HIGHLIGHT CONTENT

ข้อมูลภาพยนตร์ Romeo and Juliet

  • 11,255
  • 04 ต.ค. 2013

ข้อมูลภาพยนตร์ Romeo and Juliet

ประเภท Drama/ Romance
กำหนดฉาย 5 ธันวาคม 2556
บริษัทจัดจำหน่าย โมโนฟิล์ม
อำนวยการสร้าง ไอลีน ไมเซล (The Golden Compass, Inkheart, Ripley’s Game)
กำกับ คาโล่ คาร์ไล (The Flight of the Innocent, Fluke)
เขียนบท จูเลี่ยน เฟลโลส์ (Downtown Abbey, The Tourist, Gosford Park)
นำแสดง ดักลาส บูธ (LOL) เฮลี่ สไตน์เฟล (True Grit, Ender’s Game) พอล จิอาแมตติ (Sideways, Shoot ‘Em Up)
 

เรื่องย่อ

เรื่องราวแห่งความรักท่ามกลางความขัดแย้งของสองตระกูล “โรมิโอแห่งมอนเตคิว” และ ”จูเลียตแห่งคาปูเล็ต” แม้ว่าเครือญาติของทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะก่อเหตุวิวาทกันอยู่ตลอดเวลา แต่โรมิโอก็ไม่ได้สนใจในเรื่องเหล่านั้น หากแต่เป็นเรื่องของความรักที่เขาแสวงหา โดยแรกเริ่มเขาหลงรัก “โรซารีน”แห่งตระกูลคาปูเล็ต ประสบจวบเหมาะกับมีการจัดงานเลี้ยงบอลรูม ณ บ้านของคาปูเล็ต โรมิโอจึงคิดหาวิธีที่เข้าไปในงานนั้นจนได้ แต่เมื่อเขาได้พบกับ จูเลียต หญิงสาวแห่งตระกูลคาปูเล็ตอีกคน ก็ทำให้เขาได้ตกหลุมรักเธอในทันที เช่นเดียวกันกับจูเลียตที่เธอเห็นในความกล้าและโรแมนติกของโรมิโอ ที่มาบอกรักเธอที่ตรงระเบียงห้องของเธอ ทั้งสองตกหลุมรักกันแต่ทั้งคู่ก็รู้ดีว่า สองตระกูลมีความขัดแย้งที่รุนแรงจึงกลายมาเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ในความรักของทั้งคู่ โรมิโอและจูเลียตจึงวางแผนการเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน แต่แผนนั้นจะสำเร็จหรือไม่ แล้วทั้งสองจะพบในรักนิรันดร์หรือจะเจอโศกนาฏกรรมที่ไม่มีวันเลือน

เกี่ยวกับงานสร้าง

ชายหนุ่มที่มีความหุนหันพลันแล่นและอ่อนไหวในตัวเอง เขาสัตย์ซื่อต่อสิ่งที่ทำให้เขาดำรงอยู่ได้นั่นก็คือ”หัวใจของเขา” และเธอผู้มีจิตใจอ่อนโยน ผู้ที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์และอ่อนต่อความรักนัก และพวกเขาทั้งสองก็ตกหลุมรักในกันและกัน ถึงแม้ว่าพ่อแม่และบรรดาเครือตระกูลต่างข้องขอดและมีความบาดหมายกันมายาวนาน แต่ก็ไม่อาจพรากความรักของทั้งสองลงได้ ชายหนุ่มผู้นั้นมีนามว่า “โรมิโอ” และเธอในนามของ “จูเลียต” ความรักที่จะนำพาทั้งสองไปให้ได้ไกลที่สุดแม้จะต้องผ่านการตรากตรำทั้งการวางแผนและการกุมความลับ ซึ่งนำพามาสู่การทะเลาะเบาะแว้งของวงศ์ตระกูลที่มากขึ้นไปจนไปถึงจุดสิ้นสุดนั่นคือความรักและการสูญเสีย วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ ได้บรรจงเขียนเรื่องราวแห่งโรมิโอและจูเลียต ในช่วงปี 1591 ถึงปี 1595 โดยเขาได้นิยามบทละครเรื่องนี้ว่าเป็น “เรื่องราวแห่งโศกนาฏกรรมแห่งดวงดาวและความรัก” ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะชนมาหลายต่อหลายยุคสมัยแล้วว่ามีเนื้อหาความรักที่จับใจและยังคงสดใหม่อยู่เสมอ กว่า 40 ปีแล้วที่บทละครแห่งเชคสเปียร์ได้รับการตีความใหม่มาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นในละครเวที หรือ การตีความในภาพยนตร์ที่ออกไปในสมัยใหม่จนกลายเป็นว่าเราไม่เห็นรากเหง้าเดิมของสถานที่เกิดขึ้นจริงๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นการกลับไปสู่รากเหง้าดั้งเดิมที่เชคสเปียร์ได้จินตนาการไว้นั่นคือเมือง เวโรน่า แห่งประเทศอิตาลี โดยได้มือเขียนบทอันยอดเยี่ยมเจ้าของรางวัลออสก้าร์ “จูเลี่ยน เฟลโลวส์” ผู้ดัดแปลงงานเขียนบทละครอันหนักอึ้งอย่างเรื่อง ดาวตั้น แอบบี้ จนได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลเอมมี่อวอร์ดส์อีกด้วย จูเลี่ยนคร่ำหวอดในวงการการเขียนบทภาพยนตร์แนวพีเรียดเป็นอย่างมาก ย้อนกลับไปเมื่อตอนปี 2001 เขาเคยได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Gosford Park ซึ่งก็เป็นภาพยนตร์แนวพีเรียดอีกเช่นกันซึ่งก็ทำให้เขาได้รับรางวัลออสก้าร์ไปครองในรางวัลเขียนบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิม โจทย์ที่เขาได้รับก็คือการทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าถึงเด็กหนุ่มสาวในสมัยนี้ได้ง่าย ไอลีน ไมเซลล์ รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์หลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ เหตุผลที่เธอเลือกที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพราะว่าเธอคิดว่าเด็กๆในยุดสมัยนี้ขาดการรับรู้ว่าเรื่องราวของโรมิโอและจูเลียตที่แท้จริงเป็นอย่างไร พวกเขาอาจจะหลงลืมไปถึงการที่เรื่องราวที่เป็นขนบธรรมนียมแบบเก่าๆ ความโรแมนติกที่ยุคนี้ขาดหายไป รวมไปถึงเสน่ห์ของภาพยนตร์แบบพีเรียดที่มีการใส่ชุดและการออกแบบงานฉาก แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการเล่าเรื่องว่านี่คือเรื่องราวของ “ความรัก” และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาเมื่อคุณเลือกที่จะเดินไปในเส้นทางนี้ เพราะสิ่งที่ตามมาหลังจากความรักก็คือ “ความเสียสละ” ความเจ็บปวด การไถ่บาป และความสูญเสีย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นกระบวนการที่ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนหรือใครก็ตามก็ต้องพานพบกับเรื่องของความรักและการสูญเสีย ไม่มากก็น้อย นี่คือสิ่งที่ ไอลีน ไมเซลล์ได้กล่าวไว้กับ จูเลี่ยน เฟลโลวส์ ก่อนที่เขาจะเริ่มเขียนบท เพื่อที่จะได้ให้ทั้งสองได้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน “มันจะไม่ได้เป็นเพียงภาพยนตร์แนวพีเรียดเรื่องหนึ่งแล้วจบไป” ไอลีน กล่าวต่อ เธอรู้ดีว่ายุคสมัยที่เปลี่ยน คนที่เสพงานภาพยนตร์ก็เปลี่ยนตาม ถ้าหากเรายังล้าหลังแล้วเล่าเรื่องราวด้วยธรรมเนียมแบบเดิมๆ แม้มันจะเป็นเรื่องราวแห่งยุคเงิน มีเครื่องแต่งกายที่ดูอลังการ มีความสวยงามของภาพ มีสถาปัตย์แห่งยุคสมัยก่อน แต่แล้วก็พลาดท่าด้วยความที่หนังมันขาดความฉับไว และ ความสดใหม่ในการเล่าเรื่อง ดังนั้นโจทย์ของเราคือการเล่าเรื่องอย่างไรให้สดใหม่และดูสนุกกว่าภาพยนตร์ย้อนยุคเรื่องอื่นๆ เพื่อที่จะได้ทำให้คนดูหนังในยุคใหม่ๆเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงจำเป็นที่การเขียนบทจะต้องมีความแม่นยำ ตรงไปตรงมาและไม่เยิ่นเย้อ ไอลีน กล่าวชื่นชมในผลงานของภาพยนตร์โรมิโอและจูเลียตในฉบับการตีความของ บาซ เลอห์มาน ที่มี ลีโอนาโด้ ดาปริโอ้เล่น “ฉันคิดว่านี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากเรื่องหนึ่งในการเล่าเรื่องแต่ด้วยความที่มันเป็นการตีความนอกกรอบของยุคสมัยที่เกิดเรื่องราวขึ้นจริงๆเราจึงไม่เห็นฉากหลังที่เป็นเรื่องราวย้อนยุคอย่างที่เราอยากให้เป็น” และถ้าหากให้ย้อนกลับไป ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องของโรมิโอและจูเลียตในยุคสมัยก่อนจริงๆก็มีเพียงแค่ฉบับของ ฟรานโก้ เซฟิเรลลี่ ย้อนหลังไปถึงปี 1968 นู่น จูเลี่ยน เฟลโลวส์ ได้กล่าวว่าตัวบทละครเองมันมีความเป็นภาพยนตร์อยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว เราเพียงแต่แค่ต้องหยิบยกประเด็นมาดัดแปลงให้เป็นบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ เขากล่าวด้วยท่าทียกยอบทละครเรื่องนี้ แน่นอนว่าแก่นของเรื่องมันมีอยู่ชัดเจนในตัวของมัน สิ่งที่เขาต้องทำก็เพียงแค่บิดบางส่วนเพื่อที่จะทำให้มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนที่ดูหนัง เขาหยิบยกบางฉากที่ว่ามันเป็นเพียงแค่บทละครที่เมื่อคนดูละครเวที ก็จะเพียงแค่เก็บเอาไปพูดไปคิด แต่ในเมื่อมันอยู่ในจอภาพยนตร์ เราก็สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นได้ เช่นการปรุงแต่งฉากให้ดูอลังการจนผู้คนต้องตระการตาในสิ่งที่พวกเขาเห็น ระหว่างที่เตรียมงาน ไอลีน และ เฟลโลวส์ ก็ได้พบเจอกับนายทุนที่มีความคิดมาในแนวทางเดียวกันนั่นก็คือจากบริษัท สวารอฟสกี้ เอนเตอร์เทนเมนท์ บริษัทผู้ผลิตคริสตัลหรูหราระดับโลก บริษัทนี้ก็เคยสนับสนุนงานธุรกิจภาพยนตร์มาอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นการสร้างฉากหลังของงานประกาศรางวัลยิ่งใหญ่ของโลกอย่างเวทีออสก้าร์และด้วยประวัติอันยาวนานถึง 75 ปี ที่เคยสนับสนุนผลงานในภาพยนตร์เรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชุดแต่งกาย เครื่องเพชร หรือแม้กระทั่งเนรมิตฉากต่างๆ ล่าสุดคือการเป็นผู้สนับสนุนงานฉากในภาพยนตร์เรื่อง Evita และ Dreamgirls ซึ่งทั้งสองเรื่องได้รับรางวัลจากเวทีออสก้าร์ทั้งคู่ นับว่าเป็นการเปิดแนวธุรกิจใหม่ที่ชาญฉลาดเพราะว่างานด้านภาพยนตร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาคนในหมู่มาก และสิ่งสำคัญที่บริษัท สวารอฟสกี้ จะต้องจัดทำก็คือการเป็นผู้ออกแบบและจัดทำเครื่องแต่งกายที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งหมด นับว่าเป็นบทบาทสำคัญทางบริษัทร่วมเป็นผู้ลงทุนหลักในภาพยนตร์เรื่องนี้ไปโดยปริยาย เมื่อครั้งที่ไอลีน ไมเซลล์กำลังมองหาผู้กำกับที่จะมาควบคุมงานที่ต้องอาศัยความประณีตขนาดนี้ เฟลโลวส์แนะนำให้รู้จักกับผู้กำกับชาวอิตาลี่ที่ชื่อว่า “คาร์โล่ คาร์ไล” ซึ่งเมื่อไอลีนได้ไปรู้จักกับผลงานในอดีตของคาร์โล่ มันทำให้เห็นว่าเขาคนนี้คือศิลปินตัวจริง ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความที่เขาเป็นคนอิตาเลี่ยนเขาจึงมีมุมมองและวิสัยทัศน์ใ นการตีความ สถาปัต และศิลปะของประเทศอิตาลีได้ดีกว่าคนอื่นๆ “พวกเราตื่นเต้นมากจริงที่รู้ว่าเขาตอบรับที่จะมากำกับให้กับภาพยนตร์ของเรา” ไอลีน กล่าว การคัดเลือกนักแสดงเป็นงานที่หินที่สุดเพราะมันเป็นเหมือนกับการที่เราจะต้องเลือกตัวแทน สัญลักษณ์แห่งโรมิโอและจูเลียตในยุคของเรา ถ้าหากเราเลือกผิดไป หรือการแสดงไปไม่ถึงเราอาจจะต้องยกเลิกหรือเปลี่ยนนักแสดงกลางคันเลยด้วยซ้ำดังนั้นนี่จึงเป็นงานที่อาศัยความพิถีพิถันเป็นอย่างมาก บทแรกที่เราคัดเลือกคือตัวจูเลียต สาวน้อยผู้ที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์ เราคัดเลือกนักแสดงจากกว่า 100 ชีวิต จนกระทั่งมาเหลือ 10 คนสุดท้าย และหนึ่งในนั้นคือ “เฮลี่ย์ สไตน์เฟล” เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นการแสดงของดาราวัยรุ่นที่อายุเพียงแค่ 15 ปี แต่สามารถขึ้นไปโลดแล่นบนเวทีออสการ์ได้อย่างสง่าผ่าเผย “เราชอบเธอแสดงในหนังเรื่อง True Grit มาก” ไอลีนกล่าว แม้ภาพยนตร์เรื่องนั้นเธอจะพลาดรางวัลออสก้าร์กลับมือไปแต่ก็นับว่าเป็นนักแสดงที่อายุน้อยมากๆ และการแสดงก็ถือเรียกชั้นได้ว่า “ไร้ที่ติ” ดังนั้นเราจึงมาคาดหวังกับเธอในการออดิชั่นบทของจูเลียต และเธอก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ในระหว่างที่เธอกล่าวบทละครของเชคสเปียร์ เราคาดหวังที่จะได้เห็นการแสดงที่ทำให้เราเชื่อว่าเธอคือจูเลียตจริงๆ “แต่เธอทำได้มากกว่านั้น” – ไอลีน กล่าวต่อ “เธอแสดงในเห็นถึงพลังการแสดงและความบริสุทธิ์ผุดผ่องผ่านสายตาของเธอ จนมันทำให้ฉันแอบมีน้ำตาเอ่อขึ้นมาเล็กน้อยได้จริงๆ” ทีมงานจึงตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์ว่านี่แหละคือจูเลียตของเรา บทที่ยากพอกันคือนักแสดงที่มารับบทโรมิโอ สุดท้ายเราก็ได้ไป หนุ่มรูปหล่อที่มีนามว่า “ดักลาส บูธ” เขาเคยแสดงมาในนิยายแนวเดียวกันจากเรื่อง “Pillars of the Earth” และ “Great Expectations” ในตอนแรก เรามองเขาว่าเป็นคนที่เย่อหยิ่งและทะนงตนสูง ซึ่งมันก็ไม่เหมาะกับบทโรมิโอเสียทีเดียว แต่แล้วเราก็มาเปลี่ยนใจเมื่อได้ดูเขาแสดงบท”โรมิโอ” เขาช่างดูงดงามและอ่อนโยนที่มาพร้อมกับเสน่ห์ที่สาวๆหลายคนต้องหลงไหล เรารู้ดีว่าเราเลือกใช้นักแสดงที่หน้าใหม่มากๆ หลายคนอาจจะไม่เคยได้รู้จักผลงานของทั้งคู่มาก่อน เราจึงต้องคัดเลือกนักแสดงประกอบที่จะมาเพิ่มสีสันให้กับหนังของเรา พร้อมทั้งเปรียบเสมือนเสาหลักที่จะเป็นตัวประครองนักแสดงหน้าใหม่ทั้งสองไปให้ถึงฝั่ง เรามองไปที่นักแสดงอย่าง “พอล จิอาแมตติ” ในบทบาทหลวงผู้ที่มีความหวังที่จะเห็นสองตระกูลนี้เลิกเป็นศัตรูคู่อาฆาต และเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่รับรู้เรื่องราวความรักของทั้งสอง ดังนั้นมันจึงมีความสำคัญมากๆที่จะหานักแสดงสักคนหนึ่งที่จะมารับบทที่สำคัญเช่นนี้ พอล จิอาแมตติ ที่เคยรับบทนำในเรื่อง Sideways เรื่องนั้นทำให้เราเห็นว่าความสามารถของเขาในการรับบทอันหลากหลายอีกทั้งยังน่าสนใจในเวลาเดียวกันเราจึงเลือกเขาอย่างไม่ยากเย็นนัก นักแสดงอย่าง “เอ็ด เวสท์วิค” นักแสดงจากซีรี่ย์ยอดฮิตอย่าง Gossip Girl ได้รับบทเป็น “ไทบอลท์” ศัตรูคู่อาฆาตของโรมิโอ ในบทเขาจะต้องเป็นตัวร้ายที่จะคอยขัดขวางความรักของโรมิโอ นอกจากนั้นก็ยังมี “เดเมียน ลูอิส” จากซีรี่ย์ Homeland และภาพยนตร์เรื่อง Dreamcatcher นอกจากนั้นก็ยังมีนักแสดงฟอร์มเก๋าอีกหนึ่งคนด้วยอย่าง สเตลแลน สคาการ์ด จากภาพยนตร์เรื่อง Thor และ Pirate of the Caribbean นับว่าเป็นการรวมดาราชั้นยอดเอาไว้ด้วยกันในภาพยนตร์เรื่องโรมิโอและจูเลียต

โรมิโอและจูเลียตในโลกแห่งความจริงและโลกแห่งภาพยนตร์

การที่ได้มาเป็นคนอังกฤษมาตั้งแต่เกิด “ดักลาส บูธ” ก็น่าจะเป็นคนหนึ่งที่ซึมซับกับวัฒนธรรมของประเทศที่เต็มไปด้วยวรรณกรรมของวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ เพราะเขาเปรียบเสมือนกวีเอกของอังกฤษและของโลก ดักลาส บูธ เสริมอีกว่า “ แม้ว่าบทละครของ เชคสเปียร์ จะยอดเยี่ยมมากแค่ไหน แต่เมื่อพอเขาได้มาอ่านบทภาพยนตร์ของ จูเลี่ยน เฟลโลวส์ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกอินไปกับหนังมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะมันทำให้เราเข้าใจบทและตัวละครเข้าไปลึกซึ้ง และมันยังกระตุ้นและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มแรงขับในการแสดงขึ้นไปอีก” การที่เขาได้รู้ว่าจะได้รับบทเป็นโรมิโอคู่กับ เฮลี่ย์ สไตน์เฟล เขาก็ยิ่งตื่นเต้นไปอีกเพราะว่าเขาเองก็ติดตามผลงานของเธอมาก่อนเช่นกัน “เฮลี่ย์มีทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมมาก ผมรู้สึกยินดีและดีใจเป็นอย่างมาก ยิ่งกว่านั้นเธออายุเพิ่งจะ 15 ปีเองด้วย” จูเลียตที่ได้สวมบทโดยเฮลี่ย์กลับกลายเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์และน่าสนมาก ตัวเฮลี่ย์จริงๆก็เป็นเช่นนั้น เธอดูเป็นหญิงที่น่ารักไร้เดียงสาแต่เธอก็เป็นคนที่รู้จักโลกอย่างกว้างขวางมากเช่นกัน มันเป็นเสน่ห์ที่ขัดแย้งกันในตัวของเธอเอง “เธอเป็นคนที่ทำให้ตัวละครของจูเลียตมีความซับซ้อน น่าค้นหา และยิ่งไปกว่านั้นคือเธอทำให้เห็นว่าตัวละครแบบนี้มันมีอยู่จริงในโลกปัจจุบัน” - ดักลาส บูธกล่าว เฮลี่ย์ สไตน์เฟล พิสูจน์ให้เราเห็นได้บ่อยครั้งมากๆว่าเธอสามารถรับมือกับบทพูดที่ยากและซับซ้อน แต่เธอก็สามารถจดจำและตีบทได้แตกฉานในทุกๆประโยคที่เธอได้รับ เรื่องบังเอิญอย่างหนึ่งก็คือเธอได้รับให้ไปคัดเลือกบทของ จูเลี่ยน เฟลโลวส์ ในขณะเดียวกันกับที่เธอกำลังแสดงละครเวทีของที่โรงเรียนอยู่เช่นเดียวกัน “มันเป็นเรื่องบังเอิญมากที่พวกเขาส่งบทมาให้ฉันอ่าน ในขณะที่ฉันก็กำกลังเตรียมพร้อมกับงานแสดงที่โรงเรียน ต้องขอขอบคุณจูเลี่ยนมากๆที่ทำให้ฉันได้เข้าใจในบทของจูเลียตเพิ่มขึ้นอีก โดยที่ฉันไม่จำเป็นที่จะต้องไปค้นคว้าเพิ่มเติมเลยสักนิด เพราะฉันว่าฉันเข้าใจในตัวของจูเลียตได้จริงๆ” ดักลาส บูธ ได้เจอกับ เฮลี่ย์ สไตน์เฟล ครั้งแรกที่งานบอลรูม ที่ นิวยอร์ค จะเป็นเรื่องแปลกหรือไม่ที่ทั้งสองได้ทำความรู้จักและสนิทสนมกันเสียก่อนที่จะเริ่มการถ่ายทำเสียอีก สองสัปดาห์ถัดมาจากคืนนั้นพวกเขาทั้งสองก็ต้องไปเข้าแคมป์เตรียมตัวการแสดง ณ กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ซึ่งพวกเขาทั้งสองก็ทุ่มเทอย่างหนักก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำจริง เฮลี่ย์ กล่าวเพียงแค่ว่า “ในช่วงนั้นฉันรู้สึกถึงเคมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราเข้าขากันดีมากในการฝึกซ้อมการแสดง” และเมื่อเริ่มการถ่ายทำจริง เธอก็พูดกับเขาว่า “เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า” นับว่าเป็นความมุ่งมั่นที่จะแสดงเรื่องนี้ให้ดีเท่าที่เธอจะทำได้ ทั้ง ดักลาส บูธ และ เฮลี่ย์ ต่างคิดตรงกันว่า พวกเขาอยากที่จะทำให้คนดูในวัยหนุ่มสาว ต่างจินตนาการว่าพวกเขาทุกคนนั้นคือ โรมิโอ และ จูเลียต จูเลียตนั้นเป็นคนที่รักอิสระ จิตใจอันบริสุทธิ์ ที่มีความมุ่งหวังที่จะได้พบกับความรักแท้ “ฉันอยากให้ทุกคนได้เป็นเหมือนกับฉัน ฉันอยากให้ทุกคนได้พบกับ โรมิโอ ของตัวเอง” ซึ่งแน่นอนว่านี่คือชีวิตของคำว่าวัยรุ่นที่ทุกคนต้องพบเจอ การกีดกันจากพ่อแม่ เพราะเหตุผลที่ว่านี่ยังไม่ถึงเวลา แต่แน่ล่ะ เราทุกคนเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว วันที่เรามีอยากมีความรักจนล้นใจ แต่อุปสรรคขวากหนามของภาวะที่เรียกว่าเป็นวัยรุ่นนั้นถูกกีดขวาง ในบทของจูเลียต เปรียบเรื่องของการขัดแย้งเป็นเรื่องของวงศ์ตระกูลของ คาปูเล็ตและ มอนเตคิว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่บทของ จูเลี่ยน เฟลโลวส์ต้องการอยากให้ทุกคนเห็นและได้รับรู้ก็คือ ถึงแม้ว่าทุกคนจะต้องพานพบกับอุปสรรคของความรัก เพราะนั่นคือความหมายของความรัก มันไม่มีความรักไหนที่จะไม่ต้องเจอกับความเจ็บปวด แต่คุณก็อย่าลืมที่จะต้องค้นหาความเป็น โรมิโอ และ จูเลียต ในตัวของคุณเอง จริงอยู่ว่าการที่จะเข้าใจวรรณกรรมในยุคศตวรรษที่ 16 นั้นเป็นเรื่องที่ยาก เมื่อตอนที่เขาทั้งสองเข้าฝึกการแสดงและ เฮลี่ย์ เริ่มมีปัญหาในการจับตัวตนในบทของเธอไม่ออก เช้าวันรุ่งขึ้น ดักลาส บูธ หยิบบทความจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมาให้เฮลี่ย์ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มสาววัยรุ่นอายุ 15 ปี คู่หนึ่ง ฝ่ายชายได้หยิบปืนขึ้นมาเช็ดถูทำความสะอาดและเกิดอุบัติเหตุปืนลั่นใส่แฟนสาวของเขา เขาทั้งรู้สึกผิด เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและคิดว่าคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา เขาจึงหยิบปืนกระบอกเดียวกันนั้นเองยิงตัวเองจนตายไป ดักลาส บูธ กล่าวต่อว่า “นี่เป็นเรื่องราวที่ไม่ได้ไกลตัวเลย เรื่องราวของคู่รักที่ทั้งสองพร้อมที่จะสละชีพเมื่อต้องพบเจอกับความโศกเศร้า ทุกคนน่าจะสามารถเชื่อมตัวเองเข้ากับสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นจริงนี้ได้ เรื่องของความรักของโรมิโอจึงยังคงดำเนินเรื่องราวไปด้วยความคลาสสิกเพราะมันเป็นเรื่องราวของธรรมชาติมนุษย์จริงๆ” เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องแต่ง แต่เรื่องราวความรักและความโศกเศร้าได้เกิดขึ้นกับเราโลกของเราทุกวัน และเรื่องราวของโรมิโอและจูเลียตก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อสองวันที่ผ่านมานี้เลย เรื่องราวความประทับใจของเฮลี่ย์ สไตน์เฟล ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของความรักเพียงเท่านั้น เธอยังคงติดใจกับฉากที่น่าจดจำของเรื่องโรมิโอและจูเลียตได้อีกด้วยนั่นก็คือฉากตรงระเบียงห้องนอนของเธอ เมื่อเธอได้เริ่มแสดงฉากนั้น กลางคืนที่เงียบสงัด เธอเดินออกมาที่ระเบียงห้องนอน หารู้ไม่ว่าโรมิโอกำลังแอบมองเธออยู่ จูเลียตพร่ำเพ้อถึงชายหนุ่มที่นางเพิ่งเจอที่งานเลี้ยง ฉากนี้นับว่าเป็นฉากที่คลาสสิกและสวยงามที่สุด ไม่ว่าจะเป็นละครเวทีเรื่องไหนๆ ก็คงไม่มีฉากไหนที่สัญลักษณ์ที่โดดเด่นเท่ากับฉากนี้ หลังจากที่เธอถ่ายฉากนี้จบไป เธอก็เดินมาบอกผู้กำกับว่า “นี่คือฉากที่ฉันรักที่สุดในหนังเรื่องนี้เลยล่ะ”

โรมิโอและจูเลียตจากบทละครสู่จอภาพยนตร์

ในช่วงแรกเริ่มของการดัดแปลงงานละครของโรมิโอและจูเลียตเป็นงานที่ภาพยนตร์ให้ความสนใจเป็นอย่างมากเพราะละครนั้นเต็มไปฉากแห่งสัญลักษณ์ที่ผู้คนจดจำไม่ว่าจะเป็น ฉากระเบียงห้องนอนของจูเลียต ฉากการตายของไทบอลท์และ เมอร์คเคียวติโอ หรือ แม้กระทั่งฉากบนแท่นวางศพในฉากสุดท้ายของเรื่อง รวมไปถึงบทพูดในหลายๆประโยคของบทละครเรื่องนี้ ย้อนกลับไปเมื่อยุคเริ่มต้นแห่งศตวรรษที่ 19 หลังจากที่ได้เริ่มมีธุรกิจภาพยนตร์เพียงแค่ 4 ปี บทละครโรมิโอก็ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาสร้างครั้งแรกในภาพยนตร์ฝรั่งเศส ในปี 1908 วงการฮอลลีวูดก็หยิบยกเอาไปใช้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน อีกครั้งหนึ่งในปี 1916 จากนั้น ในปี 1936 บริษัท MGM ก็หยิบเรื่องนี้เอาไปสร้าง ในปี 1954 ฉบับของประเทศอังกฤษก็ได้สร้างขึ้นอีกครั้งด้วย ในฉบับนี้ได้รางวัลในเวที เวนิซ ฟิล์มเฟสติวัล แล้วก็มาถึงฉบับที่โด่งดังที่สุดก็คือในปี 1968 กำกับภาพยนตร์โดย ฟรานโก้ เซฟฟิลี่ นำแสดงโดย โอลิเวีย ฮัสสี่ และ ลีโอนาร์ด ไวท์ติ้ง ภาพยนตร์ได้รับรางวัลออสการ์ในสาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม การแต่งกายยอดเยี่ยมและทำเงินไปทั้ง 40 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้างเพียงแค่ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ฉบับของ ลีโอนาโด้ ดีคราปริโอ้ ใน ปี 1996 นั้นกำกับโดยผู้กำกับมือทอง บาซ เลอห์มาน ภาพยนตร์ได้รับการตีความใหม่โดยใช้เบื้องหลังของโลกที่เกิดขึ้นเหมือนกับเป็นยุคสมัยใหม่ โดยมีแบคกราวน์เป็นเมืองไมอามี่ของเป็นอเมริกาเป็นศูนย์กลางของเรื่อง หนังเปลี่ยนจากการดวลดาบเป็นการดวลปืน จากฉากระเบียงห้องนอนกลายมาเป็นฉากสระว่ายน้ำ และหนังก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจนกระทั่ง บาซ เลอห์มาน ได้รับหน้าที่ให้กลับไปทำภาพยนตร์ในแนวเดียวกันอีกในเรื่อง Moulin Rouge ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องโรมิโอและจูเลียตก็มีอีกไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นถาพยนตร์คลาสสิกอย่าง West Side Story ที่ได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงจนกลายมาเป็นแบคกราวในเมืองนิวยิร์ในยุค 50 นอกจากนั้นก็ยังมีภาพยนตร์อย่าง Shakespeare in Love ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครองจากเวทีออสการ์ นอกนั้นก็ยังมีภาพยนตร์อย่าง Romanoff and Juliet, Romeo Must Die ที่ได้เจ็ทลี มาเล่นในหนังแอคชั่นกำลังภายใน การ์ตูนเรื่อง Gnomeo and Juliet และก็มาถึงภาพยนตร์ที่ยกย่องความเป็นอมตะอย่าง Romeo and Juliet ในฉบับปี 2013

เกี่ยวกับทีมสร้าง

ผู้กำกับ – คาร์โล่ คาร์ไล ภาพยนตร์ของเขาได้รับรางวัลภาพยนตร์ต่างชาติยอดเยี่ยม ในเวทีโกลเด้นโกลบอวอร์ดส์จากภาพยนตร์เรื่อง “Flight of the Innocent” ภาพยนตร์ได้รับรางวัลมากมายในรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมในรางวัล จนกระทั่งได้รับงานอย่างต่อเนื่องจากทั้งที่ฮอลลีวูดและประเทศทางแถบยุโรป คาร์ไลเกิดที่เมือง คาลาเบรีย ของประเทศอิตาลี เขาเกี่ยวข้องกับวงการภาพยนตร์มาตั้งแต่เล็กๆ และเริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนภาพยนตร์แห่งกรุงโรม หลังจากภาพยนตร์สร้างชื่ออย่าง Flight of the Innocent และ Fluke เขาได้กลับไปสร้างภาพยนตร์ที่บ้านเกิดและได้สร้างซีรี่ย์ที่ชื่อว่า Ferrari เป็นภาพยนตร์ประวัติเกี่ยวผู้แข่งรถจนกระทั่งได้ทำลายสถิติยอดผู้ชมสูงที่สุดและได้รับรางวัลอีกมากมาย เขากลับมาอีกครั้งในภาพยนตร์ฮอลลีวูดในภาพยนตร์เรื่อง โรมิโอ และ จูเลียต ผู้เขียนบทภาพยนตร์ / ควบคุมงานสร้าง – จูเลี่ยน เฟลโลวส์ จูเลี่ยน เฟลโลวส์ได้รับการยกย่องจากฮอลลีวูดว่าเป็นนักเขียนระดับเกรดเอ หลักจากที่เชาได้รับรางวัลเขียนบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสก้าร์จากเรื่อง Gosford Park ในปี 2002 และเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขาได้ร่วมโปรดิวซ์ด้วย ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงถึง 7 รางวัลรวมทั้ง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีนั้นด้วย ตามมาด้วย เรื่อง Vanity Fair ภาพยนตร์ในแนวพีเรียดอีกเรื่องหนึ่งในปี 2004 นำแสดงโดย รีซ วีเทอร์สปูน เขาได้เขียนบทอย่างเรื่อง The Tourist ที่ได้ จอนนี่ เดปป์และแอนเจลิน่า โจลี่ มาแสดงนำ ผลงานล่าสุดของเขา ดาวน์ตั้น แอบบี้ ภาพยนตร์ซีรี่ย์แนวพีเรียดเป็นเรื่องราวของชีวิตของชนชั้นสูงและต่ำภายในบ้านหลังหนึ่ง ซีรี่ย์เรื่องนี้ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลเอมมี่ถึง 39 สาขา และได้รางวัลไปถึง 9 รางวัลด้วยกัน ส่วนในเวที โกลเด้นโกลบ อวอร์ดส์ เข้าได้รับการเสนอเข้าชิงถึง 7 สาขา ควบคุมงานสร้าง – ไอลีน ไมเซลส์ ไอลีน อาศัยและทำงานอยู่ที่ประเทศอังกฤษมานานกว่า 20 ปี เธอเริ่มการทำงานเป็นผู้ช่วยประธานกรรมการของบริษัท MGM และได้ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับภาพยนตร์เรื่อง Dangerous Liasons ในปี 1988 จนภาพยนตร์ได้รับรางวัลในเวทีออสการ์ไปถึง 3 รางวัล จากนั้นเธอก็เริ่มทำงานให้กับภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่อีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Ripley’s Game(2002), Birth(2004), The Golden Compass(2007) และ Inkheart(2008) จากประสบการณ์ทำงานของเธอทำให้เธอได้รู้จักผู้คนในวงการมากมายจากทั้งฝั่งของฮอลลีวูดและจากประเทศในฝั่งยุโรป

เกี่ยวกับนักแสดง

ดักลาส บูธ รับบทเป็น โรมิโอ ดักลาส บูธ ได้เริ่มฝึกการแสดงที่ โรงละครเยาวชนประจำชาติ ก่อนที่เขาได้เริ่มเข้าวงการนักแสดง และผู้ที่เห็นแววเขาเป็นคนแรกก็คือ จูเลี่ยน เฟลโลวส์ โดยเขาได้หยิบยื่นบทในภาพยนตร์เรื่อง From Time to Time ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาและเขาก็ได้ไปแสดงร่วมกับนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง แมกกี้ สมิธ(Harry Potter) และ โดมินิค เวสท์ แล้วเข่ก็ได้ไปแสดงในเรื่อง The Pillars of the Earth ที่โปรดิวซ์โดย ริดลี่ย์ สก็อต และเมื่อปีก่อนเขาก็ได้แสดงเป็นดารานำในภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง LOL ที่ประกบคู่กับ Miley Cyrus อีกด้วย ในภาพยนตร์เรื่องโรมิโอและจูเลียต เขาได้รับ โรมิโอ ชายหนุ่มรูปงามที่มีจิตใจงดงาม เขาไม่นิยมเรื่องของความรุนแรง เขามีความปรารถนาเพียงแค่ได้พบเจอกับคนที่เขารัก แต่ด้วยภาวะความขัดแย้งของทั้งสองตระกูล เขาจำต้องทำในสิ่งที่เขาต้องเสียใจไปตลอดชีวิต และเขาจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะได้สมหวังในความรักที่เต็มไปด้วยปัญหาในครั้งนี้ เฮลี่ย์ สไตน์เฟล รับบทเป็น จูเลียต เธอเริ่มการแสดงด้วยวัยเพียงแค่ 8 ขวบ จากนั้นเธอก็ใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวก่อนที่เธอจะได้รับบทในภาพยนตร์ 2010 เธอได้รับคัดเลือกจากนักแสดงที่มาคัดเลือกบทกว่า 15,000 คน ในบท แมตตี้ รอส ในภาพยนตร์เรื่อง True Grit ภาพยนตร์เรื่องนี้นี่แงที่สามารถพาเธอโด่งดังได้เพียงช่วงข้ามคืน ด้วยความที่เป็นดาราวัยเด็กที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในรางวัลออสการ์ นอกจากนั้นเธอยังได้รับการเสนอชื่อจากเวที Screen Actors Guild และ เวที BAFTA อีกด้วย เธอยังได้รับบทจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Ender’s Game ภาพยนตร์แอคชั่นไซไฟ, Three Days to kill ที่นำแสดงโดย เควิน คอสเนอร์ และล่าสุดกับภาพยนตร์เรื่อง Romeo & Juliet ในเรื่องโรมิโอและจูเลียตนั้น เธอรับบทเป็น จูเลียต หญิงสาวผู้ที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง เธอมีจิตใจที่อ่อนโยน แม้ว่าแม่แท้ๆของเธอจะไม่ได้เป็นคนที่เอ็นดูเธอมากนัก แต่เธอก็มีแม่นมที่คอยดูแลและให้คำปรึกษากับเธอแทบจะทุกเรื่อง ไม่เว้นเรื่องของความลับที่เธอมีให้กับโรมิโอ เธอมีความคาดหวังในความรักเสมอ และเธอก็ยอมเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อความรัก พอล จิอาแมตติ รับบทเป็น บาทหลวงลอเรนซ์ นักแสดงมากประกบการณ์ เขามีความสามารถในการรับบทอย่างกว้างขวางตั้งแต่ผู้ชายขี้เหงาไปจนถึงตัวร้ายสุดโหดได้อย่างง่ายดาย แรกเริ่มเขาเริ่มอาชีพการแสดงจากการแสดงในละครบรอดเวย์ จากนั้นเขาก็เข้าสู่วงการภาพยนตร์ด้วยการที่เป็นนักแสดงประกอบเสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Planet of the Apes ฉบับ ทิมเบอร์ตัน , Donnie Braco ของ Mike Newell, The Truman Show ร่วมแสดงกับ จิม แครี่ย์, Saving Private Ryan จากนั้นเขาก็เริ่มมามีบทเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เป็นดารานำในเรื่อง Sideways หนังที่ว่าด้วยผู้ชายใจดี รักเพื่อน เขาเป็นผู้พาเพื่อนของเขาไปรู้จักกับโลกแห่งไวน์ หนังเรื่องนี้ทำให้เขาได้รับรางวัล นักแสดงยอดเยี่ยมจากเวที Independent Spirit Awards และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงดารำชายยอดเยี่ยมจากเวที Golden Globe Awards จากนั้นเขาก็รับหนังและแสดงถงึการแสดงชั้นเยี่ยมอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น The Illusionist, Cinderella Man, lady in the Water, Shoot ’Em up, Cosmopolis จนกระทั่งได้เขาก็ได้มารับบทในเรื่อง Romeo & Juliet ในบทบาทหลวงลอเรนซ์ เขาเป็นผู้ที่ใช้ปรัชญาในการดำรงชีวิต เขาเซ็งและเบื่อหน่ายกับโลกที่มีแต่ความโหดร้าย ศัตรูที่เป็นคู่อาฆาตกัน เขาเป็นบุคคลที่อยู่ตรงกลางของทั้งสองฝ่าย และเขาก็เป็นคนเพียงไม่กี่คนที่รับรู้เรื่องราวความรักของโรมิโอและจูเลียต เขาเป็นผู้ที่วางแผนเพื่อความหวังว่าทั้งสองจะสมความรัก และเขาก็เล็งเห็นโอกาสที่จะทำให้ทั้งสองตระกูลปรองดองซึ่งกันและกัน เอ็ด เวสท์วิก รับบทเป็น ไทบอลท์ เอ็ด เวสวิก เป็นที่รู้จักในนาม ชัค แบส เสียมากกว่าชื่อจริงของเขาเสียอีกเนื่องมาจากซีรี่ย์ยอดฮิตในเรื่อง “Gossip Girl” ด้วยความที่ตัวละครตัวนี้มีหลายมิติมากๆ ทั้งความหยาบกระด้างและความอ่อนยวบในจิตใจเมื่อพานพบกับความรัก เขาเล่นภาพยนตร์อังกฤษอีกหลายเรื่องแต่ก็ไม่ได้รับความนิยมมากนักจนกระทั่งได้มารับบทตัวร้าย ไทบอลท์แห่งตระกูลคาปูเล็ต ตัวละครอย่าง ไทบอลท์ นั้นเป็นตัวละครที่โดดเด่นมาก เพราะเขาจะต้องเป็นทั้งตัวขับเคลื่อนภาพยนตร์และตัวขับเคลื่อนการกระทำของโรมิโอ ด้วยบทที่ต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับโรมิโอ เขาไม่ได้มีเหตุผลอื่นนอกจากมองเห็นบุคคลหนึ่งว่าเป็นศัตรูเพียงเพราะว่าต่างตระกูล ด้วยความที่ตัวละครจะต้องโหดร้าย และกระทำสิ่งที่ไร้เหตุผล แต่เขาก็เป็นญาติของจูเลียต เขาจำต้องกีดขวางเพื่อปกป้องญาติของเขาเพียงเท่านั้น แต่แล้วเมื่อถึงคราวที่ต้องต่อกรกับโรมิโอก็เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปตลอดกาล