HIGHLIGHT CONTENT

ข้อมูลและตัวอย่าง "The Impossible" (เข้าฉาย 29 พฤศจิกายน 55)

  • 14,383
  • 16 พ.ย. 2012
ประเภท Disaster / Drama กำหนดฉาย 29 พฤศจิกายน 2012 บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง อัลวาโร่ ออกัสติน (Pan's Labyrinth, The Orphanage, Agora) กำกับ ฮวน อันโตนิโอ บาโยน่า (The Orphanage) เขียนบท เซอร์จิโอ ซานเชส (The Orphanage) นำแสดง ยวน แม็คเกรเกอร์ (Star Wars: Episode I-III, Haywire, Big Fish) นาโอมิ วัตตส์ (The Ring, King Kong, 21 Grams, Fair Game) เจอรัลดีน แชปปลิน (The Orphanage, The Wolfman, Talk to Her)

เรื่องย่อ

ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผู้กำกับบอกกับฉันว่า "ผมต้องการนำเรื่องราวของพวกคุณมาสร้าง" พวกเราบอกเขาว่า "นี่ไม่ใช่เรื่องราวของเรา แต่เป็นเรื่องราวของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น และไม่ใช่ทุกคนที่โชคดีเหมือนเรา” - มาเรีย เบลอน (คุณแม่ที่เรื่องราวของครอบครัวเธอถูกนำมาสร้างใน The Impossible) เรื่องราวอันทรงพลังของหนึ่งครอบครัวกับการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ในเหตุการณ์สึนามิถล่มปี 2004 ในคาบสมุทรอินเดีย The Impossible นำแสดงโดย นาโอมิ วัตตส์ และ ยวน แม็คเกร์เกอร์ ผลงานจากผู้กำกับ ฮวน อันโตนิโอ บาโยน่า (The Orphanage) มาเรีย (นาโอมิ วัตตส์), เฮนรี่ (ยวน แม็คเกอร์เกอร์) และลูกชายทั้งสามคนเดินทางไปพักผ่อนในประเทศไทย พวกเขาใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในสวรรค์ฤดูร้อน แต่ในเช้าของวันที่ 26 ธันวาคม ในขณะที่ทุกคนพักผ่อนริมสระน้ำในรีสอร์ต หลังจากที่เพิ่งฉลองวันคริสต์มาสเมื่อคืน แผ่นดินไหวก็เกิดขึ้นในใจกลางมหาสมุทรอินเดีย ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สูงเท่าตึกสามชั้นถล่มใส่ทุกสิ่งทุกอย่างแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ทุกคนในครอบครัวต้องพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์แห่งความเป็นความตายนี้ นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง The Impossible คือเรื่องราวของหนึ่งครอบครัวที่จะไม่มีวันลืม ที่ร่วมประสบชะตากรรมเดียวกับคนแปลกหน้านับพันคน นี่คือหายนะที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่ภายใต้ความน่าสะพรึงกลัวก็กลายเป็นบ่อเกิดของความห่วงใย ความกล้า และความหวัง ที่ มาเรีย และสมาชิกครอบครัวได้พานพบในช่วงชั่วโมงที่มืดมนที่สุดของชีวิต The Impossible คือการเดินทางเข้าไปสู่แก่นกลางของคุณค่าความเป็นคน

จุดเริ่มต้นการสร้าง

ในปี 2004 หนึ่งวันหลังวันคริสต์มาส คลื่นยักษ์สึนามิได้กลืนกินทุกอย่างบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตกของไทย นี่คือหายนะทางธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดของประเทศ ช่วงเวลาเพียงแค่ 10 นาที ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5,000 คน สูญหายอีกกว่า 2,800 คน และทำให้เด็กต้องกำพร้าพ่อแม่อีกกว่า 1,480 คน... และนั่นคือความสูญเสียเพียงแค่ประเทศเดียว ครอบครัวหนึ่ง เฮนรี่ และ มาเรีย สองสามีภรรยาและลูกชายทั้งสามคน ประกอบไปด้วย ลูคัส, ไซม่อน, และ โทมัส เดินทางไปพักร้อนในภูเก็ต ซึ่งอยู่ใจกลางของเหตุการณ์สึนามิพอดี พวกเขาต้องพรากจากกันและได้รับบาดเจ็บ พวกเขาต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด และพยายามตามหาซึ่งกันและกัน นี่คือเรื่องราวที่สร้างจากเหตุการณ์จริงอันน่าทึ่ง ความเชื่อมั่นที่ไม่มีวันสั่นคลอน และคนแปลกหน้ามากมายที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามคับขัน The Impossible เป็นผลงานลำดับที่สองของ ฮวน อันโตนิโอ บาโยน่า หลังจากผลงานเรื่องแรก The Orphanage ของเขาประสบความสำเร็จอย่างดงงาม โดยไปเปิดฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ปี 2007 และก็ได้รับการลุกขึ้นยืนปรบมืออย่างกึกก้อง รวมถึงได้รับ 7 รางวัลโกย่า (ออสการ์ของสเปน) และกลายเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดของสเปนประจำปี The Impossible ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของครอบครัว ที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่ด้วยความรักและกำลังใจที่ดีของทุกคน ทำให้ บาโยน่า รู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาในการนำมันมาเล่า เขาเผยว่า "พวกเราไม่ต้องการที่จะสร้างหนังที่เกี่ยวกับหายนะ แต่ผมต้องการที่จะตั้งคำถามกับทุกคนว่าคุณมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มันเป็นสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่าโศกนาฏกรรม ผมต้องการพูดถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ และสิ่งที่ทำให้ทุกคนประทับใจเมื่อได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น" การนำเหตุการณ์นี้มาสร้างไม่ใช่งานง่าย โดยเฉพาะแง่มุมของเทคนิกการถ่ายทำที่ซับซ้อน ยังไม่รวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างความจริงอันโหดร้ายกับชัยชนะทางจิตวิญญาณของมนุษย์ บาโยน่า เผยว่า "มันเป็นโปรเจ็คที่มีความใกล้ชิดกับตัวผม แต่เราก็ไม่รู้เลยว่าจะสร้างมันออกมาได้ยังไง มันมีสเกลที่ใหญ่และต้องการทีมงานที่เข้าใจเรื่องเทคโนโลยีและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น" ถึงแม้ The Impossible จะสร้างจากเรื่องจริงของครอบครัวชาวสเปน อัลวาเรซ เบลอน แต่หนังก็ได้เลือก นาโอมิ วัตตส์ และ ยวน แม็คเกรเกอร์ เข้ามารับบทเป็นคู่สามี-ภรรยา และลูกทั้งสามก็รับบทโดย ทอม ฮอลแลนด์, โอ๊คลี่ย์ เพนเดอร์กาส และ ไซม่อน จอชลิน ซึ่งก็ถูกเลือกเป็นตัวแทนของประชาชนโลก โดยในเรื่อง เฮนรี่ ก็ทำงานในญี่ปุ่น ในขณะที่ มาเรีย ก็เป็นหมอ ที่หยุดพักงานเพื่อที่จะใช้เวลากับลูกๆมากขึ้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับครอบครัว อัลวาเรซ เบลอน ที่จะเชื่อใจใครซักคนในการถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเขาบนจอ แต่เพราะ มาเรีย เบลอน ได้พูดเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าเรื่องราวครั้งนี้ใหญ่กว่าพวกเขา เพื่อที่จะเล่าออกมาให้คนทั้งโลกได้รับรู้ โดยทีมงานก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้ครอบครัว เบลอน มีส่วนร่วมกับกระบวนการสร้าง จนในที่สุด บาโยน่า และทีมงานก็สามารถเอาชนะใจพวกเขา มาเรีย เบลอน คุณแม่ของครอบครัวก็เผยถึงความรู้สึกในกระบวนการสร้างว่า "ฉันตื่นเต้นมาก ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะเล่าเรื่องยังไง แต่ฉันก็อยากที่จะถ่ายทอดมันออกมา พวกเรามีการนัดคุยกันครั้งแรกเป็นเวลาสามชั่วโมง พวกเขาให้ฉันลำดับเหตุการณ์เท่าที่ฉันจำได้ทั้งหมด พวกเขาคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของตัวเองในการสร้างมันออกมา ซึ่งแนวทางของพวกเขาก็ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งประสบการณ์ของฉันในการเฝ้ามองกระบวนการสร้างเรื่องนี้ ก็เหมือนกับประสบการณ์ที่ฉันสัมผัสมากับสึนามิ" เซอร์จิโอ ซานเชส ผู้เขียนบท The Impossible ก็ได้เล่าถึงกระบวนการในการเขียนบทว่า "มาเรีย เข้ามาที่ออฟฟิศของพวกเราและเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งน้ำตา ในระหว่างประชุม บาโยน่า ก็ลุกขึ้นยืนและบอกว่า "ไม่ว่าจะยังไง เราก็ต้องสร้างหนังเรื่องนี้ให้ได้" มันเป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งและประทับใจ ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันเมื่อได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น หนังมันเริ่มต้นด้วยวินาทีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของทุกคน แต่เรื่องราวต่อจากนั้นก็คือการเดินทาง พวกเราได้รับรู้ผลลัพท์และความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสึนามิ ทั้งจากทางโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต แต่สิ่งหนึ่งที่ The Impossible เข้าไปสำรวจก็คือเรื่องราวของมนุษย์ที่ใช้ชีวิตหลังจากเหตุการณ์นั้น มันเป็นสิ่งที่เราหาไม่ได้ทางสื่อต่างๆ" ซานเชส ที่เขียนบทให้ บาโยน่า ในเรื่อง The Orphanage ก็พยายามหาสมดุลระหว่างความโหดร้ายและสิ่งที่เสริมสร้างกำลังใจ เขาอธิบายว่า "สิ่งที่ทำให้ผมกลัวที่สุดก็คือ เราจะเล่าเรื่องของผู้รอดชีวิตห้าคน จากเหตุการณ์ที่คร่าชีวิตคนไปกว่า 300,000 คนได้ยังไง มันสำคัญสำหรับผมในการถ่ายทอดโศกนาฏกรรมด้วยความเคารพต่อผู้สูญเสีย และเล่าเรื่องจริงที่จะทำให้ทุกคนเชื่อมถึงครอบครัวนี้ เราต้องทำให้โครงสร้างเรื่องถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ประสบการณ์ที่แต่ละตัวละครต้องเผชิญเมื่อแยกจากกันและคิดว่าอีกฝ่ายนึงเสียชีวิตไปแล้ว มันเป็นความท้าทายในการเล่าเรื่องผ่านตัวละครห้าคนนี้" ซานเชส ช่วยให้สมาชิกครอบครัวทั้งห้าคนปลดปล่อยช่วงเวลาที่น่ากลัวออกมา ที่มักเกิดขึ้นกับคนที่เจอกับสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจ ที่มักเก็บเอาความทรงจำเหล่านั้นเอาไว้เป็นรอยแผลทางจิตใจ เขาเผยว่า "มันเป็นการหาข้อมูลที่ง่าย เมื่อสมาชิกครอบครัวทั้งห้าสามารถคุยกับเราได้ตลอดเวลา และพวกเขาก็ยินดีที่จะนั่งคุยกับเรา มันเป็นกระบวนการที่น่าสนใจ เพราะความทรงจำอาจจะเล่นตลกกับคุณ สมาชิกครอบครัวบางคนมีการลำดับเหตุการณ์ในเวอร์ชั่นที่แตกต่างกัน แต่เมื่อเรานำมาปะติดประต่อกัน มันก็ทำให้เราเห็นภาพรวมที่น่าทึ่ง"

การคัดเลือกนักแสดง

เพราะบทภาพยนตร์ของ เซอร์จิโอ ซานเชส และโอกาสในการได้ร่วมงานกับ ฮวน อันโตนิโอ บาโยน่า คือสิ่งที่ดึงดูด ยวน แม็คเกรเกอร์ เข้ามาร่วมโปรเจ็คนี้ เขาเผยว่า "ผมชอบบทภาพยนตร์นี้ มันเป็นสิ่งที่จริงใจและซื่อตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สุด อีกทั้งผมก็ยังได้ร่วมงานกับ บาโยน่า ที่ทำหนังเรื่องโปรดของผม The Orphanage และก็รวมถึงการกลับไปร่วมงานกับ นาโอมิ ที่ผมเคยทำงานด้วยเมื่อหลายปีก่อน ถึงแม้ว่าในเรื่องนี้เราจะไม่ได้มีฉากร่วมกันมากนัก แต่ทุกวินาทีที่เราเจอกันก็สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ให้กับทุกคน" เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวก็ยังเชื่อมต่อถึง แม็คเกรเกอร์ ในแนวทางที่เป็นส่วนตัว เขาเผยว่า "เมื่อ เฮนรี่ เห็นลูกๆของเขาที่โรงพยาบาล หลังจากที่ครอบครัวต้องแยกจากกันเพราะสีนามิ เมื่อวินาทีที่เขาพบหน้าภรรยาและลูกชายคนโตที่เขาคิดว่าตายไปแล้ว มันทำให้ผมร้องไห้ทันทีระหว่างอ่านบท มันเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจ ผมเองก็มีลูก 4 คนแล้ว และผมก็ไม่เคยรับบทเป็นพ่อในหนังมาก่อน ผมอยากทำให้ เฮนรี่ เป็นเหมือนกับตัวผมในชีวิตจริง และลองคิดดูว่าจะรู้สึกยังไงถ้าลูกของผมหายตัวไปจริงๆ มันเป็นแนวทางของผมในการแสดงเป็นเขา" หลังจากที่ได้อ่านบทภาพยนตร์ แม็คเกรเกอร์ ก็รู้สึกถึงตัวตนที่แท้จริงของครอบครัวนี้ เขาเล่าว่า "มันมีช่วงเวลาระหว่าง มาเรีย และ ลูกชายคนโต ลูคัส ที่ผมรู้สึกซึ้งกินใจที่สุด เมื่อเขาเห็นสภาพร่างกายของแม่เขา เขาก็พูดว่า "แม่ครับ ผมจะไม่ยอมให้แม่ต้องเจ็บอีกแล้ว" ผมคิดว่ามันคืออารมณ์ที่สมจริง ในการที่ลูกของคุณเห็นแม่ที่บาดเจ็บ และเขาก็ทนไม่ไหวที่จะต้องเห็นแม่เป็นแบบนั้น ผมคิดว่าไม่มีหนังเรื่องไหนที่ถ่ายทอดความเป็นครอบครัวได้ดีเท่ากับเรื่องนี้" นาโอมิ วัตตส์ นักแสดงสาวชาวออสเตรเลีย ได้ใช้เวลากับ มาเรีย ตัวจริง ตั้งแต่ก่อนถ่ายทำจนถึงระหว่างการถ่ายทำ เธอเล่าว่า "ครั้งแรกที่ฉันได้อ่านบท ฉันคิดว่ามันมีความชัดเจนและสมจริง ไม่ใช่แค่หนังที่ใช้สึนามิเป็นฉากหลังของเรื่องราว ฉันพบว่ามันเป็นประสบการณ์จริงของครอบครัว มาเรีย มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าทึ่งและทรงพลัง ในการได้พูดคุยกับเธอถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเป็นคนใจดี ชอบช่วยเหลือ และคอยให้คำปรึกษาทุกครั้งที่คุณต้องการ และที่สำคัญที่สุดก็คือเธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและกล้าหาญที่สุด" ฉากระหว่าง ลูคัส และ มาเรีย ก็ทำให้ วัตตส์ รู้สึกประทับใจเช่นเดียวกัน เมื่อสึนามิกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง โชคดีที่แม่และลูกชายคนโตพบกัน ภายใต้กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากและไร้การควบคุม โดย วัตตส์ ก็ได้ร่วมฉากกับ ทอม ฮอลแลนด์ ที่รับบทเป็น ลูคัส เธอเล่าว่า "ฉันชอบความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกในเรื่อง และ ทอม ก็เป็นนักแสดงที่น่าทึ่ง เขาทำให้ทุกคนเชื่อมั่น เพราะการแสดงของเขาส่งตรงออกมาจากใจ ในช่วงฉากสึนามิเราอาจไม่ได้แสดงมากนัก เพราะเราถูกทั้งน้ำและซากปรักหักพังซัดใส่ สิ่งเดียวที่คุณทำได้ก็คือการตอบสนองกับสภาพแวดล้อม แต่ ทอม กับฉันก็มีช่วงเวลาที่ใกล้ชิดกัน และคุณก็จะได้เห็นว่าเขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์แค่ไหน" ถึงแม้ ทอม ฮอลแลนด์ จะมีชื่อเสียงจากการแสดงละครเวที เมื่อเขารับบทเป็น บิลลี่ ใน Billy Elliott ที่เปิดแสดงในลอนดอนมานานกว่า 4 ปี แต่นี่ถือเป็นการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา โดยเขาพูดถึงหนังว่า "มันเป็นเรื่องราวความรักระหว่างครอบครัว และการที่มันสร้างจากเรื่องจริงก็ยิ่งกินใจผม ผมไม่เคยสัมผัสเรื่องราวที่มีพลังถึงขนาดนี้ ผมคิดว่า The Impossible คือวิธีที่เรานำเรื่องราวนี้ให้กับคนทั่วโลก ให้ทุกคนรู้ว่าช่วงเวลาที่มืดมิดก็ยังมีความหวังอยู่" การเดินทางของ ลูคัส ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งที่ทำให้ ฮอลแลนด์ ประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาการในความสัมพันธ์ของเขากับแม่ เขาเล่าว่า "เริ่มแรก ลูคัส จะเป็นคนที่เชื่อมกับครอบครัวของเขาได้น้อยที่สุด แต่เมื่อเกิดเหตุที่ทำให้เขาต้องแยกจากครอบครัว ลูคัส ก็ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพราะแม่ของเขาได้รับบาดเจ็บหนัก เขาต้องเข้มแข็งเพราะแม่พึ่งเขาได้เพียงคนเดียว มันคือการเดินทางที่สำคัญสำหรับเขา และการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่าง มาเรีย และ ลูคัส ก็กลายเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุด" ฮอลแลนด์ ยังเผยว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับ วัตตส์ ทั้งในและนอกจอ "การทำงานร่วมกับ นาโอมิ เป็นช่วงเวลาที่น่าทึ่ง ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการแสดง เธอเป็นเหมือนกับครูสอนการแสดงให้ผม ทั้งระหว่างการถ่ายทำและช่วงเบรค เธอมีเวลาให้กับทุกคนเสมอถ้าคุณต้องการ" นอกจาก ฮอลแลนด์ ที่รับบทเป็น ลูคัส ในเรื่องเขาก็ยังมีน้องชายอีกสองคน ได้แก่ ไซม่อน ที่รับบทโดย โอ๊คลี่ย์ เพนเดอร์แกส และ โทมัส ที่รับบทโดย ซามูเอล จอชลิน โดยนักแสดงทั้งสามคนก็กลายเป็นเหมือนพี่น้องกันจริงๆ และ ฮอลแลนด์ ก็ได้นำสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจาก วัตตส์ มาถ่ายทอดให้กับทั้งสองคน "มันยอดเยี่ยมเพราะผมได้ช่วยพวกเขาในเรื่องการแสดง ซึ่งก็เป็นคำแนะนำที่ผมได้จาก นาโอมิ พวกเขาเป็นเด็กที่ตลกและมีไหวพริบ พวกเรากลายเป็นเพื่อนและพี่น้องกันจริงๆ" นักแสดงเด็กทั้งสามคนก็ทำให้ ยวน แม็คเกรเกอร์ ประทับใจ ทั้งในการแสดงและชีวิตจริง เขาเล่าว่า "ผมชอบ ทอม, โอ๊คลี่ย์ และ ซามูเอล ที่รับบทเป็นลูกๆของผม ผมคิดว่าพวกเขาเป็นเด็กที่พิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทอม ที่ไม่เคยแสดงหนังมาก่อน ผมคิดว่าเขาจะเติบโตในฐานะนักแสดงมากที่สุด เขามีพรสวรรค์และสุภาพกับทุกคน ส่วนเด็กอีกสองคนอย่าง ซามูเอล และ โอ็คลี่ย์ ก็ยอดเยี่ยม โอ็คลี่ย์ ยังตัวเล็กมาก แต่เขาก็เข้าใจในอารมณ์ตัวละครที่ต้องการถ่ายทอด" เหมือนกับ นาโอมิ และ ฮอลแลนด์ เมื่อ แม็คเกรเกอร์ ก็ต้องร่วมฉากกับ แพนเดอร์แกส และ จอชลิน เป็นส่วนใหญ่ในหนัง ซึ่งก็เขาพอใจกับผลลัพท์ "การแสดงร่วมกับเด็กทั้งสองเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับผม ในตอนแรกพวกเขาอายที่จะร่วมแสดงกับผม แต่หนึ่งเดือนถัดมามันก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิง พวกเขาใช้ชีวิตกับผมตลอด อยู่ในเทรลเลอร์ผมระหว่างพัก และผมก็รู้สึกผูกพันกับพวกเขาจริงๆ การได้ทำงานกับเด็กสองคนนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมชื่นชอบที่สุด"

เบื้องหลังการถ่ายทำ

The Impossible เตรียมงานสร้างกว่า 2 ปี และถ่ายทำกันเป็นเวลา 25 สัปดาห์ทั้งในสเปนและไทย โดยมีฉากสำคัญมากกว่า 60 ฉาก โดยหนังเปิดกล้องในสตูดิโอที่เมืองอัลลิคานเต้ ก่อนที่จะย้ายมาถ่ายทำที่เกาะภูเก็ต ประเทศไทย ซึ่งหลายแห่งก็เป็นสถานที่ที่เคยเกิดสึนามิ เพราะความสูญเสียที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้กำกับ ฮวน อันโตนิโอ บาโยน่า ต้องการที่จะทำให้มันมีความสมจริงและยังให้ความเคารพมากที่สุด ในขณะที่ช่วงเริ่มต้นของหนังถูกถ่ายทอดด้วยความรุนแรง เมื่อคลื่นน้ำที่บ้าคลั่งซัดใส่มนุษย์ตัวเล็กๆ แต่ช่วงเวลาต่อจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นบางสิ่งที่แตกต่าง ซึ่งก็คือเรื่องราวของความกล้าและความหวัง นาโอมิ วัตตส์ อธิบายว่า "หนังที่สร้างจากเรื่องจริงเป็นเรื่องยากและง่ายในเวลาเดียวกัน มันง่ายที่จะเข้าไปสัมผัสกับความจริง แต่มันก็คือแรงกดดันเพราะเรากำลังเล่าเรื่องของคนที่มีชีวิตอยู่จริง มันจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะทำด้วยความเคารพให้มากที่สุดท่าที่จะทำได้" แม็คเกรเกอร์ เสริมต่อว่าพวกเขาพยายามสร้างเพื่อเป็นเกียรติ ไม่เพียงแค่ครอบครัวนี้แต่ยังรวมถึงทุกคนที่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์สึนามิด้วย "เมื่อคุณเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริง มันก็คือความรับผิดชอบกับคนที่คุณรับบท ไม่เพียงแค่นั้นผมก็ยังรู้สึกว่าผมต้องรับผิดชอบต่อทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิด้วย ผู้คนจำนวนมากล้มตาย และหลายคนที่มีชีวิตรอดมาบอกเล่าเรื่องราว ผมจะไม่ยอมให้ใครมาบอกว่าเราหาผลประโยชน์จากความสูญเสีย โดยใช้สึนามิเป็นฉากหลัง นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องการทำ"   บาโยน่า ยืนยันที่จะถ่ายทำในสถานที่จริง รวมถึงการได้ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิจริงๆเข้ามาแสดงในหนัง โดยสถานที่ที่สำคัญที่สุดก็คือรีสอร์ต เดอะ ออร์คิด ที่ครอบครัว เบลอน ได้เดินทางมาพักผ่อนในช่วงคริสต์มาส ซึ่ง มาเรีย เบลอน ก็ได้ร่วมเดินทางกับทีมงานไปยังรีสอร์ตแห่งนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เธอผ่านฝันร้ายครั้งนั้น มาเรีย เล่าถึงความรู้สึกของเธอที่ได้กลับไปที่รีสอร์ตแห่งนั้นว่า "ไม่เพียงแค่ฉันไปที่ เดอะ ออร์คิด ฉันยังกลับไปนั่งตรงจุดที่ฉันถูกคลื่นน้ำซัดอีกด้วย ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสียงการกินอาหารเช้า การพักผ่อนของนักท่องเที่ยว และพนักงานรีสอร์ตที่กำลังจัดการให้ทุกอย่างเป็นระเบียบ ลำดับเหตุการณ์ในหนังเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในทุกรายละเอียด มันเป็นเช้าที่งดงามที่สุดวันหนึ่ง แต่จากนั้นชีวิตของทุกคนก็เปลี่ยนไปในเวลาแค่ไม่กี่นาที หลังจากที่ฉันกลับมาที่ เดอะ ออร์คิด ฉันก็คุยกับคนท้องถิ่นที่รอดจากเหตุการณ์สึนามิ มันเป็นประสบการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับทุกคน และฉันคิดว่า ฮวน ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมกับการถ่ายทอดทุกอย่างลงบนแผ่นฟิล์ม" วัตตส์ รู้สึกเห็นใจครอบครัว มาเรีย และชื่นชมในความกล้าหาญของเธอ ในการกลับมายังสถานที่ที่มอบประสบการณ์อันเลวร้ายให้กับเธอ "สำหรับฉันแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่เครื่องบินแล่นลงสนามบินภูเก็ต ความรู้สึกและบรรยากาศก็ทำให้คุณรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆ แต่สำหรับ มาเรีย ที่กลับมาพร้อมครอบครัว และได้สัมผัสกับประสบการณ์นั้นอีกครั้ง มันเหมือนกับกระบวนการที่เธอต้องการมอบบทสรุปให้กับตัวเอง” เพื่อที่จะสร้างฉากสึนามิถล่ม The Impossible ก็ต้องใช้ทีมสเปเชี่ยลเอฟเฟ็คถึงหกทีม และใช้เวลากว่าหนึ่งปีในการสร้างฉากที่กินเวลา 10 นาที ที่เกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของหนัง เมื่อคลื่นยักษ์กระหน่ำเข้าใส่ชายฝั่งทะเลตะวันตก โดยทีมสเปเชี่ยลเอฟเฟ็ค เฟลิกซ์ เบอร์เจส และ พอล คอสต้า ก็รับหน้าที่ในการสร้างตัวละครที่สำคัญที่สุดอย่างคลื่นสึนามิ ซึ่งสำหรับ เบอร์เจส หนทางเดียวในการสร้างก็คือการใช้น้ำของจริง เขาเผยว่า "ไม่ว่าเทคโนโลยีของเราจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน แต่น้ำที่สร้างจากเอฟเฟ็คก็จะไม่มีความสมจริงมากพอ" การตัดสินใจนี้ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของการถ่ายทำ โดยทีมงานก็ต้องใช้น้ำจำนวนกว่า 35,000 แกลลอนในแต่ละวัน โดยทีมงานของ เบอร์เจส ก็ได้สร้างระบบที่ทำให้กระแสน้ำมีความรุนแรง โดยที่ไม่ทำให้นักแสดงในเรื่องได้รับอันตราย "แนวทางแรกของเราก็คือการสร้างทางน้ำไหลประมาณ 60 เมตร แต่เราก็ตัดสินใจที่จะทำทางน้ำไหลประมาณ 10-15 ห้าเมตรต่อหนึ่งฉาก เพื่อให้นักแสดงมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยพวกเราก็ถ่ายทำกันประมาณร้อยช็อตสำหรับฉากสึนามิ" ทีมงานก็ยังถ่ายทำฉากที่สมาชิกครอบครัวถูกกระแสน้ำพัดไปคนละทิศละทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาเรีย ที่ถูกน้ำดูดและทำให้เธอได้รับแรงกระแทกจากทุกสิ่งทุกอย่าง โดยทีมงานก็ถ่ายทำกันในแท้งค์น้ำประมาณเดือนครึ่ง เบอร์เจส เล่าถึงประสบการณ์ว่า "พวกเราถ่ายทำฉากน้ำท่วมโดยแบ่งออกเป็นสองกอง ทีมงานถ่ายทำใต้น้ำเป็นอะไรที่ซับซ้อนและลำบาก แท้งค์น้ำที่เราใช้มีความใหญ่ประมาณ 100 x 80 เมตร สิ่งที่ยากเกี่ยวกับการถ่ายทำฉากสึนามิก็คือ น้ำที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วและไม่สามารถคาดเดาได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวตลอดเวลา คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะไปในทิศทางไหน" การถ่ายทำกับน้ำมีความโหดและรุนแรง และคนที่ได้รับประสบการณ์ตรงมากที่สุดก็คือ นาโอมิ วัตตส์ โดยเธอก็เล่าถึงความรู้สึกว่า "มันเป็นความท้าทายมากที่สุดครั้งหนึ่งสำหรับฉัน ฉันไม่ได้อยู่ในวัยเดียวกับ ทอม มันจึงไม่ใช่เรื่องปกติที่ฉันจะต้องถูกเหวี่ยงไปมาด้วยกระแสน้ำแบบนี้ มันเป็นงานที่ยากในระยะเวลาหนึ่งเดือน ฉันจำได้ว่า ฮวน บอกให้ฉันพูดบทระหว่างที่ถ่ายทำ แต่ฉันก็ไม่สามารถพูดได้เพราะน้ำมันทั่วทั้งร่างของฉัน" สำหรับผู้ออกแบบงานสร้างมือรางวัลออสการ์ ยูเจนิโอ คาบาเรลโล่ เศษซากที่หลงเหลือหลังจากเหตุการณ์สึนามิก็คือความท้าทายที่สุดของเขา เขาเล่าว่า "ตอนเริ่มแรกโจทย์ที่ผมคิดว่ายากก็คือการสร้างฉากสีนามิ แต่เรื่องเซอร์ไพรซ์สำหรับผมก็คือสิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากน้ำได้ผ่านไปแล้วต่างหาก พวกเราพยายามทำตามแนวทางเก่า คือการทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตรงนั้นจริงๆ แทนที่จะใช้เอฟเฟ็ค" ความพยายามของ คาบาเรลโล่ ก็คือการสร้างกราวน์ซีโร่ของความเสียหาย ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง เศษไม้ และร่างของมนุษย์ทั่วทั้งบริเวณ ซึ่งก็กินพื้นที่เท่ากับแปดสนามฟุตบอล โดยสิ่งที่ยากที่สุดที่เขาคาดไม่ถึงก็คือการสร้างซากต้นไม้ที่กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งบริเวณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิต มาเรีย และ ลูคัส เอาไว้ คาบาเรลโล่ เผยถึงการสร้างต้นไม้ของ มาเรีย ว่า "ฉากที่ท้าทายที่สุดฉากหนึ่งก็คือต้นไม้ของ มาเรีย มันเป็นฉากที่ใหญ่และลำบากในการถ่ายทำ เนื่องจากน้ำมีระดับสูงอยู่แล้ว เราจึงต้องสร้างแท่นที่ตั้งของต้นไม้ให้มีความสูงขึ้นไปอีก มันเป็นเรื่องทางเทคนิกที่ซับซ้อน เพราะต้นไม้นี้ก็เหมือนกับหัวใจของเรื่องราว ซึ่งเราก็ต้องควบคุมสภาพแวดล้อมตรงนั้นให้ได้เนื่องจากนักแสดงของเราต้องอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น โดยจากฐานต้นไม้ของ มาเรีย ไปจนถึงยอดก็มีความสูงประมาณ 7 เมตร กิ่งก้านของมันก็ถูกทดสอบหลายครั้งเพื่อความปลอดภัย เพื่อที่พวกเขาจะขึ้นไปอยู่และเล่าเรื่องที่เราต้องการเล่า" คาบาเรลโล่ เสริมต่อว่าสิ่งที่สำคัญในการสร้าง The Impossible ก็คือคนท้องถิ่น ที่ให้ความช่วยเหลือในการสร้างอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะนักแสดงสมทบที่ต้องสัมผัสกับประสบการณ์นั้นอีกครั้ง "หลายคนที่ทำงานกับเราคือคนในพื้นที่ และหลายคนก็สูญเสียสมาชิกครอบครัวไปจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผมจำได้ว่าคนขับรถแท็กซี่ที่มาส่งเราที่ เดอะ ออร์คิด เขาเห็นสิ่งพวกเรากำลังเตรียมงาน เขายืนนิ่งอยู่สองนาทีและส่ายหัว เขาบอกว่าตัวเองเสียภรรยาที่ทำงานในโรงแรมไป มันเหมือนกับว่าเขาย้อนเวลากลับไปสัมผัสถึงสิ่งนั้นอีกครั้ง ในขณะเดียวกันโรงพยาบาลที่เราเข้าไปถ่ายทำก็เช่นเดียวกัน นางพยาบาลและคุณหมอหลายคนต่างก็มีประสบการณ์ กับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจำนวนมากที่เดินทางมาที่นี่" ทีมงานได้ไปถ่ายทำกันในโรงพยาบาลตะกั่วป่า ซึ่งถือเป็นที่ที่ มาเรีย พักฟื้นร่างกาย รวมถึงเป็นศูนย์กลางที่พักพิงหลังเหตุการณ์สึนามิของจริง โดย คาบาเรลโล่ และทีมงานก็เปลี่ยนให้มันกลับไปเป็นแบบนั้นอีกครั้ง "ฉากที่มีความซับซ้อนและสำคัญก็คือฉากในโรงพยาบาล พวกเราได้สร้างฉากในโรงพยาบาลที่ มาเรีย เข้าไปรักษาจริงๆ พวกเราได้ดูภาพและหลักฐานอ้างอิงที่ เพื่อสร้างความโกลาหลและความสมจริงในชั่วโมงแรกหลังจากเหตุการณ์สึนามิ" ผู้กำกับภาพ ออสการ์ เฟาร่า ต้องการให้ผู้ชมได้ซึมซับถึงบรรยากาศในประเทศไทย และต้องการทำให้อารมณ์ของภาพมีความสดใสและเต็มไปด้วยแสงสว่าง เขาพูดถึงแนนวทางการถ่ายทำว่า "ตัวละครของเราต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา พวกเราต้องถ่ายทำทั้งในและนอกน้ำ ด้วยเครน กล้องใต้น้ำ กล้องมือถือ พวกเรามีทีมงานกล้องสามทีม เพราะเราต้องการจับภาพทั้งบนบก ใต้น้ำ และบนอากาศในเวลาเดียวกัน" ด้วยความที่ธรรมชาติของหนังและตัวละครมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา มันจึงถือเป็นความท้าทายในเรื่องเทคนิกการถ่ายทำ เฟาร่า  เล่าว่า "ผมต้องการควบคุมอารมณ์และแสงสว่างระหว่างการถ่ายทำ เพื่อทำให้ช็อตที่นำมาต่อกันมีความสอดคล้องและต่อเนื่องกันมากที่สุด โดยทีมงานของเราก็สร้างสลิงค์ชนิดพิเศษในการถ่ายทำฉากที่ วัตตส์ ต้องอยู่ใต้น้ำ มันเป็นการถ่ายทำที่ลำบากเนื่องจากเธอต้องหมุนตัวอยู่ภายในน้ำ และน้ำก็ไม่ได้ใสแจ๋วเหมือนน้ำจากสระ มันเป็นงานที่ต้องการอาศัยความร่วมมือกันระหว่างทีมงานและตัวนักแสดง" เฟาร่า อธิบายต่อว่า "พวกเราต้องควบคุมความหนาแน่นและกระแสน้ำ เพื่อที่จะควบคุมภาพที่เราถ่ายทำว่าจะออกมายังไง คุณต้องอยู่ใกล้กับตัวละครตลอดเวลาเพื่อที่จะจับเอารายละเอียดของเธอ พวกเราให้ นาโอมิ วัตตส์ นั่งเก้าอี้เคลื่อนไหวได้ที่เราเรียกว่า "จิราทุตโต้" ที่มีกล้องติดอยู่กับมัน ทำให้กล้องจับภาพของเธอเอาไว้ได้ทุกช็อต เราต้องการที่จะมอบความรู้สึกของการเดินทางจากแสงสว่างไปสู่ความมืดมิดให้กับคนดู มันเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวในการได้สัมผัส แต่มันก็เป็นความสำเร็จที่งดงามในเรื่องของเทคนิกที่นำมาถ่ายทอด"

ประวัตินักแสดง

นาโอมิ วัตต์ส (รับบทเป็น มาเรีย) นาโอมิ วัตต์ส ถือเป็นนักแสดงหญิงมากฝีมือคนหนึ่ง จากการแสดงที่กระชากหัวใจของ วัตต์ส กับบทแม่แม่ม่ายใน 21 Grams ของผู้กำกับ อเลยานโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู ซึ่งประกบคู่กับ ฌอน เพนน์ กับ เบนิซิโอ เดล โทโร่ ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากสมาคมนักแสดง, แบฟต้า และ คริติคส์ ชอยส์ อวอร์ด นอกจากนี้ก็ยังได้รับรางวัลจากสมาคมนักวิจารณ์ต่างๆ เช่น Los Angeles Film Critics Association และคว้ารางวัลขวัญใจมหาชน สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิสอีกด้วย วัตตส์ เพิ่งมีผลงานคุณภาพอย่าง Fair Game ประกบคู่กับ ฌอน เพนน์ เมื่อปีที่แล้ว โดยผลงานก่อนหน้านี้ของ วัตต์ส ก็ยังมีภาพยนตร์ของ เดวิด โอ รัสเซลล์ เรื่อง I  Heart Huckabee’s ที่ประกบบทกับ จู๊ด ลอว์ และ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน , We Don’t Live Here Anymore ที่ร่วมแสดงกับ ลอร่า เดิร์น, ปีเตอร์ เคราส์ และ มาร์ก รัฟฟาโล่ และเรื่อง The Assassination of Richard Nixon ที่ร่วมแสดงกับ ฌอน เพนน์ และ ดอน เชียเดิล นาโอมิ วัตต์ส ยังมีผลงานบล็อคบัสเตอร์ King Kong ของผู้กำกับ ปีเตอร์ แจ็คสัน โดย วัตต์ส แจ้งเกิดและได้รับคำชมไปทั่วโลกจากบทนำ ในภาพยนตร์ดราม่าของ เดวิด ลินช์ เรื่อง Mullholland Drive ที่เปิดตัวฉายรอบปฐมทัศน์ที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และเป็นบทที่ทำให้เธอคว้ารางวัลดารานำหญิงยอดเยี่ยม จากสมาคมนักวิจารณ์หลายแห่ง นอกจากนั้น วัตต์ส ยังเคยได้รับตำแหน่งดาราหญิงแห่งอนาคต ที่งาน โชเวสต์ คอนเวนชั่น อีกด้วย ยวน แม็คเกรเกอร์ (รับบทเป็น เฮนรี่) ยวน แม็คเกรเกอร์ เพิ่งมีผลงานการแสดงในหนังแอ็คชั่นของผู้กำกับ สตีเส่น โซเดอเบิร์ก เรื่อง Haywire และหนังดราม่าเรื่อง Beginners ที่ทำให้นักแสดงร่วมจอของเขาอย่าง คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ ได้รับรางวัลออสการ์ในปีล่าสุด โดยผลงานในปี 2012 ก็ยังมี Salmon Fishing in the Yemen นักแสดงโรแมนติก-คอมเมดี้ ที่เขาร่วมแสดงกับ เอมิลี่ บลันท์ ยวน แม็คเกรเกอร์ คือนักแสดงชาวสก็อตแลนด์ ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการรับบทเป็น โอบีวัน เคโนบี ใน Star Wars Episode I, II และ III มหากาพย์สงครามล้างอวกาศของผู้กำกับ จอร์จ ลูคัส เขาแจ้งเกิดจากการรับบทเป็น เรนตั้น ในหนังเรื่อง Trainspotting ของผู้กำกับ แดนนี่ บอยล์ ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์จากเรื่อง Slumdog Millionaire โดยเขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้มากอีกในเรื่อง Shallow Grave และ A Life Less Ordinary ที่เขาแสดงคู่กับ คาเมรอน ดิแอซ ผลงานเรื่องอื่นๆของเขาก็ยังมี Velvet Goldmine, Emma, Little Voice, Moulin Rouge! ประกบกับ นิโคล คิดแมน, Cassandra’s Dream ของ วู้ดดี้ อัลเลน, Miss Potter, Down with Love, Big Fish ของ ทิม เบอร์ตัน, The Island, Stay, I Love You, Phillip Morris และ Angels & Demons   เจอรัลดีน แชปปลิน (รับบทเป็นหญิงชรา) ผลงาน >>> The Orphanage, The Wolfman, Talk to Her, Doctor Zhivago   ทอม ฮอลแลนด์ (รับบทเป็น ลูคัส) ผลงาน >>> ละครเวที Billy Elliot, ให้เสียงพากย์ Arrietty   ทีมงาน ฮวน อันโตนิโอ บาโยน่า (ผู้กำกับ) ผลงาน >>> The Orphanage, My Holiday (หนังสั้น), The Spongeman (หนังสั้น)   เซอร์จิโอ ซานเชส (เขียนบท) ผลงาน >>> The Orphanage, Surprise (หนังสั้น), Temporada Baja (หนังสั้น)   อัลวาโร่ ออกัสติน (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> Pan's Labyrinth, The Orphanage, Agora   ออสการ์ เฟาร่า (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >>> The Orphanage, The Machinist, Biutiful   ยูเจนิโอ่ คาบาเรลโล่ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ผลงาน >>> Pan's Labyrinth, The Runaways, Resident Evil: Extinction   เฟลิกซ์ เบอร์เจส (ผู้ควบคุมเอฟเฟ็ค) ผลงาน >>> The Others, Agora, Biutiful, The Sea Inside