HIGHLIGHT CONTENT

REVIEW : American Sniper เบื้องหลังของชายที่ชื่อ "คริส ไคล์"

  • 21,965
  • 26 ม.ค. 2015

American Sniper
เบื้องหลังของชายที่ชื่อ "คริส ไคล์"

โดย FEEDMYBRAIN

 

 

หากฟังเพียงแค่ชื่อในแวบแรก คงต้องนึกไปว่านี่คือหนังสงครามแอคชั่นปะทะเดือด บู๊เลือดพล่านนั่งไม่ติดเก้าอี้แน่นอน แต่เมื่อได้ดูเทรลเลอร์แล้วก็จะรู้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่หนังสงครามทั่วไป ทว่ามันคือหนังที่พูดถึงการตัดสินใจของ “ผู้ชาย” คนหนึ่งที่ชี้เป็นชี้ตายของเพื่อนร่วมรบในเสี้ยววินาทีกลางสมรภูมิที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย และไม่ใช่แค่ในสนามรบเท่านั้นที่เขาต้องเลือก ในชีวิตจริงอันปกติธรรมดาในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เขาก็ต้องตัดสินใจเลือกด้วยเช่นกัน ซึ่งฉากหลังที่ผู้ชายธรรมดาคนนี้ต้องเผชิญไม่ใช่ในป่าเขาที่แสนสบาย หากแต่เป็นสงครามอิรักที่เกิดขึ้นจริง สงครามที่ไม่เลือกแม้กระทั่งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ชาย หรือผู้หญิง ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและการก่อการร้ายที่เกิดขึ้น ชีวิตของพลเมืองและทหารที่สมรภูมินั่น กลายเป็นหมากจำนวนมากของกลุ่มคนบางพวกที่ต้องการอำนาจในการครอบครองและควบคุม 

American Sniper : อเมริกัน สไนเปอร์ ผลงานการกำกับของระดับตำนานอย่าง คลินต์ อีสวู้ด ผู้กำกับไม้สุดท้ายที่รับช่วงต่อจากสตีเว่น สปีลเบิร์ก และเดวิด โอรัสเซลล์ ซึ่ง อีสวู้ด ทุ่มใส่ความเข้มข้น ดราม่า ระทึกใจและพกความจริงใจสุดตัวเล่าเรื่องราวของ “คริส ไคล์” พลแม่นปืนประจำกองทัพสหรัฐอเมริกาที่ถูกส่งตัวไปยังสงครามอิรักถึง 4 ผลัด โดยมีภารกิจเพียงอย่างเดียวคือ ปกป้องพี่น้องทหาร! ด้วยฝีมือความแม่นยำอันเลื่องชื่อ ทำให้เขาสามารถรักษาชีวิตของเพื่อนทหารนับไม่ถ้วน จนได้รับฉายาอย่าง “เดอะ เลเจนด์” แม้ต้องแลกกับอันตราย ไคล์ก็ยังคงเดินหน้าปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตายอย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งเมื่อเขาตัดสินใจวางมือจากสนามรบและเดินทางกลับบ้าน เขากลับค้นพบความจริงที่นอนนิ่งลึกในจิตใจถึงสิ่งที่เขาไม่มีวันทอดทิ้งไปได้ตลอดมา

 

เส้นทางสู่สไนเปอร์มือพระกาฬ

 

 

จากเด็กหนุ่มชาวไร่ที่ชอบแข่งขันขี่วัวกระทิงสู่สไนเปอร์ระดับตำนานของหน้าประวัติศาสตร์อเมริกา ด้วยยอดสังหารที่สูงถึง 160 รายอย่างเป็นทางการ หนังเปิดเรื่องราวชีวิตของไคล์ที่สนามรบผลัดที่ 1 บนวินาทีแห่งความเป็นความตายที่ไคล์ต้องเป็นคนตัดสินใจเลือกว่าใครจะอยู่ใครจะไป ซึ่งก่อนที่เขาจะเลือกได้นั้น อีสวู้ด พาเราย้อนกลับไปยังต้นกำเนิดของปัจจุบัน ... ไคล์ ในวัยเด็กเป็นคนที่เข้มแข็ง แข็งแรง และได้รับอิทธิพลจากพ่อของเขาที่สอนเขาให้รู้จักการใช้ปืนเพื่อล่าเป็นครั้งแรก รวมถึงการแข็งแกร่งเพื่อ “ปกป้องผู้อื่น” จากนั้นเป็นต้นมา ไคล์เติบโตขึ้นโดยยึดคำสอนของพ่อเอาไว้ในจิตใจเสมอถึง “สิ่งที่ลูกผู้ชายควรทำ” นอกจากนั้น ความผิดพลาดในการตัดสินใจที่เคยเกิดขึ้นจากการกระทำของเขา (และการตัดสินใจของคนอื่น) ในช่วงชีวิตเหล่านั้น ก็ส่งผลให้เขาเลือกเก็บมันเอาไว้ในจิตใจ และกลายเป็น “ความรับผิดชอบ” ชิ้นหนึ่งที่ต่อสู้กับสิ่งที่เขายึดมั่นและอยากทำตลอดมา จนกระทั่งเมื่อกาลเวลามาบรรจบกับปัจจุบัน วินาทีที่ไคล์ต้องตัดสินว่าจะยิงเพื่อช่วยใคร วินาทีนั้น คือ “จุดเปลี่ยน” ของชีวิตทั้งหมด

ปัง! เมื่อเสียงปืนครั้งแรกในสนามรบครั้งนั้นสิ้นสุดลง การตัดสินใจของเขาก็เด็ดขาดขึ้น เหมือนกับค่อยๆยกมวลอากาศมืดดำชิ้นใหญ่ออกจากอก ซึ่งต่อมาเราจะเห็นว่า ไคล์เลิกลังเล และเล็งสังหารเหล่าศัตรูที่หมายชีวิตพี่น้องของเขาทันที ... ถึงแม้ว่าในสนามรบไคล์จะได้รับการยกย่องในฐานะสไนเปอร์มือพระกาฬ แต่ในฐานะของ “พ่อ” และ “สามี” เขากลับถูกตั้งคำถามจากเทย่า ภรรยาของเขา (รับบทโดย เซียนนา มิลเลอร์) ว่า เขาทำหน้าที่ แสดงบทบาทของคนเป็นพ่อและสามีที่ดีพอแล้วหรือยัง?   

 

บทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบ ของ “ผู้ชาย” คนหนึ่ง

 

 

เมื่อไคล์ต้องเลือกระหว่าง
“พวกพ้อง” หรือ “ครอบครัว”

 

ตลอดเวลา 132 นาที หนังเล่าตัดสลับระหว่างชีวิตของไคล์ในสนามรบ ที่มีบทบาทหนึ่งเป็น “สไนเปอร์มือฉกาจผู้กล้าหาญ” กับชีวิตครอบครัวที่เขามีอีกบทบาทคือ “พ่อและสามีที่ทิ้งให้ภรรยาดูแลครอบครัวเพียงผู้เดียว” ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า มันไม่สมดุลกันและยากที่จะสมดุลด้วย อีสวู้ดเลือกดำเนินเรื่องราวในลักษณะของไทม์ไลน์ ไล่เรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของไคล์ตามแต่ละผลัดที่เขาไปสนามรบ จนกระทั่งผลัดสุดท้ายที่ไคล์ตัดสินใจเลือก “รักษา” บทบาทที่เขาต้องรับผิดชอบ ถึงแม้ว่าการไล่เรียงอาจจะดูสับสน กระโดดและไม่ต่อเนื่องไปบ้าง แต่นั่นก็อาจเป็นความรู้สึกของไคล์ที่เขาได้รับเมื่ออยู่ในฐานะที่ต้อง “ตัดสินใจ” หรือเลือกบางอย่างและทิ้งบางอย่างไป และยิ่งปิดท้ายด้วยฉากจบที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดทเต็มไปด้วยความหมายสำคัญในชีวิต และจุกอกคนดูมาก เชื่อเลยว่า อีสวู้ด วางแผนการกำกับทั้งจังหวะการดำเนินของเรื่อง และการไล่อารมณ์ดำเนินเรื่องทั้งหมด จนกระทั่งฉากสุดท้ายที่เรียบง่าย ... แต่กลับมีพลังมหาศาล

คลินต์ อีสวู้ด มีชื่อเสียงทางด้านการกำกับและทำหนังในลักษณะที่มีมิติ ซับซ้อน ปมที่แฝงไว้ในตัวละครที่ล้ำลึก ซึ่งเมื่อลองมองผลงานชิ้นนี้ ก็เข้าสูตรของเขาเช่นกัน ด้วยประสบการณ์ในวงการ อีสวู้ดจับเอาปมที่แฝงเอาไว้ในใจของไคล์และนำเสนออกมาได้อย่างลึกซึ้งและนุ่มนวล โดยผ่านการเปรียบเปรย อย่างการเปรียบเปรยถึงคน 3 ประเภทบนโลกนี้ ซึ่งพ่อของไคล์ได้อธิบายให้ไคล์ฟังในตอนเด็ก และไคล์ก็นำคำสอนเหล่านั้นปักไว้ในจิตใจ กลายเป็น "สุนัขเลี้ยงแกะ" ที่ปกป้องคนที่อ่อนแอกว่าตลอดมา หรือ ภาพเชิงสัญลักษณ์ ที่บีบคั้นอารมณ์ทั้งกดดัน และลุ้นเสี่ยงตาย อย่างในฉากกระสุนนัดพิฆาตสุดท้ายตอนท้ายเรื่อง ที่ไคล์ต้องเลือกว่าจะตัดสินใจช่วยเหลือเพื่อนพ้อง หรือปล่อยให้พวกเขาตายไป และผลกระทบจากการตัดสินใจนั้นๆจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของไคล์ ซึ่งหากดูผ่านไปไม่เก็บรายละเอียด คงต้องบอกว่า เราอาจพลาดช็อตชั้นดีเหล่านั้นที่แฝงความหมายย้อนกลับไปยังปมของตัวละครไปเสียแล้ว 


 

คูเปอร์ทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อเป็น คริส ไคล์

 

 

จากบทบาทและชีวิตของ คริส ไคล์ คงจะพอรับรู้ถึงแรงกดดัน และความหนักมหันต์ของภาวะ “ต้องเลือก” ในนาทีที่ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก ซึ่งงานนี้ได้ แบรดลี่ย์ คูเปอร์ นักแสดงหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้า ที่หันมาเปลี่ยนแปลงร่างกายของตัวเอง ทั้งการอัพร่างกายและจิตใจให้แข็งแกร่งเพื่อถ่ายทอด “ความสมจริง” ในการเป็น คริส ไคล์ให้มากที่สุด ถึงแม้จะมีการเตรียมตัวกับหนังดราม่ามาบ้างอย่างใน Serena หรือดราม่าคอเมดี้ Silver Linings Playbook แต่เมื่อเทียบกับเรื่องนี้ แบรดลีย์ คูเปอร์ ต้องเตรียมตัวทั้งฟิตหุ่น เพิ่มน้ำหนักถึง 40 ปอนด์ ออกกำลังขุนกล้าม 4 ชม.ต่อวันเป็นเวลานานกว่าหลายเดือน ทั้งเข้าคลาสฝึกการเทรนเสียง 2 ครั้งต่อวัน และใช้เวลาหลายชั่วโมงศึกษาการเป็น คริส ไคล์

หนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นบทบาทที่ค่อนข้างหนักทีเดียวสำหรับคูเปอร์ เพราะไม่ใช่แค่รับมือกับบทบาทในจอหนัง ที่ต้องถ่ายทอดประสบการณ์ และความรู้สึกให้ถูกต้อง แต่คูเปอร์ต้องรับมือกับ “ความคาดหวังให้สมบูรณ์และสมจริงที่สุด” เพื่อเป็นการให้เกียรติกับสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาเมื่อเกิดเหตุการณ์อันเป็นฉากจบของเรื่อง

ตัวคูเปอร์นั้นตั้งใจไว้ว่าเขาจะถ่ายทอดเรื่องราวของไคล์ให้ออกมาสมจริงที่สุด ซึ่งเขาทำมันได้สำเร็จ! การแสดงของคูเปอร์น่าทึ่งมากเมื่อเทียบกับความรู้สึกต่างๆที่เขาต้องแบกรับเอาไว้ อย่างฉากที่ปรากฏในเทรลเลอร์ ที่ไคล์ (คูเปอร์) ต้องแบกรับความกดดันทั้งหมดและต้องรับผิดชอบกับการตัดสินใจว่าจะลั่นไกยิงผู้หญิงและเด็กชายคนนั้นหรือไม่

ลองคิดดูว่า ถ้าหากคุณกำลังเล็งกล้องไปยังศัตรูที่พกระเบิดอานุภาพร้ายแรง แต่ศัตรูที่ว่านั่น คือ ผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับภรรยา พี่สาว น้องสาวของคุณ และเด็กที่ทำให้คุณนึกถึงลูกของคุณ คุณมีเวลาไม่ถึง 1 นาทีหรอกสำหรับการตัดสินใจ ทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ซึ่งนั่นหมายถึง การเสี่ยงสูญเสียชีวิตของทหารจำนวนกว่า 10 นาย หลายชีวิตที่มีครอบครัวเช่นเดียวกัน คุณคือผู้ลิขิตชะตาเหล่านั้นเพียงผู้เดียว ...

นอกจากนี้ การลงทุนฝึกเทรนตัวเองกับหน่วยซีลจริงและการอัพร่างกายเพื่อให้ตัวใหญ่เท่ากับ คริส ไคล์ เพื่อให้เข้าถึงบทบาทและความเป็นไคล์ได้อย่างดีเยี่ยม ... คูเปอร์ทุ่มทุกแรงเพื่อเป็นคริส ไคล์จริงๆ และเขาทำได้เหมือนมากทีเดียว

 

“แบรดลีย์ คูเปอร์” ทุ่มทั้งกายและใจ
เพื่อเป็น “คริส ไคล์” ทั้งกายและใจ

 

ทุกครั้งที่ ไคล์ เผชิญกับภาวะ “ต้องเลือก” หรือภาวะที่เจ็บปวดสุดเมื่อต้องละทิ้งบางสิ่งไปในเมื่อเขารู้ว่าเขาสามารถทำมันได้ดี คูเปอร์แสดงและถ่ายทอดทุกอารมณ์ออกมาผ่านทั้งการถ่ายทำ การใช้ช็อตกล้องที่ทำให้คนดูบีบหัวใจไปตามๆกัน เราดูแล้ว เรารู้สึกเจ็บปวดเช่นเขา กดดันในภาวะที่เขาเผชิญ และรู้สึกสับสน หลงทางในบางเวลาที่เขาตัดสินใจไม่ได้เช่นกัน 


 

เรียบง่าย แต่อัดแน่นด้วยเรื่องราวอันเข้มข้นลึกซึ้งที่สุดแสนประทับใจ

 

ถึงแม้ว่าบทอาจจะไม่ได้แม่นยำถูกต้องจากชีวิตของไคล์ทั้งหมด แต่ด้วยการดำเนินเรื่องที่ตรงไปตรงมา พูดกันตรงๆ ไม่อ้อมค้อม เรียบง่ายแต่อัดแน่นด้วยเนื้อหาอันเข้มข้น มีมิติลึกซึ้ง ใส่ด้วยความจริงใจเล่าเรื่องตามสไตล์ของ คลินต์ อีสวู้ด ทำให้เรารู้สึกยกย่องและเชิดชูเกียรติของ คริส ไคล์ ในฐานะวีรบุรุษแห่งสงครามเช่นกัน ซึ่งอันที่จริงแล้ว เมื่อมองดูชีวิตของไคล์ เขาก็เป็นแค่ “ชายคนหนึ่ง” ที่ตัดสินใจเดินหน้าต่อสู้กับความอยุติธรรมและโหดร้ายของสงครามเพื่อปกป้องพวกพ้องของตน ตามแบบอย่างที่เขาถูกสอนมา และแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่เขาเลือกและตัดสินใจกระทำลงไปนั่นเอง

หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของไคล์และเผยภาพสงครามอันโหดร้ายเท่านั้น แต่อีสวู้ดทำให้มันเป็นหนังที่เปิดเผยเรื่องราวที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจเบื้องลึกของ "แผ่นหลังที่ปกป้องชาติ" ของเหล่าทหารที่ถูกส่งออกไปรบ ครอบครัวที่เฝ้ารอการกลับมาของคนที่รัก ทว่าความสัมพันธ์ไม่อาจกลับเป็นเหมือนเดิม บาดแผลที่เกิดจากสงครามค่อยๆกัดกินจิตใจ การไม่อาจดำรงชีวิตได้เช่นเดิมของเหล่าผู้ทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องชาติ การเปลี่ยนผ่านสถานภาพทางสังคมจากคนที่เคยเป็นฮีโร่ กลายเป็นคนที่ถูกจำกัดพื้นที่ในสังคมไปได้อย่างไร พร้อมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์สังคมอเมริกัน การก่อการร้ายและสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ณ ปัจจุบัน ผ่านการดำเนินเรื่องราวที่ใช้ความเป็นหนังมาอธิบายและเล่าเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม

และเมื่อพูดถึงสงคราม ฉากหลังอันโหดร้ายเหล่านั้นยังไม่เคยจางหายไป มันยังคงตราตรึงในจิตใจของอเมริกันชนทุกคนและทั่วโลก ภาพอันน่าเศร้าที่เกิดขึ้นในทุกวัน ทุกวินาที ซึ่งทุกครั้งที่ฉากเหล่านั้นโผล่ออกมา มันสร้างความหดหู่ ความเศร้าให้กับเรา มันเกิดขึ้นจริง สงครามมันมีอยู่จริง แม้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นอยู่ เพียงแค่ ... เราอาจจะไม่รู้เลยก็ได้

American Sniper เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 6 สาขาได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี (Best Motion Picture) , นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม แบรดลีย์ คูเปอร์ (Best Actor in a Leading Role) , ลำดับภาพยอดเยี่ยม (Best Film Editng) , ลำดับเสียงยอดเยี่ยม (Best Sound Editing) , บันทึกเสียงยอดเยี่ยม (Best Sound Mixing) และ บทดัดแปลงยอดเยี่ยม (Best Adapted Screenplay) 

 

อเมริกัน สไนเปอร์

  • 22 January 2015
  • Adventure / แอ็คชัน / ชีวิต /
  • 132 นาที
15+