุด กับแฟรนไชส์นี้ ผมได้กลับไปเยี่ยมตัวละครที่ผมรักพร้อมกับการผลักดันตัวเองไปในทิศทางใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องครับ”
    
เหตุผลหนึ่งที่หนังสือของบราวน์ถูกจริตผู้อ่านคืออัจฉริยภาพของเขาในการแปลความลึกลับจริงๆ ในประวัติศาสตร์ให้กลายเป็นทริลเลอร์สั่นประสาทสำหรับผู้ชมสมัยใหม่ ใน Inferno แหล่งที่มาสำคัญของแรงบันดาลใจสำหรับบราวน์คือเรื่อง Inferno ของดันเต้น ดันเต้ นักกวีผู้ยิ่งใหญ่ชาวอิตาลีแห่งศตวรรษที่ 14 ได้บรรยายถึงการเดินทางของจิตวิญญาณไปสู่พระผู้เป็นเจ้า โดยก้าวแรกคือการปฏิเสธบาป ในบทกวีที่โด่งดังนี้ ตัวดันเต้เองถูกนำตัวผ่านนรกทั้งเก้าขุม ที่ซึ่งเขาได้เห็นคนบาปผู้ไม่รู้สำนึกถูกลงทัณฑ์อย่างสาสม นักทำนายถูกดึงหัวกลับหลัง ไม่สามารถมองเห็นอนาคตหรือสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าได้ นักการเมืองขี้โกงที่มี “นิ้วเหนียวหนึบ” ถูกแช่อยู่ในน้ำมันทาร์เดือดพล่าน ทัณฑ์ที่ทารุณที่สุดถูกเก็บไว้สำหรับคนเลวที่ต่ำช้าที่สุดของดันเต้ นั่นคือคนทรยศทั้งหลาย ผู้ที่อยู่ในปากทั้งสามของซาตาน และถูกบดเคี้ยวชั่วกัปชั่วกัลป์คือแคสเซียสและบรูตัส ผู้สังหารจูเลียส ซีซาร์และจูดาส อิสคาเรียท

ความท้าทายสำหรับบราวน์คือการพิจารณาผลงานของอัจฉริยะ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักอ่านและศิลปินมานาน 800 ปี เพื่อหาองค์ประกอบที่จะเป็นจุดเริ่มต้นส่งเขาเข้าสู่ทริลเลอร์ของโรเบิร์ต แลงดอน คำตอบเกิดขึ้นเมื่อบราวน์จินตนาการว่า ไอเดียสมัยใหม่สำหรับนรกจะเป็นยังไง แล้วเขาก็คิดคอนเซ็ปต์สองแบบที่เข้ากันอย่างเหมาะเจาะขึ้นมา คอนเซ็ปต์หนึ่งคือโลกที่มีประชากรล้นหลาม คนหลายพันล้านคนไม่สามารถหาปัจจัยหล่อเลี้ยงชีพได้ และอีกคอนเซ็ปต์หนึ่งคือโรคร้ายที่คร่าชีวิตประชากรของโลกไปครึ่งหนึ่ง และสำหรับนรกบนดิน บราวน์ก็ได้ยืมไอเดียการลงทัณฑ์อย่างสาสมของดันเต้มาใช้ นั่นคือในการลงทัณฑ์มนุษยชาติที่ครอบครองโลกเกินกว่าทรัพยากรที่มีบนโลกใบนี้ ผู้ร้ายก็จะปล่อยเชื้อโรคร้ายที่จะสังหารผู้คนเป็นพันๆ ล้านคนออกมา
    

 

 

เช่นเดียวกับใน The Da Vinci Code และ Angels & Demons แดน บราวน์ ได้กล่าวถึงประเด็นที่เข้าถึงได้อย่างมากในโลกปัจจุบันในเรื่อง Inferno ในนิยายของบราวน์และในภาพยนตร์ แฮงค์กล่าวว่า “มันมักจะมีการตั้งคำถามเสมออ” ใน Inferno คำถามเกี่ยวกับประชากรล้นโลก “มันมีคนเกิดขึ้นมามากเกินไปจริงๆ หรือ มีวิธีไหนมั้ยที่เราจะสามารถแก้ไขปัญหาประชากรล้นโลกของเราได้ หรือโลกของเราจะกลายเป็นนรกของดันเต้ในเวอร์ชันใหม่กันล่ะครับ”
ฃเช่นเดียวกับนิยายเล่มก่อนหน้านี้ Inferno ก็เป็นการผจญภัยทั่วโลกอย่างแท้จริง “มันเป็นหนึ่งในโบนัสเยี่ยมๆ ของการได้แสดงหนังพวกนี้ครับ” แฮงค์กล่าว “เรามักจะได้ไปในสถานที่จริงๆ ที่น่าทึ่งเสมอ ใน Inferno เราได้ขึ้นหลังคาบาซิลลิกา ออฟ ซาน มาร์โกในเมืองเวนิส ซึ่งมันเป็นอะไรที่เยี่ยมยอดไปเลยครับ!”

“มันเป็นเรื่องเยี่ยมเสมอในตอนที่คุณสร้างหนังแล้วคุณสามารถไปอยู่ในโลเกชันจริงๆ ได้” ฮาวเวิร์ดกล่าว “การสร้างฉากเยี่ยมก็จริง CGI ก็วิเศษสุด แต่ไม่มีอะไรเหมือนกับตอนที่คุณได้อยู่ในสถานที่นั้นจริงๆ และลักษณะที่มันมีอิทธิพลต่อทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งหน้ากล้องและหลังกล้องครับ”

ตามแบบฉบับของแดน บราวน์ ตัวผู้ชมเหมือนจะอยู่ติดกับแลงดอนในตอนที่เขาคลี่คลายปริศนาแต่ละอย่าง และสร้างประสบการณ์ที่ลืมไม่ลง ซึ่งผู้ชมคาดหวังจากภาพยนตร์พวกนี้

 

Inferno

  • 10 November 2016
  • Adventure / ระทึกขวัญ /
  • 121 นาที
15+

ข่าวที่เกี่ยวข้อง