เกี่ยวกับ Doctor Sleep
ดนตรีของนิว เทอร์เรน
การจับคู่ระหว่างบรรยากาศในหนังกับบรรยากาศทางเสียง ฟลานาแกนได้กลับไปขอความช่วยเหลือจากพี่น้องนิวตันอย่างแอนดี้ กรัช และ เทย์เลอร์ นิวตัน สจ๊วตอีกครั้งเพื่อเพลงประกอบภาพยนตร์ ฟลานาแกนเล่าว่า “สิ่งหนึ่งที่คูบริคได้ฝากเอาไว้ซึ่งเป็นเอ็ฟเฟ็กต์อันยอดเยี่ยมในเรื่อง ‘The Shining’ คือการใช้เพลงประกอบภาพยนตร์และการออกแบบซาวด์ที่สร้างบรรยากาศชวนหลอน แม้แต่ในฉากที่ไม่มีอะไรทำให้เราหวาดผวาได้ แต่เราก็รู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่เพราะเสียงที่ได้ยิน มันสำคัญมากที่ ‘Doctor Sleep’ ต้องมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง แต่เราก็อยากย้อนกลับไปหาความรู้สึกบางอย่างที่คูบริคเคยสร้างเอาไว้เหมือนกัน”
ทั้งคู่เริ่มแต่งเพลงด้วยการทำงานที่ต่างจากแนวทางปกติ มีการใช้เสียงจากธรรมชาติรอบตัวและดนตรีอัลเทอร์เนทีฟเพื่อสร้างเพลงประกอบขึ้นมา สจ๊วตได้เล่าว่า “ในช่วงแรกมีการพูดคุยกันเรื่องเมโลดี้และรายละเอียดก่อนที่จะเริ่มแต่งจริง เราอยากให้มีซาวด์ที่ไม่เหมือนใคร”
ในช่วงเริ่มแรกของแต่ละโปรเจ็กต์ นิวตันจะทำการหาข้อมูลเรื่องเครื่องดนตรีและซาวด์ที่สอดคล้องกับเรื่องราว กรัชได้เล่าว่า “เราได้พบกับ พอล เดรเชอร์ ผู้คิดค้น/นักดนตรีผู้สร้าง Hurdy Grandé [เฮอร์ดี้ เกอร์ดี้รุ่นใหญ่ที่มีการดัดแปลงขึ้นมาอย่างมีเอกลักษณ์] มันทำให้เกิดเสียงทุ้มที่มีความต่ำและกลายเป็นเสียงที่มีเอกลักษณ์ของทรูน็อต ฟังแล้วจะนึกถึงผู้เดินทางจากรุ่นก่อนพวกนี้ขึ้นมาเลย”
นอกจากนั้นแล้วพี่น้องนิวตันยังอีโอเลียนฮาร์ปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งตั้งอยู่ที่ตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย การบันทึกเสียงของฮาร์ปจะปรับตามเครื่องดนตรีที่ใช้ควบคู่กันในการแต่งเพลง “เสียงของมันทำให้นึกถึงอะไรหลายอย่างในหนังสือของคิง” พวกเขากล่าว
นักแต่งเพลงยังเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับคลื่นลมครั้งสำคัญในซานฟรานซิสโก ซึ่งเหตุการณ์วันนั้นทำให้เกิดอุปกรณ์ที่บันทึกเสียงการเคลื่อนไหวของลม พวกเขายังใช้เครื่องดนตรีจากอีกหลายวัฒนธรรมในดนตรี เพื่อสร้างสีสันและเรียกความสนใจโดยใช้เสียงอีกด้วย
สจ๊วตสรุปว่า “การร่วมงานกับไมค์ถือเป็นการแต่งเพลงที่ไม่เหมือนครั้งไหนเลย เขาให้เรามีทั้งเวลาและโอกาสในการเล่าเรื่องราวหรือตัวละคร ไม่ใช่แค่การอัดเสียงดนตรีเข้าไปในหนัง เขาทำให้เรามีโอกาสสร้างลูกเล่นหลายอย่าง หนังแนวนี้จะทำให้ดูตกใจจนสะดุ้งก็ได้ แต่ผลงานของไมค์เต็มไปด้วยความรู้สึกและเราก็ได้ประโยชน์จากตรงนั้นไปด้วย”
กรัชกล่าวเสริมว่า “ในหนังของเขามีความคิดสร้างสรรค์มากมาย คุณจะมีความจดจำทั้งเรื่องสับสนและเรื่องสยองไปพร้อมๆ กับความเงียบและความงดงาม ผลงานของเขาสะท้อนถึงชีวิตอย่างแท้จริง มันไม่ใช่แค่แนวของเรื่อง มันมีความซับซ้อนกว่านั้น”
มีเรื่องราวชีวิตที่ทำให้แนวของหนุ่มไมค์ ฟลานาแกนคล้ายกับผลงานของสตีเฟ่น คิง ฟลานาแกนยืนยันว่า “คิงมีความชำนาญในการเล่าเรื่องราวของคนที่มีความแตกต่าง คนที่รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะความแตกต่างของตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาแค่ต้องการความเข้าใจและอยากอยู่ในสายตา นั่นคือสิ่งสำคัญในชีวิตของเราไม่ว่าเราจะปิดบังเอาไว้หรือแสดงออกให้เห็น และต้องออกไปเผชิญกับโลกที่น่ากลัว มันเป็นเรื่องที่เราเรียนรู้ตั้งแต่ตอนยังอายุน้อย และคิงถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างลึกซึ้ง”
สตีเฟ่น คิงอธิบายว่า “หากเราอยากเป็นที่สนใจ เราไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร เราสามารถแสดงทุกอย่างออกมาได้ หหากเราอยากขีดเขียนอะไร เราก็แค่เอาผลงานของเราให้คนอื่นดู เราใส่ความมั่นใจไปกับมันได้ สิ่งที่เลวร้ายสุดที่อาจเกิดขึ้นได้คือการมีคนพูดว่า ‘ฉันไม่ชอบมันเลย’ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุดในโลก.. มันไม่ใช่การถูกไม้แหลมแทงไปโดนตาซะหน่อย”
ไมค์ ฟลานาแกนกล่าวปิดท้ายว่า “ผมหวังว่าเรื่องราวประเด็นนั้นจะปรากฏให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง เพราะมีช่วงเวลาสำคัญที่แดนได้ให้คำแนะนำแอบรา คล้ายกับคำแนะนำของดิค ฮอลโลแรน โดยแดนได้พูดว่า ‘ครั้งแรกที่เจอเธอ ฉันบอกแล้วว่าเธอควรจะซ่อนตัว หมอบเอาไว้ ระวังจะมีใครเห็นแสง ฉันคิดผิดจริงๆ’ ประเด็นสำคัญคือยิ่งโลกมีความน่ากลัวแบบนี้ เต็มไปด้วยความอยุติธรรม มีความน่ากลัวเกิดขึ้นได้ เรายิ่งต้องเรืองแสงออกไป ส่องแสงอกไปให้เห็นเพราะยังมีคนอื่นที่เป็นเหมือนเรา เราต้องทำให้โลกนี้มีความน่ากลัวน้อยลง สร้างสมดุลให้สิ่งต่างๆ ผมคิดว่านั่นคือบทสรุปของประเด็นทั้งหมดในเรื่องราวของคิง ‘ต้องส่องแสงออกมา’”
Doctor Sleep เข้าฉาย 7 พฤศจิกายน ในโรงภาพยนตร์