HIGHLIGHT CONTENT

บทสัมภาษณ์ "บีม-กวี จาก คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์"

  • 6,360
  • 13 ก.ค. 2012

การกลับมาร่วมงานครั้งพิเศษของ แดน- บีม “บีม กวี ตันจรารักษ์” กับบทบาทสำคัญชายผู้เป็นตัวแปรของความรัก ใน “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ภาพยนตร์อารมณ์ดี HAPPY COMEDY ROMANTIC

Q: การร่วมงานกับแดนครั้งนี้ถือว่าเป็นงานที่พิเศษมาก เพราะแดนทำหน้าที่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เองครั้งแรก ต้องขอเล่าให้ฟังหน่อยแล้วล่ะว่า มามีส่วนร่วมในงานนี้ได้อย่างไร สำหรับการร่วมงานครั้งนี้นะครับ เรียกว่าเป็นแบบพิเศษก็ว่าได้ เพราะแดนเขาเป็นผู้กำกับครั้งแรก จริงๆ เรื่องที่เขาคิดว่าอยากมาเป็นผู้กำกับ แดนเขาก็เคยพูดอยู่นิดๆ ครับ ตั้งแต่ตอนทำงานด้วยกันตอนร้องเพลงด้วยกัน ผมก็ยังบอกว่าเขาก็น่าจะเป็นผู้กำกับนะ เป็นอีกงานหนึ่งที่เขาอยากจะทดลอง และก็อาจจะเป็นงานที่เขาชอบก็ได้หลังจากทดลองไปแล้ว ส่วนมาเล่นเรื่องนี้ได้อย่างไรก็ต้องขอเท้าความก่อนเลยครับว่าก่อนที่จะมารับเล่นในคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ ตอนแรกก็มีพี่เอโกะ (สุภาพร เลิศฐิติวีรกานต์ -ไลน์โปรดิวเซอร์) ผมรู้จักกับพี่เขามาตั้งแต่ทำงานอยู่ที่อาร์เอสล่ะ เขาก็โทรมาชวนว่ามีหนังอยากให้พี่บีมเล่น พี่แดนเค้ากลัวพี่บีมจะไม่ยอมเล่น ต้องบอกว่าแดนเป็นคนที่ปากหนักมาก เป็นคนที่แบบไม่กล้าพูด (หัวเราะ) อาจจะกลัวเป็นเหมือนคนขี้เกรงใจ เขาก็ไม่พูดนะครับว่าอยากให้พี่เล่น เขาก็ให้พี่เอโกะเข้ามาชวนก่อน ผมก็บอกพี่เอโกะว่า ได้สิ พี่ยินดีอยู่แล้วหนังน้องเป็นผู้กำกับครั้งแรกผมก็อยากจะร่วมงานอยู่แล้วครับ ก็คุยกันจนเสร็จแล้วแดนเพิ่งจะโทรมาครับ (หัวเราะ) มาเล่าเรื่องบทที่ผมรู้อยู่แล้วจากพี่เอโกะอีกที แดนเขาอาจจะกลัวผมตอบปฏิเสธ จริงๆ แล้วเราก็อยากร่วมงานกับน้องอยู่แล้วล่ะ แล้วก็ดีใจถือว่าได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่งครับ สุดท้ายก็ได้มาเป็นหนึ่งในนักแสดงของเรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ Q: นอกจากแดนจะเป็นผู้กำกับแล้วยังเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้เองด้วย ครั้งแรกที่ได้อ่านบทรู้สึกอย่างไรบ้าง หลังจากตกลงเล่นแล้วก็นัดคุยกับน้องแดนครับ โอ้โห ! วันแรกที่ไปเจอบทหนามากครับ หนามากไม่เหมือนเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียว เยอะจนผมถามแดนเลยว่า เนี่ยจะแบ่งเป็นสองเรื่องใช่ไหม (หัวเราะ) บทละเอียดมากครับ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในสองวัน แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็จะมีการปูที่มามาก่อนที่จะถึงเรื่องราวสามวันสองคืนจุดสำคัญของเรื่อง เรื่องนี้ก็เป็นโรแมนติคคอมิดี้ครับ แต่ว่า แปลกกว่าหนังเรื่องอื่นนะ ในทุกซีนจะมีอารมณ์ขำ แต่ไม่ใช่ตลกคาเฟ่ เป็นความขำแบบคนทั่วไป เป็นเรื่องราวที่เจอได้ในชีวิตจริงเช่น เรามีเพื่อนแล้วเราเฮฮาอยู่กับกลุ่มเพื่อน เพื่อนเราก็จะมีคาแร็คเตอร์แบบนี้ ไอ้คนนี้พูดเยอะ เพี้ยนๆ หน่อย ชอบพูดอะไรแปลกๆ คนนี้มีความเชื่อมันว่าจะทำอะไรสำเร็จแต่ ก็ไม่เคยทำอะไรสำเร็จ เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวนะครับ เรื่องของความรักก็เป็นเรื่องที่เข้าถึงทุกคนได้อยู่แล้ว ผมว่าแดนเขาดีตรงที่เลือกเอาความรักมาเป็นตัวปูบท แล้วก็เสนอมุมมองของเขาออกมาสู่สายตาคนอื่นครับ Q: ถ้าแดนตั้งใจชวนมาเล่นขนาดนี้ต้องขอให้เล่าให้ฟังแล้วล่ะว่าบทบาทที่ได้รับเป็นอย่างไรบ้าง ในภาพยนตร์เรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ รับบทเป็น ปกป้อง ครับ สำหรับตัวบทของปกป้องเนี่ย เป็นคนสำคัญของเรื่อง เป็นแกนหลักของเรื่อง เป็นคนที่ทำให้นางเอกรู้สึกว่า ความรู้สึกของฉันจริงๆ แล้วมันเป็นยังไงความหมายของความรักมันเป็นยังไงกันแน่ บุคลิกของปกป้อง เขาเป็นผู้ชายที่มีระเบียบ มีแบบแผน มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ชอบบังคับคนอื่น จริงๆ เขาเป็นห่วงเป็นใยแทนคนอื่น โดยเอาตัวเองเข้าไปใส่เอาตัวเองเข้าไปครอบเค้า เนื่องจากตัวเองเป็น หมอผิวหนัง เป็นอาชีพภูมิฐาน เป็นคนที่คอยสั่งคอยสอนคนอื่น เป็นคนบอกให้เขาเชื่อ เป็นคนที่ค่อนข้างเนี้ยบ เพราะฉะนั้นเขาก็จะใส่ใจเรื่องการแต่งตัวด้วย เรื่องของผิวหน้า การบำรุงผิว การรักษาดูแลตัวเอง การกินอยู่ เป็นคนดูแลใส่ใจ และคอยปกป้องคนอื่นตามชื่อ “ปกป้อง” เลยครับ ถ้าพูดถึงเรื่องความรัก เขาเป็นคนที่ทุ่มเท เรื่องความรักมาก รักใครรักจริง ไม่คิดจะมีคนอื่นนะ ทุกอย่างทำเพื่อคนรัก และก็เตรียมพร้อมไว้หมด เขาคิดไว้แล้วว่าต้องเตรียมอะไรให้ครอบครัว ของเราบ้าง เขาจะเป็นคนเตรียมพร้อมมากเรียกได้ว่าเขาพร้อมที่จะแต่งงานแล้วล่ะ ส่วนเรื่องแฟนของเขาที่ต้องเป็นคนที่โดนดูแลมากที่สุดเขา เทคแคร์ทุกเรื่องไปจนถึง เรื่องของกริยามารยาท บางทีก็เป็นเรื่องของการหัวเราะ เช่น เฮ้ย หัวเราะแบบนี้ไม่ได้ เพราะว่ามันทำให้ หนึ่ง เสียมารยาท และ สองทำให้หน้าคุณเหี่ยวนะ คือเขาจะเป็นคนห่วงเรื่องนี้มาก จนบางทีมันมากเกินไปรึเปล่า บางทีเขาแยกไม่ออกว่าเขาเป็นแฟน เป็นพ่อแม่ หรือเขาเป็นพี่ คือเขาเป็นทุกอย่างกับแฟนคนนี้ อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าแล้วคอยสั่งการ ก็เลยทำความอึดอัดให้กับตัวแฟนของเขา ก็คือ เพ็ญ (อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา) น่ะครับ Q: ถูกแดนวางตัวให้มารับบทปกป้องแบบนี้ แสดงว่าต้องเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา คิดว่าตัวตนจริงๆของเรามีความคล้ายหรือแตกต่างจากตัวละครนี้อย่างไรบ้าง ถ้าถามว่าตัวตนของผมเป็นอย่างไร ผมเป็นคนที่หลายคนบอกว่าผมเป็นคนหยิ่ง บางทีก็บอกว่าไม่ค่อยให้ความสนใจคนอื่น แต่จริงคือผมเป็นคนขี้อายหนึ่งล่ะครับ (หัวเราะ) เป็นคนไม่ค่อยกล้าที่จะสนิทสนมกับใครเพราะว่าเราคิดว่าเดี๋ยวเค้าจะรู้สึกยังไงกับเรา เป็นคนขี้กลัวแต่คือจริงๆแล้วผมเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลยครับ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างเฟรนด์ลี่ด้วย แล้วก็เป็นคนที่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ผมว่าผมเป็นคนที่สนุกสนานกับการทำงานนะถ้าทำแล้วงานออกมาดีผมทำเต็มที่เท่าที่จะทำได้ ส่วนผมกับปกป้องเหมือนกันไหม ผมว่าก็เหมือนกันนะ เพราะผมเป็นคนที่ห่วงความรู้สึกคนอื่น แต่อาจจะไม่แสดงออก เหมือนปกป้องหรอก คิดในใจมากกว่า (หัวเราะ) ปกป้องเขาจะเป็นคนที่แสดงออกมากๆ น่ะ ว่า เฮ้ยห่วงนะก็พูดออกมาเลยว่าห่วง ผมห่วงคุณนะ ผมรักคุณนะ พูดแบบชัดเจนน่ะ ไม่ต้องเดาความรู้สึกเลย อย่างเวลาก่อนเขาจะวางโทรศัพท์เขาจะพูดว่า รักหนูนะ มันเป็นความรู้สึกแบบผู้ชายหลายคนเป็น โดยเฉพาะผู้กำกับอาจจะเป็นก็ได้ เพราะเขาเขียนบทให้ผมมาพูด (หัวเราะ) เขาอาจจะพูดแบบนั้นกับแฟนเขาบ่อยๆ เขาก็อาจจะรู้สึกว่าตัวปกป้องอาจจะต้องพูดนะ คือผมเองอาจจะไม่ได้พูดขนาดนั้น เรียกว่ามีความเหมือนที่แตกต่าง Q: คิดว่าเสน่ห์ความน่าสนใจของตัวละครนี้อยู่ตรงไหน ความน่าสนใจของบทนี้มันอยู่ที่ ปกป้อง เป็นผู้ชายที่เข้มแข็งแต่โคตรน่าสงสารเลยครับ ผู้กำกับเขาบอกผมแบบนี้เลย โดยเฉพาะช่วงท้ายเรื่อง อารมณ์จะบีบขึ้นเรื่อยๆ คือตัวปกป้องเป็นผู้ชายที่ เขาคิดว่าความรักต้องเป็นแบบนี้ แล้วเขาทำทุกอย่างเพื่อความรัก เขาไม่ได้ทรยศความรัก เขาเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขาทำดีที่สุด แต่ว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่แบบนั้นผมว่า ในชีวิตประจำวันของเรามันก็ต้องมีคนที่เชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขาทำเพื่อคนรักเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว แต่ว่าพอมันออกมามันอาจจะไม่ใช่ ก็ต้องไปดูว่าเขาผิดพลาดตรงไหนครับ นอกจากนี้ที่เด่นเลยต้องบอกว่าตัวปกป้องเนี่ยเขาเป็นหมอหน้านะครับ ซึ่งตรงนี้ตอนแรกผมหนักใจมากเพราะไม่เคยให้บริการคนอื่นมาก่อน เคยแต่ไปรับบริการ (หัวเราะ) ก็เรียกว่าต้องไปหัดดูว่า เขายังไง เขายิงเลเซอร์กันยังไง Q: การรับบทหมอรักษาผิวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มีการเตรียมอย่างไรบ้าง และตอนที่ถ่ายทำจริงในฉาก เป็นอย่างไรบ้าง การเป็นหมอผิวหนังเนี่ยนะครับ เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดผมมีเคยมีความคิดที่ผมจะเป็นหมอนะ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นหมอรักษาหน้าได้ ตอนที่รู้ว่าจะรับบท ก็ไปที่ไปร้านหมอสิวเลยครับ ก็จะดูว่าหมอสิวพูดกับคนไข้ยังไง พูดกับลูกค้ายังไง คือเราจะดูว่า เขามีขั้นตอนในการอธิบายการรักษาอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ว่าหยิบเครื่องมือมา ผมจะยิงเลเซอร์ แล้วก็ยิงๆ แล้วก็ไม่พูดอะไร แต่หมอที่ดี จะต้องอธิบายให้คนไข้ฟังครับว่าการรักษานั้นมันจะทำให้หน้าคุณเป็นยังไง ซึ่งเราก็จำมาครับเอามาปรับเป็นคาร์แร็คเตอร์ของเรา และตอนที่เข้าฉากก็มียิงเลเซอร์จริงๆเลยนะครับ ผมก็บอกกับพนักงานร้านว่า พี่ครับเอาแบบต่ำสุดเลยนะ ให้ยิงได้หลายทีและคนที่โดนยิงเขาไม่เจ็บ ซึ่งก็ออกมาดีครับ ก็เป็นซีนที่สนุกและตลกเหมือนกัน ซีนนั้น (หัวเราะ) ก่อนถ่ายผมก็มีการเรียนรู้ขั้นตอนวิธีการทำหน้ากันก่อน จากที่เราเคยนอนอย่างเดียวแล้วก็รู้สึกว่ามีอะไรเย็นๆมาแปะ เราก็ได้รู้ว่าไอ้ที่เย็นๆ คือครีม ขาวๆ ใสๆ เอามาแปะให้หน้าเราเย็นนะ แล้วก็จะมีพื้นที่รับแสงได้ดีขึ้น จะสะท้อนได้ดีขึ้นเขาก็อธิบายให้เราฟัง แล้วระหว่างถ่าย ตอนเราเล่นเป็นเราเป็นหมอเราก็ต้องอธิบาย ตอนนี้นะครับ ทาครีม คูลเจลให้คุณแล้วนะครับ แล้วก็ยิงเลเซอร์ เลเซอร์ตัวนี้จะมีผลทำให้หน้าของคุณ ใสขึ้นนะครับแต่ว่า สองสามวันสัมผัสดูอาจจะเป็นขุยนิดหน่อย ก็ไม่เป็นไรนะครับ หลังจากนั้นหน้าคุณจะดีขึ้น รูขุมขนจะกระชับขึ้น คือมันเป็นสิ่งที่เราต้องคอยพูดคอยบอกกับคนไข้เราน่ะครับ และในซีนนี้ก็จะเป็นซีนที่เป็นการเล่าการบอกถึงคาแร็คเตอร์ของปกป้อง เพราะเป็นซีนแรกที่เห็นว่าปกป้องมีอาชีพเป็นหมอหน้านะ ทำไมเค้าถึงมีนิสัยอย่างนี้ ในฉากนี้จะมีชวดที่รับบทโดยแดนนะครับ แล้วก็มีเพ็ญรับบทโดยน้องแพทตี้ อยู่ในซีนนี้ด้วย เพราะเขากำลังจะมาขออนุญาตไปต่างจังหวัดกันในช่วงคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ ซีนนี้จะบอกให้รู้ว่าเวลาที่ปกป้องเค้าเป็นห่วงแฟนเค้าแสดงออกยังไง แล้วเค้าเป็นจริงจังกับการประกอบอาชีพเค้าแค่ไหน ตอนถ่ายในฉากขณะที่ทุกคนหวาดเสียวกับการยิงเลเซอร์ทุกคนกำลังสนุกสนาน หัวเราะ ขำน้องนักแสดงสมทบคนที่โดนเลเซอร์ยิง ส่วนผมเป็นปกป้องต้องเป็นคนที่ซีเรียสอยู่คนเดียว ต้องทำท่าจริงจังในการรักษา และจริงจังกับสิ่งที่แฟนเค้าพูดมาแล้วก็คอยสังเกตคนที่มากับแฟนเค้าด้วย คือเป็นตัวปกป้องอ่ะครับ กำลังปกป้องแฟนอยู่อะไรอย่างนี้ครับผม Q: เรื่องราวความสัมพันธ์ในเรื่องนี้ดูเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนไม่ใช่เล่น ที่มาที่ไปของเรื่องราวในเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง เรื่องราวของคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์นะครับ เริ่มขึ้นจากสาวคนหนึ่งชื่อ เพ็ญ (แพทตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา) เขามีแฟนแล้วชื่อปกป้อง รักกันและเป็นแฟนกันมานาน อยู่มาวันหนึ่งเพ็ญก็ไปเจอผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเข้ามาทำความรู้จักกับเพ็ญก็คือ ชวด (แดน วรเวช ดานุวงศ์) ชวดเข้ามาหาเพ็ญเพราะว่าอยากจะเข้ามาจีบเพื่อนเพ็ญคือ ต้นหลิว (นุช-นีรนาท วิคทอเรีย โคทส์) ชวดอยากจีบต้นหลิวแต่ว่าใช้เพ็ญเป็นสะพาน แต่ระหว่างที่ชวดใช้เพ็ญเป็นสะพาน ชวดที่ไม่รู้ใจตัวเอง ก็แอบปิ๊งเพ็ญไปแบบไม่รู้ตัวเหมือนกัน ซึ่งเรื่องราวใน “คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์” ก็คือเป็นช่วงเวลาของชวดที่ได้อยู่กับเพ็ญ ถามว่าใช้เวลายังไง ก็เขามีเหตุการณ์ที่ต้องไปในสถานที่หนึ่งด้วยกันสองคน ก็เลยเกิดเป็นความรู้สึกพิเศษขึ้นมา แล้วพอทั้งคู่กลับมาความรู้สึกหลายๆ อย่างมันก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว สำหรับผมนะครับ ผมเชื่อว่าความรักที่อยู่มานานมันจะแปรความรักเป็นความผูกพัน แต่ว่าความรักที่เพิ่งรู้จักมันเป็นความรักที่เป็นความแปลกใหม่ด้วย แล้วอันไหนมันถึงจะเป็นอันที่ใช่ล่ะ ซึ่งความรักมันเป็นเรื่องของระยะเวลาหรือเปล่า หรือความรักกับความผูกพันอันไหนมันมีน้ำหนักกว่ากัน ก็ต้องหาคำตอบของความรักของคู่สองคนนี้ด้วย ก็เลยกลายเป็นเรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ครับ Q: ช่วยนิยามความความรักของตัวละครในเรื่องนี้แต่ละคนสักหน่อย และคิดว่าคนทั่วไปจะเข้าถึงความรักในเรื่องนี้ได้ไหม ผมว่าความรักของคนในเรื่องนี้นะครับเป็นความรักที่มาจากพื้นฐานของความสับสน ไม่มั่นใจ ตัวปกป้องจะนิยามความรักได้ว่าเป็นรักแบบ รักไม่เข้าใจ แต่รักมาก ไม่เข้าใจว่าความรักที่แฟนเราต้องการเป็นอย่างไหน ซึ่งจริงๆ ในชีวิตคนหลายๆ คนก็อาจจะเป็นแบบว่า เฮ้ย เรามีแฟนแต่เราไม่รู้ว่าควรที่จะทำตัวกับแฟนยังไง รักของเพ็ญอาจจะเป็นรักแบบสับสน ผมว่าหลายๆ คนก็คงเป็นนะครับ จนมีกิ๊กอะไรอย่างนี้( หัวเราะ) ผมว่า แต่พอมาเป็นมุมผู้หญิงที่เป็นก็อาจจะดูพิเศษนะ เพราะว่าความรู้สึกแบบบางทีเราอยู่กับคนๆ หนึ่งมานาน จนความรู้สึกมันเป็นเหมือนพี่เหมือนเพื่อน แล้วก็เขาก็ไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย เขาคือแฟนเราอ่ะ บางทีเราก็มีบ้างที่จะเผลอใจมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ขึ้นอยู่กับว่าเราควบคุมมันได้ดีแค่ไหน ตัวของชวด ชวดอาจจะเป็นคนที่แบบ รักแบบไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวเองรัก มีเยอะนะครับ แบบว่าคนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองรักคนเนี้ย แต่พอแบบว่าห่างๆ กันไปแล้วอ้าว ตกลงรักคนนี้ ไอ้ความรู้สึก คือเราคิดว่าเรารักผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดูเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง ดูแบบว่าเพอร์เฟ็กต์ แต่ว่าสุดท้ายแล้วเรารู้สึกดีๆ กับคนข้างๆ เรามาโดยตลอดอะไรอย่างนี้ไอ้ความรู้สึกแบบเนี้ยผมว่าผู้ชายเป็นกันเยอะครับ ก็เป็นความรักสามแบบนะที่ผมว่าอยู่ในชีวิตจริงๆ ของใครหลายคน แล้วพอเอามารวมกัน มันก็จะมีทั้งความเศร้า มีทั้งความซึ้ง มีทั้งความรู้สึกดีๆ ผมว่าคนที่เข้ามาดูหลายๆ คนที่เคย ตกอยู่ในสภาพความรักทั้งสามแบบที่ผมพูดเมื่อกี้ก็คงจะรู้สึกอินกับหนังได้ง่ายมาก และผมก็คิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่คุณกำลังมองหาแน่ๆ ก็ต้องไปดูครับว่าความรู้สึกของคุณเป็นแบบไหนครับ แต่ผมว่าทุกคนก็เคยเป็นครับ Q: ในฐานะที่ต้องมารับบทเป็นคู่รักน้องแพทตี้ อังศุมาลิน ที่ต้องมีการรับส่งกันหลายแบบทั้งตลก ทั้งดราม่า คิดว่าความสามารถของสาวน้อยคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง สำหรับน้องแพทตี้นะครับก็ถือว่าเป็นการร่วมงานกันเต็มๆ เป็นครั้งแรก ผมเคยอยู่ในภาพยนตร์เรื่องเดียวกันแต่ไม่เคยเจอหน้ากันเลย เรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องแรกที่ได้มาใกล้ชิดกัน น้องเค้าเป็นคนที่สนุกสนานในการทำงาน แต่เวลาทำงานจริงเค้าจะซีเรียสนะ (หัวเราะ) เขาค่อนข้างซีเรียสแบบบางทีซีนหัวเราะอยู่อย่างเนี้ย ก่อนเข้ายังนั่งดีไซน์การหัวเราะโดยมีผู้กำกับคอยคุมอยู่เลย น้องเค้าก็เป็นจริงจังในการทำงาน และก็การที่ต้องมารับบทเป็นแฟนเค้านะครับ ด้วยตัวบทวางไว้ว่าผมเป็นพี่ซึ่งค่อนข้างห่างอยู่แล้ว และก็ตามชีวิตจริงก็เป็นอย่างนั้น มันก็เลยเหมือนประมาณพี่ชายหวงน้องสาวด้วย เพราะบางทีจะเรียกว่าแฟนก็เรียกไม่ถูก เพราะว่าด้วยความที่ปกป้องเป็นคนที่ดูแลคนอื่น ดังนั้นเวลาที่คนอื่นมองถ้าเค้าเดินมาด้วยกันบางทีมันอาจจะไม่เหมือนแฟน อาจจะเป็นพี่เดินกับน้องอะไรอย่างนี้ จะเป็นกันก็แค่นิดเดียวตอนที่เค้าแสดงออก บางทีน้องเค้าแสดงออกว่ามากอดแขนเรา ถึงดูเป็นแฟน แต่ตัวเราก็แสดงว่าไม่ได้จับมือแบบแนบแน่นเพราะว่าปกป้องเป็นคนหัวเก่านิดหน่อยก็ตามเรื่องนะครับ ก็ถือว่าเป็นเรื่องรับบทได้ง่ายครับ ไม่ยากเลยเวลาเข้าฉากกับแพทตี้ สำหรับเรื่องความสามารถนะครับผมว่าบทเรื่องนี้น่าจะเขียนมาเพื่อปั้นผู้หญิงคนนี้เลยล่ะ เพราะว่าในเรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ถึงเรื่องจะเป็นโรแมนติคคอมิดี้ แต่ก็มีจะซีนดราม่าแข็งแรงนะครับ ในเรื่องของการตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ และก็น้องแพทตี้ก็แสดงออกมาได้ดีมากนะครับ เรียกได้ว่า เจ๋งครับ สำหรับตัวบทนางเอก บางทีเค้ามีความเป็นเด็ก แต่ก็เหมือนจะพยายามเป็นผู้ใหญ่เพื่อเข้ากับแฟนเค้าให้ได้น่ะครับ แต่ว่าเค้าจะโดนแฟนเค้ากดอยู่ตลอดเวลาว่าเค้าเป็นเด็กอยู่ เหมือนกับต้องเล่นเป็นคนที่แบบกดดันแต่ก็มีความสุขในการที่ได้อยู่ใกล้กันนะ มันเป็นบทที่น่าสนใจเหมือนกัน มันจะเรียกว่าท้าทายก็ได้ มันยากนะครับ Q: แล้วการทำงานกับแดน จากปกติเคยทำงานด้วยกันในฐานะเพื่อนร่วมงานมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้แดนมาในมาดใหม่ การทำงานร่วมกับแดนในฐานะผู้กำกับคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง สำหรับการร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้ก็สนุกดีนะครับด้วยความที่เราสนิทกันอยู่แล้วนะครับ เราล้อเล่นกันไปชิลๆไม่เครียด แต่ก็มีนะบางทีเขาจะอธิบายบทด้วยท่าทางที่คนอื่นไม่น่าจะเข้าใจเช่น พี่บีมเล่นแบบนี้นะ แดนก็กางมือสองข้าง ผมเห็นแล้วยังงง อะไรอ่ะ มันคืออะไร ไอ้อย่างนี้มันคืออะไร จะพยายามหาคำพูดอะไร (หัวเราะ) แต่ผมก็โอเคเดี๋ยวเล่นให้นะ เราเหมือนจะเข้าใจได้กันนะครับ แต่แดนเขาก็จะมีวิธีการกำกับแบบแปลกๆ เรียกว่า แบบ“หกสเต็ป” (หัวเราะ) เขาจะบอกผมว่า ผมอยากได้อย่างนี้นะพี่ คืออย่างนี้ครับผู้กำกับขีดให้หกระดับการแสดงให้ผม ว่าอย่างแรกคือมีความสุขนะพี่บีม สองคือเริ่มกังวล สามคือเริ่มสงสัย สี่ก็คือคิดได้ ห้าก็คือเริ่มแบบปลง รู้สึกว่าแบบอะไรจะเป็นก็เป็น เรารักแฟนเรา เราเห็นแฟนมีความสุขแค่นี้เราก็พอใจ หกคืออะไรก็ไม่รู้ร้องไห้ เศร้ามาก ต้องลองไปดูครับว่าจะออกมาเป็นยังไง ส่วนเรื่องอื่น แดนเขาเป็นคนใจเย็น ผมว่าการเป็นผู้กำกับก็ต้องใจเย็นนะครับ และก็ต้องรู้แหละว่าตัวเองจะทำอะไรต่อไป เป็นคนที่ใส่ความตั้งใจลงไปในงานน่ะครับ ดีครับ ตั้งแต่ร่วมงานกันนะครับจนปิดกล้องนะครับก็ถือว่าสนุกดีครับ เป็นการทำงานกับคนที่เราสนิทด้วยแหละ สองเราพอจะรู้อยู่แล้วว่าเขาอยากจะได้อะไรและก็เราทำงานด้วยกันมานานก็สนิทกันมาก งานนี้ก็ถือว่าเป็นการกลับมาร่วมมือกันถึงผมอาจจะช่วยนิดหน่อยก็ดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งของงานของน้อง ผมถือว่าอาจจะเป็นงานมาสเตอร์พีซของเขาก็ได้ เพราะว่าเขาทั้งกำกับด้วยและก็เล่นด้วย ในอนาคตอาจจะไม่ได้ขนาดนี้ ก็ต้องดูว่าต่อไปจะเป็นยังไง ก็เยี่ยมครับผมหวังว่าทุกคนจะได้รับความอินกับภาพยนตร์เรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์นะครับ เข้าถึงตัวตนความเป็นแดนเลยทีเดียว Q: เรื่องราวของเรื่องนี้ดูแล้วมีอารมณ์ที่หลากหลาย ขอให้ช่วยยกตัวอย่างฉากสนุกๆ ที่ชื่นชอบในเรื่องนี้ให้ฟังหน่อย ผมขอยกตัวอย่างฉากที่เรียกว่า ฉากหัวเราะโหด เลยครับ ซีนนี้ผมแอบถ่ายคลิปตอนแดนที่เขาบรีฟน้องแพทตี้ไว้ด้วยนะครับ (หัวเราะ) เพราะก่อนจะเข้าซีนเค้าทำหน้าเครียดมาก เพราะว่าแดนมาพูดว่า เฮ้ย แพทตี้พี่อยากได้อย่างนี้ เขาก็หัวเราะแบบแดน หัวเราะแบบปล่อยสุดๆ เป็นหัวเราะแบบไม่มีอั้นเลยอ่ะ เป็นผู้ชายที่ไม่มีอั้นเลย ซึ่งผมดูคาแร็คเตอร์ของน้องแพทตี้ดูเป็นคนที่ไม่น่าเป็นคนที่หัวเราะแบบนี้อยู่แล้วในชีวิตประจำวันนะ แล้วซีนนี้น้องแพทตี้เค้าต้องหัวเราะเยอะมาก แล้วก็ดูเหนื่อย การหัวเราะมันเป็นการใช้พลังงานสูงมากเหมือนกันนะครับ ก็หลายเทคอยู่นะ ซีนนี้ก็ประมาณสี่ห้าเทคได้กว่าจะถูกใจผู้กำกับ เราก็คอยแบบน้องดื่มน้ำเยอะๆ เพราะหัวเราะแล้วคอมันแห้งไง เป็นห่วง ผู้กำกับไม่เคยเป็นห่วงนางเอกเลยอ่ะ ผมเนี้ยครับคอยดูแล (หัวเราะ) แล้วซีนนี้นะครับนอกจากจะเห็นน้องแพทตี้หัวเราะเยอะๆ ก็จะเห็นบทของผมนะครับคอยทำหน้าเอือมๆ คอยห้ามไม่ให้หัวเราะ เป็นอีกซีนหนึ่งที่บอกเป็นว่าปกป้องคนที่คอยควบคุมแม้แต่การหัวเราะของแฟนนะครับ นิสัยเสียมาก Q: นอกจากฉากที่สนุกๆแล้วยังได้ข่าวมาว่ามีฉากดราม่าเข้มข้นอีกด้วย ลองแง้มๆให้ฟังหน่อยได้ไหม ฉากที่ผมว่าเครียดที่สุดมันเป็นฉากที่เราต้องถ่ายกลางคืนกว่าจะเริ่มก็เที่ยงคืนครับ ผู้กำกับเขาตั้งใจปั้นมาก เขาจะวิ่งมาดูตลอดครับทั้งมอนิเตอร์ หน้าเซ็ท มอนิเตอร์ หน้าเซ็ท สลับไปมาตลอด ก็ถือว่าเป็นซีนยากซีนหนึ่ง มันเป็นมันเป็นลองเทคครับ ผมจะต้องขับรถเข้ามาถ้าผิดอะไรนิดเดียวปุ๊บเริ่มใหม่หมดเลย เป็นซีนเน้นความรู้สึกที่แบบตัวผมรู้แล้วแหละว่าตัวเพ็ญแบบเปลี่ยนไป เพ็ญรู้สึกกับเราไม่เหมือนเดิม จนทะเลาะกันแบบระเบิดอารมณ์มันเป็นจุดหักเหของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้ครับ ทางด้านน้องแพทตี้เค้าก็เครียดครับด้วยความที่เป็นซีนดราม่า เขาต้องร้องไห้ครับ คือน้องเค้าร้องไห้จนไม่มีน้ำตาแล้วครับ ซีนแรกเค้าก็ร้อง คืออยากให้เค้าร้องเค้าก็ร้อง แดนเค้าอยากให้ร้องแบบฟูมฟายมากกว่านั้น ผู้กำกับเลยต้องบรีฟกันเยอะ แถมไดอะล็อคของน้องแพทตี้ ก็ยาวมากเรียกว่าน่าจะยาวที่สุดของเค้าแล้วมั้ง ยากครับ คือน้องเค้าเครียด พอผ่านไปสักเจ็ดเทคแปดเทคน้องเค้าเริ่มเครียดละ ตอนนั้นก็ตีสองกว่าแล้ว จนเครียดมากก็เลยต้องพักกองกันสักหน่อย และกลับมาถ่ายใหม่ก็ผ่านเลยครับ ส่วนตัวผมนะ ผู้กำกับไม่ค่อยบรีฟผมเลยนะภาพยนตร์เรื่องนี้ แค่มาบอกว่าพี่ผมอยากให้เล่นอย่างนี้ แล้วพอเล่นๆไปโอเคแล้วพี่โอเคๆ เหมือนกับว่าเอ๊ะเค้าเห็นว่าเล่นดีแล้วหรือว่ามันไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ประมาณนั้น (หัวเราะ) แต่ไม่หมดแค่นั้นนะครับ พอซีนนี้เสร็จตีสาม แดนมาบอกว่ายังเหลืออีกสี่ซีนอ่ะพี่ แถมหลังจากนั้นเป็นซีนตลกครับ ! คือทำไมไม่เอาตลกขึ้นมาก่อนล่ะครับผู้กำกับ (หัวเราะ) เค้าก็บอกว่า อ่อมันเป็นซีนยากเค้าอยากจะทำให้มันเสร็จก่อนไง ก็ต้องไปดูครับว่าซีนนี้มันเป็นยังไง ว่าจะออกมาตามที่ผู้กำกับเค้าดีไซน์ไว้ไหมน่ะครับ Q: ถ้ามีโอกาส ใช้เวลาคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ จะทำยังไงให้กับคนพิเศษ ถ้าตกอยู่ใน คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ นะฮะ ก็คงทำให้เห็นว่า เขาจะโชคดีแค่ไหนที่ได้อยู่กับเรา คือเวลามันมีน้อย เราก็ต้องใช้เวลาอย่างประหยัด (หัวเราะ) ก็คงจะแบบทำให้เขารู้ว่าเขาเป็นผู้หญิงที่โชคดีนะ ก็คงใส่ความเป็นตัวตนของเราลงไปในด้านดีเพราะว่าเวลามีน้อย ต้องตัดอะไรยิบย่อยทิ้งไปก่อน (หัวเราะ)หลังจากนั้นค่อยมาดูกัน ครับ จริงๆ แล้วชีวิตคู่มันไม่อาจรู้จักกันได้ได้ใน สามวันสองคืน แต่ว่าความรู้สึกดีๆ มันเกิดขึ้นได้ในระหว่างนั้น Q: คิดว่าในช่วงเวลาสามวันสองคืนจะรักกันได้ไหม ผมว่าก็ต้องมีปูพื้นกันมาก่อนนะ ก่อนจะมาเข้มข้นกันช่วงสองวัน แต่ถ้าเราไปเจอสถานการณ์แบบนี้ผมเชื่อ ถึงอาจจะไม่ใช่ตัวผมนะ แต่ผมเชื่อว่าการที่หนุ่มสาวหลายคนก็อาจจะตกหลุมรักกัน ภายในช่วงเวลา 2 วันสามคืน ก็เป็นไปได้ครับ Q: นิยามคำว่าคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ ผมจะเปลี่ยนชื่อเป็นคืนวันเสาร์ถึงเช้าอีกวัน เพราะว่าถ่ายแบบนี้ตลอด (หัวเราะ) ล้อเล่นนะครับ คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์นะครับ ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญของความรัก เป็นเรื่องราวความรักอ่ะครับ ที่ผมว่าทุกคนมีสิทธิ์เจอและเกิดขึ้นได้ จริงๆจุดจบความรักก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคาดไว้อย่างไร ความรักของผู้ชายกับผู้หญิงที่เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาแค่วันสองวัน กับความรักของผู้ชายกับผู้หญิงที่เกิดขึ้นในเวลาหลายปีครับ อันไหนมันน้ำหนักกว่ากันอะไรอย่างนี้ บางทีความรักก็ไม่สามารถเอาเวลามาวัดได้ว่าอะไรน้ำหนักกว่า ต้องไปดูครับในภาพยนตร์เรื่องนี้ Q: ช่วงนี้ดูเหมือนว่าบีมจะกลับมารับงานมากขึ้นแล้ว ช่วยอัพเดทกับแฟนๆ หน่อยว่าที่ผ่านมาหลายไปไหน เรียกว่าตั้งแต่ต้นปีมานะครับ จริงๆ ผมก็รับงานต่อเนื่องยาวมาก มีทั้งละคร ซีรีส์ และภาพยนตร์ ปีนี้รับงานค่อนข้างเยอะนะครับ กลับมารับมารับงานเต็มตัวแล้วนะ ส่วนงานเพลงที่ผมได้ทำนั้น เป็นเพลงประกอบละคร ร้องเพื่อความสนุกสนาน ร้องเพื่อการแสดงด้วยนะครับ ทางผู้ใหญ่เห็นว่าเราเป็นคนเล่นเองก็น่าจะเป็นคนถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้ครับ ก็ได้มีโอกาสร้องเพลงอีกสามเพลง และเร็วๆ นี้อาจจะมีซิงเกิ้ลออกมาด้วย รับรองครับปีนี้งานจัดหนักครับ มีบริษัทท่องเที่ยวด้วย ทริปบัสเตอร์ ก็ยังทำอยู่ครับ ตอนนี้ก็กำลังเข้าที่เข้าทาง เราก็เดินหน้าต่อไป ทำงานมาสองปีแล้วก็มีฐานลูกค้าที่มั่นคง มีคอนเน็คชั่นเพิ่มเติมเยอะมาก ตอนนี้บริษัทเดินหน้าต่อไปแฮปปี้ครับแล้วก็มีภาพยนตร์เรื่องคืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ครับ Q: รู้สึกอย่างไรกับชีวิตในเส้นทางบันเทิงที่ผ่านมา และมีงานในอนาคตอะไรที่อยากฝากถึงแฟนๆ บ้างไหม ตอนนี้ก็กำลังมีละครที่กำลังถ่ายอยู่อีกสองเรื่องนะครับผม แล้วก็แต่อาจจะมีหนังที่ยังไม่ได้คุยรายละเอียดแต่ก็มีติดต่อเข้ามาครับผม ถ้าทำงานแล้วมันแฮปปี้ผมก็ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ จริงๆ แล้ว ผมว่างานในวงการมันก็เป็นอะไรที่มันไม่ซ้ำมีเปลี่ยนทุกวัน อย่างวันนี้อยู่กรุงเทพฯ วันรุ่งขึ้น ไปอยู่ปราณ เดี๋ยววันพรุ่งนี้ไปอยู่เขาใหญ่อีกอะไรแบบนี้ มันจะเป็นอะไรที่สนุกดีนะ แล้วก็บทบาทด้วยที่เราได้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ด้วยนะครับ เรียกว่าติดใจมั้ง งานตรงนี้ได้ลองอะไรหลายๆ อย่างเลยนะครับตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเลยนะครับ ได้โอกาสทำงานกับคนหลายๆ คน หลายๆแขนง ได้เปิดโอกาสมีคอนเน็คชั่นในการทำธุรกิจของตัวเอง ทำให้เราเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ทำให้เราเป็นที่รักแล้วเราก็ได้ความรักจากเค้า แล้วเราก็ได้ให้ความรักให้แก่เค้าด้วย ก็มีทั้งรับและให้ครับ ด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมาเราเป็นฝ่ายรับผมเองก็จะคิดอยู่ตลอดว่าจะคืนอะไรกลับไปให้มั่ง การคืนสำหรับผมอาจจะเป็นสิ่งอะไรที่เล็กน้อยแต่อาจจะเป็นการให้กำลังใจที่ดีให้กับคนที่อาจจะมาชอบเรา การที่เค้าจะมาชอบเราการเป็นไกด์ที่ดี เป็นผู้นำแนวทางที่ดี แนะนำน้องๆ หรือเป็นตัวอย่างที่ อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องการเรียน เรื่องการใช้ชีวิตก็พยายามจะแบบพยายามทำแบบนั้น คือเราทำเต็มที่แล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะได้ดีหรือปล่า นั้นเป็นสิ่งที่เราตั้งใจให้กลับไปน่ะครับ