HIGHLIGHT CONTENT

บทสัมภาษณ์ นักแสดงนำ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ของ Man of Steel

  • 9,190
  • 18 มิ.ย. 2013

บทสัมภาษณ์ นักแสดงนำ และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ของ Man of Steel - บุรุษเหล็กซูปเปอร์แมน ที่ทำให้คนทั้งโลกเห็นซูเปอร์แมน ในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

บทสัมภาษณ์ เฮนรี คาวิลล์ (คลาร์ก เคนต์/ ซูเปอร์แมน), เอมี อดัมส์ (โลอิส เลน),ไมเคิล แชนนอน (นายพลซอด), อานต์เยอ ทรอ (ฟาโอรา), ไดแอน เลน (มาร์ธา เคนต์), รัสเซลล์ โครว์ (จอร์-เอล), แซ็ค สไนเดอร์ (ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้าง), ชาร์ลส์ โรเวน (ผู้อำนวยการสร้าง), เดโบราห์ สไนเดอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง), เดวิด เอส. โกเยอร์ (ผู้เขียนบท), ฮานส์ ซิมเมอร์ (ผู้ประพันธ์ดนตรี)

คำถาม: คำถามนี้สำหรับทีมผู้สร้างหนังนะครับ ในการตัดสินใจว่าหนังจะเล่าเรื่องราวตอนใด มีอะไรในตัวนายพลซอดที่ทำให้คุณตัดสินใจอยากเล่าเรื่องราวส่วนนี้  

แซ็ค สไนเดอร์: ผมว่าสิ่งหนึ่งที่เจ๋งเกี่ยวกับซอดคือเขาเป็นภัยคุกคามต่อซูเปอร์แมนอย่างแท้จริง เป็นอันตรายร้ายแรงทั้งในแง่กายภาพและอารมณ์ความรู้สึกยิ่งกว่าภัยใดๆ บนโลก เขาไม่เพียงแต่เทียบชั้นกับซูเปอร์แมนได้ในเชิงพละกำลังเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนคนของเขาด้วย ซึ่งในแง่นี้ทำให้เขาเป็นศัตรูที่ยากจะต่อกร

นอกจากนี้ เราต้องการเสนอมุมมองของซอดให้ชัดเจนว่าถ้า [สิ่งที่เกิดขึ้นกับดาวคริปตอน] เกิดขึ้นกับดาวของคุณ และคุณพยายามช่วยคนที่คุณรัก คุณจะยอมทำมากแค่ไหน

คำถาม: คำถามนี้สำหรับเอมี อดัมส์ ซึ่งเป็นโลอิส เลนที่เยี่ยมมาก แต่ก็เป็นโลอิส เลนที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเ อะไรทำให้คุณสนใจบทนี้ และคุณมองว่าโลอิสคนนี้ต่างจากคนก่อนๆ อย่างไร  

เอมี อดัมส์: ฉันเติบโตมากับการดูซูเปอร์แมนและรักตัวละครเหล่านี้ แล้วฉันก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเรื่องที่มาทดสอบบทหลายครั้ง นี่เป็นครั้งที่สาม เพราะฉะนั้นขอบคุณมากนะคะแซ็คที่ให้ฉันได้เล่นเป็นโลอิส

แซ็ค สไนเดอร์: ด้วยความยินดีครับ

เอมี อดัมส์: [หัวเราะ] ตอนฉันคุยกับแซ็คเรื่องโลอิสในภาคนี้ สิ่งที่ฉันชอบคือเธอยังคงเป็นผู้สื่อข่าวที่ใจกล้าบ้าบิ่นอยู่เหมือนเดิม แต่เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของทางแก้ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหา เธอมีโอกาสเข้าถึงคลาร์กจากภายในและเป็นคนในแทนที่จะเป็นคนนอก ฉันชอบส่วนนี้และมองว่าแนวคิดนี้เป็นเอกลักษณ์มาก

ฉันชอบตรงที่แซ็คอยากให้มันเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่อลังการ แต่เขาก็ยังมุ่งความสนใจไปยังตัวละครและความเป็นจริง รวมถึงสร้างตัวละครบนพื้นฐานความเป็นจริงเท่าที่จะทำได้ในโลกอันน่าทึ่งที่เขาได้สร้างขึ้น เขาต้องการให้ตัวละครทั้งหมดมีชีวิตจิตใจจริงๆ เราใช้เวลามากมายไปกับการพูดคุยเรื่องเหล่านี้ ซึ่งทำให้ฉันประทับใจในตัวแซ็คมาก

 คำถาม: ดนตรีมีบทบาทสำคัญในหนังเรื่องนี้ สำหรับแซ็ค เฮนรี และฮานส์ คุณคิดว่าซูเปอร์แมนฟังเพลงอะไร เขาฟังนักร้องฮิพฮ็อพหรือเพลงอะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองสุดยอดบ้าง? [หัวเราะ]

แซ็ค สไนเดอร์: อ้อ คุณหมายถึงเพลงปลุกใจของเขาน่ะเหรอ

คำถาม: ประมาณนั้นล่ะครับ

เฮนรี คาวิลล์: เป็นคำถามที่ดีน่ะครับ แต่ผมยังไม่มีคำตอบตอนนี้ อาจเป็นเพลงประกอบของฮานส์ ซิมเมอร์ก็ได้นะ [หัวเราะ]

แซ็ค สไนเดอร์: อย่างใน Black Hawk Down น่ะเหรอ

เฮนรี คาวิลล์: ใช่ Gladiator ด้วย ไม่สิ นั่นมันต้องให้รัสเซลล์ฟังต่างหากล่ะ [หัวเราะ]

ฮานส์ ซิมเมอร์: ไม่รู้สินะ เป้าหมายคือเราพยายามสร้างดนตรีเพื่อเขาโดยเฉพาะ ผมว่าอย่างนั้นนะ แล้วเราก็หวังว่าได้บรรลุเป้าหมายนั้นแล้ว

คำถาม: มีการใช้ CGI ในหนังเรื่องนี้ แต่ฉากบินนั้นทำกันอย่างไร  คุณเป็นซูเปอร์ฮีโร่ เพราะฉะนั้นคุณต้องไม่ต่อสู้ด้วยวิธีธรรมดา มีการใช้รูปแบบศิลปะการต่อสู้มาผสมกับบางสิ่งที่แตกต่างออกไป คุณช่วยพูดเรื่องนั้นหน่อยได้ไหมครับ

เฮนรี คาวิลล์: ใช่ครับ สำหรับฉากบินเราต้องซ้อมกันอยู่หลายครั้ง ในการบินแบบความเร็วสูงส่วนใหญ่จะใช้แผ่นรองใต้ท้อง เป็นเหมือนแม่พิมพ์ร่างกายส่วนหน้าของผม ให้ผมนอนข้างในนั้น แล้วก็จะมีแกนหมุนพิเศษที่สร้างขึ้นมา เพราะฉะนั้นคุณได้จะภาพผู้ชายในชุดเขียวและฉากเขียวที่เคลื่อนไหวตามการกำกับของแซ็ค ผมแค่ต้องจินตนาการว่ากำลังบินอยู่ เราได้ความช่วยเหลือมากมายจากภาพที่แซ็คคิดไว้และการกำกับของเขา นอกจากนี้ยังมีการใช้ลวดสลิง ซึ่งเราทำในกระบวนการสตันท์ทั้งหมด มันซับซ้อนมากและทีมงานก็ทดสอบมันอย่างดี มีทีมงานอย่างจิม เชิร์ชแมนซึ่งทำงานเรื่องลวดสลิงได้เก่งมาก

ถ้าพูดถึงฉากบิน ส่วนนี้น่าจะสนุกที่สุดสำหรับผม เพราะผมต้องอยู่เหนือพื้นสี่สิบฟุตและอยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่นโดยสิ้นเชิง เยี่ยมไหมล่ะ นี่ล่ะขั้นตอนที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนบินอยู่และกลายเป็นซูเปอร์แมน

คำถาม: ไมเคิล แล้วเรื่องการต่อสู้ล่ะ

ไมเคิล แชนนอน: ผมว่าสิ่งหนึ่งที่คุณต้องไม่ลืมคือบนดาวคริปตอน ซอดไม่ได้มีอำนาจพิเศษอะไร เขาเป็นแค่นายพลคนหนึ่ง เขาฝึกฝนมาเป็นเวลานาน ถูกเคี่ยวกรำมานานบนคริปตอน จากนั้นเขาก็มายังโลกและผ่านประสบการณ์คล้ายกับที่คาล-เอลเคยได้รับ ซึ่งโดยหลักแล้วก็เป็นการปรับตัวกับสภาพแวดล้อม แต่ใช่แล้วล่ะ ซอดฝึกการต่อสู้แบบนี้อาจตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ เลยล่ะ

คำถาม: อานต์เยอ คุณเคยเล่นหนังที่มีฉากการต่อสู้ดุเดือดขนาดนี้มาก่อนไหม

 อานต์เยอ ทรอ: ไม่ค่ะ ไม่เคยเลย เรื่องนี้น่าจะยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเล่นมาในแง่ฉากแอ็คชัน แต่มันเหมือนการเต้นรำเลยล่ะ ท่าทางได้รับการออกแบบมาอย่างละเอียด และคุณต้องซ้อมท่าเหล่านี้เป็นชั่วโมงๆ นานหลายสัปดาห์และหลายเดือน พอคุณมายืนอยู่หน้ากล้อง มันน่าทึ่งมากที่ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างมารวมกัน ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม มันเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุด
คำถาม: เฮนรี เราใช้คำว่า “คนต้นแบบ” (icon)  กันอย่างแพร่หลายในทุกวันนี้ แต่แน่นอนว่านี่คือตัวละครที่เป็นต้นแบบจริงๆ คุณรู้สึกว่าต้องแบกความรับผิดชอบในการรับบทซูเปอร์แมนหรือไม่ และคุณหาทางเปลี่ยนตัวเองให้เป็นตัวละครต้นแบบนี้ได้อย่างไร  

เฮนรี คาวิลล์: อันดับแรก ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นตัวละครต้นแบบ ในการรับบทเป็นตัวละครแบบนี้ คุณต้องไม่พยายามที่จะเป็นต้นแบบเพราะนั่นก็เท่ากับเสียจุดประสงค์ของมันไป ผมว่าความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับบทนี้มันใหญ่หลวงมาก และการได้ตระหนักว่ามันสำคัญมากเพียงใดทำให้ผมอยากทุ่มเททำงานให้เต็มที่เพื่อนำเสนอตัวละครนี้อย่างเหมาะสม มันช่วยได้มากเวลาผมฟิตร่างกายอยู่ในโรงยิม ถ้าผมรู้สึกว่าทำต่อไม่ไหวแล้วหรือยกน้ำหนักไม่ขึ้นแล้ว ผมจะคิดว่า ‘เดี๋ยวก่อนนะ เราต้องดูเหมือนซูเปอร์แมน มีคนมากมายรอให้เราเป็นซูเปอร์ฮีโร่’ เพราะฉะนั้น มันช่วยให้ผมเล่นต่อได้อีกสองสามชุดเพื่อเป็นตัวละครนี้ให้ได้

คำถาม: คลาร์กใช้เวลาทั้งชีวิตหลีกเลี่ยงการต่อสู้ แล้วจู่ๆ เขาก็มาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลือกไม่ได้ คุณคิดว่าเกิดอะไรขึ้นในหัวของเขาตอนนั้น เขาก้าวผ่านมันไปได้อย่างไร

เฮนรี คาวิลล์:  เขาก้าวผ่านมันไปได้หลังได้รับคำแนะนำอันชาญฉลาดจากจอร์-เอล ตรงจุดนั้นเองที่เขาต้องทดสอบตัวเอง เมื่อพูดถึงการต่อสู้ มันไม่ใช่การเลือก คุณต้องลงมือทำ สำหรับตัวละครแบบนี้มันไม่ใช่ ‘เอาล่ะ เราต้องเปลี่ยนมุมมองของตัวเองแล้ว’ แต่มันเป็นการตอบสนองไปตามสถานการณ์ ซึ่งการตอบสนองนั้นก็รวมถึงการต่อสู้ด้วย แซ็ค สไนเดอร์: อย่าลืมว่าเขาออกหมัดแรกก็เพื่อปกป้องแม่ เพราะฉะนั้นมันคล้ายกับว่าเกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ

คำถาม: เอมี ผมทราบมาว่าลูกสาวคุณอายุแค่สามขวบ อะไรสำคัญกับเธอมากกว่ากันระหว่างซูเปอร์แมนกับเดอะ มัพเพทส์

เอมี อดัมส์: คำถามฉันง่ายดีจัง อืม ฉันไม่รู้หรอกนะ ที่จริงต้องพูดว่าเธอชอบตอนเฮนรีใส่ชุดนะ [หัวเราะ]  เธอแอบจับบั้นท้ายเขาทีหนึ่งด้วย มันตลกมากเลย

เฮนรี คาวิลล์: เธอทำจริงๆ นะ

เอมี อดัมส์: เธออยากลองแตะชุดนั่นล่ะ แต่เธอสูงเท่าตรงนั้นพอดี พูดอย่างนี้เดี๋ยวโตขึ้นเธอต้องโกรธฉันแน่เลย เธอยื่นมือออกไปแล้วลองแตะดู แต่ตอนนี้เธอติดมิสพิกกี้แล้วล่ะ วันนี้เธอเลยถามว่าฉันจะไปทำงานกับมิสพิกกี้รึเปล่า เพราะฉะนั้นฉันคงต้องตอบว่ามัพเพ็ตส์นะ แต่เธออาจยังไมได้ตัดสินใจก็ได้

คำถาม: เฮนรี ผมคิดว่าเราไม่เคยเห็นคาล-เอลหรือคลาร์กมีปมขัดแย้งเรื่องที่ว่าเขาเป็นใคร มีผลงานคลาสสิกของซูเปอร์แมนที่ช่วยคุณในการสำรวจแนวคิดนี้ไหม  

เฮนรี คาวิลล์: ผลงานคลาสสิกของซูเปอร์แมนน่ะเหรอ ถ้าพูดถึงปมขัดแย้งที่เขาต้องเผชิญหรือการเดินทางของเขา มันไม่ได้เกี่ยวกับผลงานคลาสสิกเลย เวลาคุณเห็นคลาร์กเดินทางรอบโลก พยายามค้นหาว่าเขาเป็นใครและเพราะอะไร ผมไม่ได้กลับไปอ้างอิงผลงานต้นฉบับ ผมแค่นึกถึงและนำเอาชีวิตของตัวเองมาใช้ การเป็นนักแสดงเป็นประสบการณ์ที่โดดเดี่ยว นอกจากว่าคุณมีใครซักคนร่วมเดินทางไปกับคุณตลอดเวลา คุณใช้เวลามากมายอยู่กับตัวเองและพบผู้คนใหม่ๆ สร้างครอบครัวชั่วคราวขึ้นมา คุณรักพวกเขา แต่ก็อาจไม่ได้พบพวกเขาอีก นอกเหนือจากงานแถลงข่าวสื่อซึ่งเป็นสถานการณ์ที่แปลกออกไป คุณนำสิ่งเหล่านี้มาใช้กับตัวละคร และสิ่งที่ตรงกับประสบการณ์ของซูเปอร์แมนก็คือการพบคนกลุ่มใหม่ๆ อยู่เสมอ แล้วก็ต้องหายตัวไป แล้วก็ต้องแนะนำตัวเองกับคนกลุ่มใหม่ๆ และพิสูจน์กับคนเหล่านั้นว่าตัวเองเป็นคนดีและพยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วจากนั้นเขาก็ต้องหายตัวไปอีก ความโดดเดี่ยวแบบนี้ล่ะที่ผมนำไปใช้ แทนที่จะเป็นการกลับไปอ้างอิงงานซูเปอร์แมนแบบคลาสสิก

คำถาม: รัสเซลล์ ในซูเปอร์แมนรุ่นแรกๆ จอร์-เอลจะปรากฏตัวแค่ในช่วงต้นของหนัง แต่ใน Man of Steel เขาเป็นจิตวิญญาณของหนังเลย การรับบทตัวละครนี้ให้ประสบการณ์อย่างไรบ้าง  

รัสเซลล์ โครว์: ผมมีเรื่องต้องสารภาพครับ ผมคงต้องบอกว่าผมไม่เคยดูหนังซูเปอร์แมนภาคอื่นมาก่อนเลย ผมไม่มีอะไรให้อ้างอิงในแง่ภาพยนตร์ สิ่งเดียวที่ผมมีก็คือละครทีวีขาวดำยุคทศวรรษ 1950 ซึ่งฉายหลังเลิกเรียนตอนผมเป็นเด็ก เพราะฉะนั้นผมไม่ได้ดึงอะไรมาใช้มากนัก ผมแค่อ่านบท และคิดว่ามันเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนแต่ก็ดีมากๆ ในตัวของมันเอง และผมคิดว่าปัญหาที่จอร์-เอลต้องเผชิญในแง่การตัดสินใจของผู้เป็นพ่อก็เป็นเรื่องน่าสนใจในการรับบทบาท เพราะอย่างนี้ผมถึงได้มาร่วมงานในเรื่องนี้

คำถาม: สำหรับแซ็คและเดวิด คุณทั้งคู่ได้ดัดแปลงซูเปอร์แมนหรือหนังสือคอมิกเล่มอื่นๆ ก่อนหน้านี้มาเป็นหนัง คุณช่วยพูดถึงความท้าทายของการมาทำหนังซูเปอร์แมนและการตัดสินใจที่จะไม่ใส่เล็กซ์ ลูเธอร์มาเป็นตัวละครในหนังภาคแรกได้ไหมครับ

เดวิด เอส. โกเยอร์: จะว่าไปมันก็เป็นความท้าทายครั้งใหญ่นะครับ ผมจำได้ว่าเมื่อห้าหกปีก่อนมีคนถามผมในการทัวร์โปรโมต Batman ว่าผมอยากทำซูเปอร์แมนหรือเปล่า และทุกครั้งผมก็ตอบว่าไม่ มันเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ผู้คนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของซูเปอร์แมน หลายคนพูดว่า ‘นั่นซูเปอร์แมนของฉันนะ’ แต่ก็มีซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นของจอร์จ รีฟส์จากยุคทศวรรษ 50 และซูเปอร์แมนในหนังเรื่อง Lois and Clark และซูเปอร์แมนของริชาร์ด ดอนเนอร์ มันเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเคารพตัวละครที่เป็นต้นแบบและเป็นเสาหลักอย่างนี้ แต่เฮนรีก็พูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ขณะเดียวกันคุณก็ต้องเล่าเรื่อง และเมื่อคุณกำหนดได้แล้วว่าตัวละครนั้นเป็นใครและมีปมขัดแย้งอย่างไร คุณก็ต้องปล่อยให้มันนำคุณไป คุณต้องทิ้งสิ่งอื่นๆ ไปให้หมดและไม่กังวลถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ไม่อย่างนั้นมันจะกดทับตัวคุณจนทำอะไรไม่ถูก

คำถาม: ในฐานะนักเขียน เมื่อคุณวิเคราะห์ตัวเรื่องออกมาแล้ว คุณคิดว่าการต่อสู้ที่แท้จริงของคาล-เอลในเรื่องนี้คืออะไร

เดวิด เอส. โกเยอร์: สำหรับผมแล้วมันชัดเจนมาก และมันก็น่าสนใจที่ผมคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ขณะเขียนบท มันเป็นเรื่องราวของพ่อสองคน และระหว่างผมเขียนบทเรื่องนี้ ตัวผมเองก็ได้เป็นพ่อคนและเป็นพ่อเลี้ยง แล้วพ่อผมก็เสียพอดี ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าประสบการณ์ของตัวเองจะกลายมาเป็นอะไรแบบนี้ได้ แต่มองจากมุมนี้ มันก็เป็นเรื่องของผู้ชายที่มีพ่อสองคน และเขาต้องตัดสินใจว่าต้องการสืบเชื้อสายฝั่งไหน พ่อชาวคริปโตเนียนหรือพ่อชาวโลก สุดท้ายแล้วก็เหมือนกับทั้งสองฝ่ายทำให้เขากลายมาเป็นคนอย่างที่เขาเป็น

คำถาม: เฮนรี คุณได้รับอิทธิพลจากนักแสดงคนอื่นๆ ที่เล่นบทนี้มาก่อนหรือไม่ และคุณอยากแสดงให้แตกต่างออกไปอย่างไรบ้าง

เฮนรี คาวิลล์: ผมไม่ได้รับอะไรจากซูเปอร์แมนคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ในแง่การเป็นนักแสดง วิธีการที่ผมใช้และแนวทางที่ผมมองก็คือนักแสดงทุกคนที่เล่นมาก่อนหน้าตีความจากต้นฉบับ ซึ่งก็คือหนังสือคอมิก และผมก็ต้องการการตีความตามแบบของผมเองเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะถือตัวว่าเป็นคนสำคัญอะไรหรอกนะ แต่เป็นความรู้สึกว่าการแสดงอาจไม่ต่อเนื่องถ้าผมใช้บุคลิกของคนอื่นและให้อิทธิพลจากคนอื่นมาส่งผลต่อการตีความตัวละคร ฉะนั้นผมจึงตรงไปยังหนังสือคอมิกเลย ผมดูหนังที่เคยทำมาก่อนหน้านี้เหมือนกัน แต่ผมไม่ได้นำการแสดงเหล่านั้นมาใช้กับตัวเอง

คำถาม: สำหรับไดแอน ในช่วงต้นของหนัง โจนาธาน เคนต์ [รับบทโดยเควิน คอสต์เนอร์] บอกคลาร์กว่าเขาต้องเก็บความสามารถของตนไว้เป็นความลับ คุณว่ามาร์ธารู้สึกเหมือนกันรึเปล่า คุณคิดว่ามาร์ธามีมุมมองอย่างไร

ไดแอน เลน: ครั้งแรกที่เธอเห็นชุดซูเปอร์แมน มันก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวเองแล้ว ฉันหมายถึงฉันชอบประโยคที่เราคิดกันขึ้นมา ตอนที่เธอบอกว่า ‘ชุดสวยนะลูก’ เพราะมันรอคอยที่จะได้รับการเปิดเผย แล้วจะมีใครที่จะตื่นเต้นไปยิ่งกว่าคนเป็นแม่อีกล่ะ ฉันว่าคงไม่มีแล้ว ถ้าพูดถึงการที่ลูกชายคุณเปิดเผยตัวเองน่ะนะ [หัวเราะ]

เพราะฉะนั้นเธอจึงโล่งใจ ซาบซึ้ง และตกตะลึงอยู่บ้างกับหายนะที่เกิดขึ้นตามมาขณะต้องหนีออกมาจากบ้านที่พัง และฉันชอบการเปรียบเทียบเรื่องการคว้าอัลบั้มครอบครัวออกมานะ อะไรคือสิ่งที่เราจะคว้าออกมาเวลาเกิดทอร์นาโดหรืออะไรก็ตาม เมื่ออะไรแบบนั้นเกิดขึ้นกับบ้านของคุณ มันเป็นความทรงจำและเป็นระบบคุณค่าของชีวิตมนุษย์ และจริงๆ แล้วอะไรกันแน่ที่เป็นระบบคุณค่าของชีวิตมนุษย์ แล้วก็ยังมีตราประทับที่เรามอบให้คลาร์กด้วย

คำถาม: สำหรับไมเคิลนะครับ คุณมีความสามารถในการรับบทร้ายได้ไม่เหมือนใคร คุณนำพลังความชั่วร้ายนั้นมาจากไหน และใครต่อยเก่งกว่ากันระหว่างเอมิเนมใน 8Mile หรือเฮนรีใน Man of Steel

ไมเคิล แชนนอน: ซาตาน [หัวเราะ] นั่นล่ะคือแหล่งพลังความชั่วร้ายของผม ผมถือถังเดินไปที่บ่อน้ำแล้วก็พูดว่า ‘ซาตาน คุณอยู่ข้างล่างนั่นใช่ไหม วันนี้ผมอยากได้พลังความชั่วร้าย’ ผมปล่อยถังลงไปในบ่อ ได้ลาวาขึ้นมา แล้วผมก็ดื่มมัน [หัวเราะ]

มันแสบร้อนนะแต่ผมก็กินยาลดกรดกับยาช่วยย่อยเข้าไป... ไม่รู้สิ คือว่าผมไม่รู้จริงๆ มันคงไม่ได้ห่างไกลจากสิ่งที่ผมเป็นอยู่หรอก ผมก็แค่คนตัวสูงเก้งก้างดูน่าขันเท่านั้นเอง แล้วผมก็ทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่ต้องคิดว่ามันเป็นความชั่วร้ายด้วยซ้ำ

ส่วนเรื่องการต่อยในคิวบู๊ มันไม่ใช่ความลับอะไร ทุกคนในห้องนี้คงรู้กันอยู่แล้วใช่ไหมครับว่าผมแข็งแกร่งกว่าเฮนรีมาก เพราะฉะนั้นเราต้องส่งถุงน้ำแข็งไปถึงห้องพักของเฮนรีที่โรงแรมเลยล่ะ [หัวเราะ]

คำถาม: แล้วระหว่างคุณกับรัสเซลล์ล่ะ

ไมเคิล แชนนอน: รัสเซลล์เล่นงานผมหนักเลยในหนังเรื่องนี้ เขาเป็นแกลดิเอเตอร์เชียวนะ คุณจะทำอะไรได้ล่ะ อ้อ แล้วก็ใน 8 Mile ฉากต่อสู้ฉากนั้น โอ้โห มันเก่ามากเลยนะ
คำถาม: สำหรับรัสเซลล์และไดแอน คุณรับบทเป็นพ่อแม่ได้อย่างสมบทบาทและซาบซึ้งมากในสถานที่และช่วงเวลาต่างๆ กัน คุณดึงอะไรมาใช้บ้าง คุณใช้ประสบการณ์จากการเป็นพ่อแม่หรือความรู้สึกที่คุณมีต่อลูกๆ หรือเปล่าในการไปให้ถึงจุดนั้น  

ไดแอน เลน: เป็นคำถามที่น่ารักมากและฉันจะพยายามตอบนะคะ ฉันว่าคุณพูดได้ดีเลยเพราะมันเป็นการผสมผสานของหลายสิ่งหลายอย่าง แต่แน่นอนเมื่อคุณเป็นพ่อแม่ มันจะส่งผลต่อทุกสิ่งที่คุณทำ และสถานการณ์ในเรื่องก็พิเศษมาก การมีมนุษย์ต่างดาวมาอยู่ในโรงนาแล้วคุณเลี้ยงเขาขึ้นมา แล้วเขาก็กลายเป็นมนุษย์ตัวอย่างที่งดงามและมีสิ่งอื่นๆ มากมายเกิดตามมา ความท้าทายและเรื่องราวเบื้องหลังที่แซ็ค เควิน และฉันชอบคุยกัน ซึ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งในบท ก็คือการจินตนาการว่าเราจะอบรมบ่มนิสัยเด็กซึ่งมีพลังมากอย่างคลาร์กได้อย่างไร มันสนุกที่ได้คุยกันเรื่องนั้น คุณสามารถเติมคำในช่องว่าง แล้วก็อาจมีเรื่องตลกๆ เก็บไว้เขียนพล็อตในอนาคตก็เป็นได้

แต่ฉันรู้สึกว่าความรักที่เราได้มอบให้เวลาคุณรักเด็กที่ต้องการคุณ คุณปลูกฝังให้เด็กเป็นตัวแทนระบบความเชื่อของคุณ แล้วสิ่งนั้นจะปรากฏออกมาอย่างไรและอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคุณ สุดท้ายมันจะได้รับการถ่ายทอดออกมาแม้ในเวลาที่คุณไม่ได้อยู่เห็น นั่นล่ะคือความหวังของการเป็นพ่อแม่ เป็นความพยายามแบบเต็มร้อย

รัสเซลล์ โครว์: ผมได้รับประสบการณ์ที่น่าสนใจมากจากการเป็นพ่อในหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าแซ็คหาเด็กทารกมาสี่คนเพื่อมาเล่นเป็นคาล-เอลตอนแรกเกิด และประสบการณ์ที่ได้ก็ต่างออกกไปจากที่ผมเคยได้รับในฐานะคุณพ่อลูกสอง ถึงผมจะเปลี่ยนผ้าอ้อมได้คล่องก็เถอะ  คนแรกผายลมใส่ผม ตอนนั้นก็ยังไม่เป็นไรหรอกนะ แต่หลังจากนั้นภายใต้แสงร้อนๆ หลังพักเที่ยงก็มาตามนัดเลย ผมได้สารคริปโตเนียนมาเต็มมือ ฉะนั้นผมได้เรียนรู้มากมาย ผมได้รับประสบการณ์ใหม่ในฐานะพ่อแม่ที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน ขอบคุณมาก แซ็ค [หัวเราะ]

แซ็ค สไนเดอร์: ผมแค่อยากเพิ่มสีสันให้ชีวิตคุณเท่านั้นแหละ

คำถาม: สำหรับแซ็คและเดวิด ความสวยงามอย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากการเล่าเรื่องที่ไม่เป็นเส้นตรง คุณช่วยพูดได้ไหมว่าคุณได้ความคิดนี้มาตอนไหนและคุณตัดสินใจอย่างไรจึงได้เลือกใช้วิธีนี้

เดวิด โกเยอร์: โดยปกติในการสร้างเรื่องราวที่ไม่เป็นเส้นตรง คุณจะต้องเริ่มจากเรื่องที่เป็นเส้นตรงก่อน เพื่อให้แน่ใจว่ามันสมเหตุสมผล จากนั้นจึงหั่นมันออกเป็นช่วงๆ และนำมาสลับสับเปลี่ยนกัน นั่นเป็นกระบวนการที่เราเริ่มทำตอนที่แซ็คเข้ามา และบางส่วนก็มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างกระบวนการทำงาน

แซ็ค สไนเดอร์: ผมว่ามันเป็นวิธีการมองที่ดีเมื่อคุณอยู่กับคลาร์กและเขาก็เดินทางไปเรื่อยๆ เหมือนคุณค่อยๆ เข้าถึง ‘เหตุผล’ ในความเป็นตัวเขา ผมว่ามันสนุกที่ได้ทำให้เห็นว่าเวลาเขาต้องตัดสินใจ คุณจะได้เข้าใจ ‘เหตุผล’ ว่าทำไมเขาจึงตัดสินใจอย่างนั้น ผมคิดว่าการนำเสนอแบบนั้นช่วยให้เรื่องราวมีแรงส่งต่อไปเรื่อยๆ แล้วคุณก็ได้เข้าถึงเบื้องลึกของผู้ชายคนนี้ในแง่ที่ผมมองว่าน่าสนใจด้วย มันเสริมตัวหนังให้ออกมาน่าสนุกมาก

เดวิด โกเยอร์: ใช่แล้ว และมันก็น่าติดตามด้วยเวลาที่เรากระโดดข้ามจากฉากยานตกในแคนซัส แล้วทันใดนั้นอีกสามสิบสามปีต่อมาเขาก็มาอยู่บนเรือหาปู มันเล่นกับความคาดหวังของคนด้วยนะผมว่า

คำถาม: สำหรับเดโบราห์และชัค เราพูดถึงเรื่องเด็กทารกมาแล้ว หนังเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนลูกของคุณ คุณช่วยปลุกชีวิตให้เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ด้วยประวัติยาวนานถึง 75 ปีได้อย่างไร  คุณดูแลมันอย่างไรและทำอย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่าคุณยังคงรักษาวิสัยทัศน์ที่คุณมีต่อโครงการ

เดโบราห์ สไนเดอร์: ฉันว่าเมื่อคุณนึกถึงความยิ่งใหญ่ของตัวละครนี้ ความสำคัญ และความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่ตามมา คุณก็อาจทำอะไรไม่ถูกไปเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ฉันต้องทำคือการแยกส่วนมันออกมาทีละชิ้นๆ แล้วมองเป็นกระบวนการ ฉันหมายความว่าช่วงแรกเป็นเรื่องของการวางโครงเรื่องให้ดี และโดยแก่นแท้แล้วฉันคิดว่าซูเปอร์แมนอยู่มาได้ 75 ปีก็เพราะตัวเรื่อง จากนั้นจึงเป็นการดูแลงานที่ต้องทำในแต่ละวัน และการเลือกหาคนที่เหมาะสมในการสร้างวิสัยทัศน์ของแซ็คให้เป็นจริงขึ้นมา รวมถึงการคัดนักแสดงที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ คนที่สามารถสร้างตัวละครให้มีชีวิตขึ้นมา การเลือกผู้ประพันธ์เพื่อให้ดนตรีมีพลังและสื่ออารมณ์อย่างที่ควรจะเป็น ฉันคิดว่าคุณต้องมองมันในแบบวันต่อวันและชิ้นต่อชิ้น

ชาร์ลส์ โรเวน: หลายสิ่งที่เด็บบีพูดตรงกับผมเช่นกัน ผมโชคดีที่ตอนได้รับการขอให้มาเข้าร่วมโครงการนั้นมีร่างบทอยู่ก่อนแล้ว และผมก็ตื่นเต้นกับศักยภาพของมันมาก ตื่นเต้นเพราะความท้าทาย แล้วก็กลัวเล็กน้อยเพราะความท้าทายนั้น แต่ความกลัวก็ทำให้โครงการนี้ควรค่าแก่การเข้ามาร่วมงาน และเราโชคดีจริงๆ ที่ทุกคนมองภาพไปในทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่เราต้องการ อะไรแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งไป และวิสัยทัศน์ที่เราเดินตามซึ่งโดยรวมแล้วเป็นของแซ็คก็สอดคล้องไปกับภาพที่ทีมงานทุกคนมองเห็น

เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นกระบวนการทำงานที่ดีมาก แม้ว่าเราต้องใช้เวลาในการถ่ายทำนานหลายวัน เกือบสามเท่าของการถ่ายทำปกติ ส่วนกระบวนการโพสต์โพรดักชัน ด้วยเรื่องวิชวลเอฟเฟ็กต์ ก็ทำให้ต้องใช้เวลาเพิ่มอีกมาก มันไม่สำคัญหรอกว่าหนังเรื่องนี้ใช้เงินมากแค่ไหน คุณไม่เคยคิดว่าจะมีเงินมากพอให้ทำทุกอย่างได้สำเร็จอยู่แล้ว แต่มันก็ยังเป็นประสบการณ์ที่รื่นรมย์มากสำหรับผม เพราะไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราทุกคนมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน

คำถาม: เคยบ้างไหมที่คุณอ่านบทแล้วคิดว่า ‘เราจะทำฉากนี้ออกมายังไงเนี่ย’ แล้วพอทำได้ก็คิดว่า ‘ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราทำมันออกมาได้’

ชาร์ลส์ โรเวน: ตลอดเวลาเลยล่ะ

เดโบราห์ สไนเดอร์: ฉันคิดว่าสำหรับวิชวลเอฟเฟ็กต์ ทั้งฉากแอ็คชัน ฉากต่อสู้ และฉากบินที่แซ็คจินตนาการไว้และทำงานร่วมกับดีเจ [เดส์ชาร์แดง] ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ และดามอน [คาโร] ผู้ออกแบบคิวบู๊และผู้ประสานงานสตันท์ ฉากพวกนั้นมันท้าทายและผลักดันขีดจำกัดมากอยู่แล้ว มันอาศัยรากฐานจากสิ่งที่เราเคยทำในอดีตแต่ผลักดันไปไกลกว่านั้นอีก คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งที่ทำ เพราะคุณเริ่มด้วยการวางแผนเอาไว้ว่าจะทำออกมาอย่างไร จากนั้นก็ก้าวไปตามแผน แต่คุณไม่รู้แน่ว่ามันจะนำไปสู่จุดไหน คุณต้องพึ่งพาศิลปินและบริษัทวิชวลเอฟเฟ็กต์เก่งๆ ให้ทำมันออกมา คุณต้องศรัทธาในตัวพวกเขาด้วย

คำถาม: เฮนรี คุณช่วยไขความกระจ่างเรื่องที่คนเถียงกันในอินเตอร์เน็ตว่าซูเปอร์แมนโกนหนวดอย่างไรได้หรือเปล่า คุณเห็นคลิปนั้นหรือยัง

เฮนรี คาวิลล์: เห็นแล้วครับ ผมว่าบางอย่างปล่อยให้เป็นความลับไปจะดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นจะให้คนทำอะไรกันล่ะถ้าไม่พูดเรื่องลึกลับพวกนี้

คำถาม: กลับมาเรื่องจริงจังกันบ้าง มีประโยคที่จอร์-เอลพูดในหนังว่า ‘คุณต้องให้ความหวังพวกเขา’ ฮาร์วีย์ มิลค์ [ผู้เสนอกฎหมายและเรียกร้องสิทธิของกลุ่มรักร่วมเพศ] ก็เคยพูดไว้เช่นกันว่า ‘คุณต้องให้ความหวังพวกเขา’ และผมรู้สึกว่าตัวละครอย่างซูเปอร์แมนเป็นการสื่อสารถึงคนนอก  ถึงเด็กที่ไม่เข้ากับสังคม หรือคนที่ถูกแยกออกไปไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม และผมชอบการเชื่อมโยงในส่วนนี้มาก

เฮนรี คาวิลล์: ใช่แล้ว แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะต้องสื่อสารถึงคนนอกเท่านั้นนะ เขาพูดกับทุกคน หรือแนวคิดนี้พูดกับทุกคนก็ว่าได้ เราทุกคนต้องการความหวัง ไม่ว่าเราจะอยู่ในศตวรรษไหน ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงไหนของชีวิต ไม่ว่าเรากำลังเผชิญกับโศกนาฏกรรมอยู่หรือไม่ เราต้องการแค่ความหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียบร้อยดี และถ้ามีโศกนาฏกรรมและหายนะเกิดขึ้น เราก็ต้องการความหวังว่าเราจะฝ่าฟันมันไปได้ ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้สื่อสารเฉพาะกับคนนอกและคนที่อยู่ตามลำพังเท่านั้น แต่เป็นการพูดกับทุกคน

คำถาม: แซ็ค คุณร่ายมนตร์อะไรถึงได้งานนี้มา คุณนำเสนอวิสัยทัศน์แบบไหน และเกิดอะไรขึ้นบ้างในการสร้างหนังเรื่องนี้ให้สำเร็จขึ้นมาได้

แซ็ค สไนเดอร์: ที่จริงผมไม่รู้เหมือนกัน ผมกับเด็บบีกินอาหารกลางวันกับคริส [โนแลน] และเอ็มมา [โธมัส] แล้วเราก็คุยกันถึงโครงการซูเปอร์แมน ผมจำได้ว่าที่จริงตอนแรกที่เรานัดพบกัน เราพูดกันประมาณว่า ‘นี่ กินข้าวกลางวันกันไหม แล้วถ้าเราคุยกันเรื่องซูเปอร์แมน จะแปลกรึเปล่า’ แล้วเราก็คิดว่า ‘ได้เลย ไม่แปลกหรอก ซูเปอร์แมนเจ๋งอยู่แล้ว’

พูดตามตรงผมกังวลเรื่องซูเปอร์แมนนะในแง่การทำหนัง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ผมสนใจ ขณะเดียวกันผมก็กลัวด้วยเพราะซูเปอร์แมนก็คือซูเปอร์แมน แล้วตอนนั้นมันก็ดูเป็นงานที่ใหญ่มาก ถึงผมจะพูดได้ว่าหลังอ่านบทของเดวิดและคุยกับคริสแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลในเรื่องบทหรือเรื่องแนวคิดเลย แนวคิดมีความตรงไปตรงมาและมีความเชื่อมั่นมาก ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเกิดความเชื่อมั่นเหมือนกัน มันทำให้ผมรู้สึกว่า ‘โอเค มีบางอย่างในนั้นที่เราสนใจ และเราคงต้องทิ้งความกลัวตัวละครต้นแบบนี้ไปซะ’ เพราะผมชอบซูเปอร์แมนมากในฐานะตัวละครและติดตามเขามาตลอดหลายปี ผมกลัวก็เพราะผมให้เกียรติต่อความเป็นตัวละครนี้และศักยภาพที่เขามี  ผมว่าเดวิดทำงานได้เยี่ยมมากในการเขียนบท มันปรากฏให้เห็นในตัวงานและเราก็ต้องเดินตามมันไป

เพราะฉะนั้นผมคิดว่าวิสัยทัศน์ที่ผมมองก็คือมันจะต้องเป็นหนังซูเปอร์แมนแบบไม่เกรงใจใครที่เราอยากทำแต่ไม่มีใครทำมาก่อน ในระยะหลังผมมักรู้สึกเสมอว่าคนพยายามประนีประนอมมากไปหน่อยในการเสนอภาพซูเปอร์แมน ทั้งในแง่การแต่งกาย ความเป็นมาของเขา หรือวิธีการที่เขากลมกลืนไปกับสังคม เราแค่อยากพูดว่า ‘ไม่ใช่นะ นี่คือตำนาน นี่คือสิ่งที่มันเป็น มันควรเป็นอย่างนี้’ ผมว่านี่ล่ะเป็นหนังแบบที่เราสร้างขึ้นมา เราต้องการยกย่องเขาให้ขึ้นไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ และไม่ว่าการทำอย่างนั้นจะเป็นการสร้างความสำคัญมากเกินไปหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้ แต่นั่นเป็นสิ่งที่เราอยากทำ มันจึงเป็นความสนุกที่ได้ทำหนังเรื่องนี้ออกมา

คำถาม: ดนตรีในหนังเรื่องนี้เยี่ยมมาก  

แซ็ค สไนเดอร์: ขอบคุณครับ ผมทำงานหนักมากเลย อ้าว ไม่ใช่ผมนี่... [หัวเราะ]

คำถาม: แซ็คและฮานส์ช่วยพูดถึงการร่วมงานกันในการทำดนตรีประกอบให้หนังเรื่องนี้ได้ไหมครับ

แซ็ค สไนเดอร์: ได้เลยครับ วันหนึ่งผมหยิบกีตาร์มาแล้วทุบมันทิ้งเพราะเล่นไม่เป็น อ้อ ไม่ใช่ สิ่งเดียวที่ผมจะพูดก่อนปล่อยให้ฮานส์พูดคือเมื่อเราประกาศว่าจะทำหนังเรื่องนี้ เวลาคุยโทรศัพท์แล้วคุณคิดว่าจะได้คุยเรื่องประมาณว่า ‘อ้อ คุณทำหนังซูเปอร์แมนอยู่เหรอ เยี่ยมเลย คุณจะทำมันออกมาแบบไหนล่ะ’ อะไรทำนองนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า ‘คุณจะใช้ดนตรีจากภาคก่อนหรือเปล่า จะใช้ของจอห์น วิลเลียมส์หรือเปล่า’ แล้วผมก็ตอบประมาณว่า ‘ให้ตายเถอะ เรายังไม่ได้ถ่ายซักเฟรมเลย ผมไม่รู้หรอก’

เรารู้ว่ามีดนตรีประกอบอยู่แล้วและมันเป็นงานที่โดดเด่นมาก แต่ปรัชญาของเราคือเราต้องการทำให้เหมือนกับว่าไม่เคยมีการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อนเลย เราอยากทำเหมือนกับว่าเราพบหนังสือคอมิกอยู่ใต้เตียงแล้วก็พูดขึ้นมาว่า ‘เอ้อ นี่น่าจะเป็นหนังที่ดีได้นะ  เราน่าจะนำซูเปอร์แมนมาทำเป็นหนัง’ เพราะเราใช้มุมมองแบบนั้น จึงไม่มีการคัดเอาองค์ประกอบจากผลงานก่อนหน้ามาใช้ เราจะไม่พูดว่า ‘น่าจะดีนะถ้าเราายืมสองสามอย่างมาจากตรงนี้’ ทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากศูนย์หมด

เราพูดกันแต่แรกแล้วว่า ‘คริส เวลาคุณไปคุยกับฮานส์เรื่องหนังอีกเรื่องหนึ่งน่ะ คุณช่วยบิดแขนหรือติดสินบนให้เขามาทำหนังซูเปอร์แมนด้วยได้ไหม’ ผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคริสพูดอะไร แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร เขาก็ตอบตกลง [หัวเราะ]

ฮานส์ ซิมเมอร์: ที่จริงผมเป็นเจ้าสาวที่เล่นตัวเหมือนกันนะ เพราะไม่เหมือนรัสเซลล์ ผมเคยดูหนังซูเปอร์แมนภาคอื่นมาแล้ว และคิดว่าดนตรีของจอห์น วิลเลียมส์นั้นเยี่ยมมาก ดังนั้นมีบางสิ่งที่เกิดขึ้น ใช่ คริสพูดกับผมว่า ‘เอาน่า คุณทำหนังซูเปอร์แมนได้’ ผมก็ได้แต่พูดว่า ‘ไม่ได้หรอก ผมทำหนังซูเปอร์แมนไม่ได้ เพราะสิ่งที่ต่างกันเลยก็คือ ตอนคุณเดินเข้าไปที่ Warner Bros. พร้อมแนวคิดเรื่องหนังซูเปอร์แมน คุณน่ะมีแนวคิดอยู่ แต่ผมไม่มีอะไรเลย’

จากนั้นแซ็คกับผมก็เริ่มคุยกันและมันกลายเป็นวิสัยทัศน์ของแซ็คทั้งหมดเลย เหตุผลเดียวที่มีดนตรีประกอบขึ้นมาได้ก็เพราะเขาเหมือนกับว่าจูงมือผมไปแล้วบอกว่า ‘นี่คือสิ่งที่ผมอยากทำ’ แล้วผมก็ตอบว่า ‘อืม ผมรู้สึกได้’ และอีกเรื่องหนึ่งคือเขาเป็นศิลปินที่เก่งมาก เขาขีดเขียน เขาวาดรูป ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ดีมากสำหรับผม และเดวิด ผมว่าคุณคงยกโทษให้ผมเรื่องนี้นะ เพราะผมเริ่มทำงานนี้โดยพูดว่า ‘ผมไม่อยากอ่านบท เล่าเรื่องมาเลย’

เดวิด โกเยอร์: แซ็คกับผมก็เริ่มกันอย่างนั้นแหละ เราวาดรูปกัน

ฮานส์ ซิมเมอร์: เพราะตอนนั้นผมรู้แล้วว่าอะไรอยู่ในหัวของเขา และเรารู้อยู่อย่างหนึ่ง สิ่งนั้นก็คือผมรู้ว่าการเป็นคนต่างประเทศรู้สึกอย่างไร ผมรู้ว่าการเป็นคนนอกรู้สึกอย่างไร ผมไม่ได้มีพลังสุดยอด แต่นอกจากนั้นแล้ว...

เดวิด โกเยอร์: ไม่เอาน่า

ฮานส์ ซิมเมอร์: [หัวเราะ] อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึก ซึ่งผมคิดว่าทั้งแซ็คและผมมองว่าสำคัญก็คือแนวคิดเรื่องความหวัง ความคิดที่ว่าเราต้องการเฉลิมฉลองบางสิ่ง เราเฉลิมฉลองอเมริกาซึ่งไม่ได้รับการพูดถึงอย่างนี้มานานแล้ว และพูดอย่างตรงไปตรงมาจากใจจริง จากนั้นก็มาถึงจุดหนึ่งหลังผัดวันประกันพรุ่งมาสามเดือน แซ็คก็พูดว่า ‘นี่คุณได้อะไรบ้างหรือยัง’ [หัวเราะ] ผมก็ตอบว่า ‘อ่า... ผมมีแผ่นโพสต์อิตที่คุณเอาไปแปะตู้เย็นได้นะ’ เขาตอบว่า ‘ผมชอบโพสต์อิต ผมชอบโน้ตขีดๆ เขียนๆ นี่แหละ ผมจะไปเจอวันอังคารนะ’ จากนั้นเขาก็มาสารภาพว่า ที่จริงแล้วคริสบอกเอาไว้ว่า ‘ถ้าคุณไม่ไปบ้านซิมเมอร์คุณจะไม่มีทางได้ฟังอะไรหรอก’ [หัวเราะ] นั่นล่ะวิธีการที่เราทำดนตรีประกอบกัน

แซ็ค สไนเดอร์: มันตลกดี เพราะสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจคือมีเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในหนังและดนตรีประกอบก็ช่วยสนับสนุนเหตุการณ์เหล่านั้นได้อย่างดีเยี่ยม แต่สิ่งที่ผมคิดว่าฮานส์ทำได้อย่างน่าทึ่ง และเราพูดถึงเรื่องนี้กันก่อนที่ผมจะได้ฟังตัวดนตรี เราพูดว่า ‘มันคงดีนะถ้าเพลงประกอบของซูเปอร์แมนให้ความรู้สึกอ่อนน้อม ถ้ามีความอ่อนน้อมในเพลงธีมของซูเปอร์แมน ถ้าคุณทำได้นะ’ ซึ่งมันยากมาก มันเป็นเรื่องนามธรรม ผมแค่พูดว่า ‘ความอ่อนน้อม ช่วยทำให้มันเป็นดนตรีหน่อย ไม่ว่ามันจะหมายความว่ายังไงก็เถอะ’ โชคดีนะที่ผมไม่ใช่นักดนตรีเพราะผมคงไม่มีทางทำแบบนั้นกับเขาใช่ไหม ‘โอ้ จะดีมากเลยถ้าเพลงประกอบฟังดูอ่อนน้อม’ ผมคงหัวเราะ แล้วเขาก็อาจจะพูดว่า ‘ตานั่น ผมอยากฆ่าเขาจริงๆ’ แต่คุณก็ได้ฟังแล้ว มันมีสิ่งนั้นอยู่ในดนตรี

เขาบอกว่าเขาไม่มีพลังพิเศษ แต่คุณได้ยินสิ่งนั้นอยู่ ไม่ว่าจะใช้โน้ตกี่ตัวก็ตามแต่ แต่มันมีความอ่อนน้อมอยู่ เหมือนกับพอฟังถึงตรงนั้นแล้วก็รู้สึกได้เลยว่า ‘โอ้ มันฟังดูอ่อนน้อม’ เขาทำให้มันเกิดขึ้นในดนตรีด้วยวิธีการอะไรซักอย่าง

ฮานส์ ซิมเมอร์: ผมมีหลายเรื่องให้รู้สึกอ่อนน้อมและผมก็เล่นเปียโนเอง สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าต้องอ่อนน้อมถ่อมตนก็คือฝีมือการเล่นเปียโนของผม [หัวเราะ] มันแปลกดีเพราะนักเปียโนฝีมือเยี่ยมหลายคนพยายามเล่นเพลงนี้ แต่ฟังดูแล้วมันไม่ใช่ ต้องใช้คนที่เล่นมือขวาไม่เก่งอย่างผมเนี่ย [หัวเราะ]

Man of Steel – บุรุษเหล็ก ซูเปอร์แมน 13 มิถุนายนนี้    ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่  https://www.facebook.com/ManofSteelThailand