HIGHLIGHT CONTENT

บทวิจารณ์ภาพยนตร์ A Good Day To Die Hard

  • 6,728
  • 05 มี.ค. 2013

บทวิจารณ์ภาพยนตร์ :-  A Good Day To Die Hard

โดย โอ๋ นิติเทพ:  www.facebook.com/okmovies DIE HARD เปรียบเสมือนชีวิตของ Bruce Willis เป็นภาพลักษณ์ที่ติดตัวเขามาตั้งแต่ยุค ‘80s  จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครลืมจอห์น แม็คเคลน ตำรวจบ้าบิ่นที่แจ้งเกิดมาตั้งแต่การปราบคนร้ายหมดทั้งตึกได้คนเดียวในนรกระฟ้า นับถึงวันนี้เวลาผ่านไป 25 ปี DIE HARD ยังอุตส่าห์มีต่อภาคที่ 5 ชีวิตบ้าบิ่นของจอห์น ก็ยังคงอยู่ แต่คราวนี้ มีลูกชายโตเป็นหนุ่มชื่อแจ็ค แม็คเคลน และทำให้ DIE HARD กลายเป็นหนังมือปราบคู่หูเป็นครั้งแรก และอาจจะเป็นครั้งเดียวหากคราวหน้า Bruce Willis ไม่อาจฝืนสังขารไปได้มากกว่านี้แล้ว ตำนานคนอึดตายยากหรือ DIE HARD ถือกำเนิดในปี 1988 หรือ 25 ปีที่แล้ว ขณะนั้นแทบจะเป็นหนังนอกสายตาด้วยดาราโนเนมและทุนสร้างต่ำไม่ถึง 30 ล้าน ทว่า ผลงานคุณภาพนี้สร้างความประทับใจให้กับคอหนังแอ็คชั่นเป็นอย่างยิ่ง แม้จะทำรายได้ตอนเข้าโรงไปไม่ถึงร้อยล้าน แต่ก็เป็นการปูทางให้ภาค 2 ในอีก 2 ปีต่อมาได้รับการต้อนรับอย่างสมศักดิ์ศรี หนังยกระดับทั้งทุนสร้าง พร้อมบทอันเข้มข้น เนื้อหาแน่นยิ่งกว่าเดิม ไม่สร้างความผิดหวังให้กับแฟนๆ  BRUCE WILLIS จึงได้เลื่อนชั้นขึ้นเป็นดาราแอ็คชั่นเกรด A ตั้งแต่นั้นมาจนถึงบัดนี้ ด้วยภาพลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทั้งไม่หล่อ อ้วน ตลก ทะลึ่ง ลุยมือเปล่า ตายเอาดาบหน้า และไม่พึ่งพาสมอง เป็นคาแรกเตอร์ของคนธรรมดาๆ ที่ใครๆ ก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นขวัญใจคอหนังไปอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นไม่ว่าจะเล่นหนังอะไรประเภทไหนก็ได้รับการจับตา ทั้งแอ็คชั่น สืบสวน โรแมนติค ตลก แต่เรื่องที่ทำเงินสูงสุดของเขากลับกลายเป็นหนังเด็กเห็นผี The Sixth Sense ไปซะงั้น ความจริง DIE HARD น่าจะยุติและกลายเป็นตำนานให้เล่าขานไม่รู้จบไว้เพียงสองภาคแรก แต่ด้วยความสำเร็จจากภาคสอง ทำให้มีโครงการหนังอึดตายยากเกิดขึ้น แม้จะหมดปัญญาเขียนบทต่อ ก็ยังทู่ซี้ซื้อนิยายเรื่องอื่นมาดัดแปลงให้กลายเป็นชีวิตของจอห์น แม็คเคลน ภาคสามที่ชื่อ Die Hard with A Vengeance คือการดัดแปลงนิยายเรื่อง Simon Says มาสวม ออกฉายในปี 95 ผลคือเนื้อหนังลักลั่นเละเทะ ถึงจะดูได้พอสนุกแต่ก็เสียความรู้สึกของแฟนๆ คนอึด กว่าจะดันให้ถึงร้อยล้านได้ก็ขายขี้หน้าไปแล้วไม่ใช่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้มีความจำเป็นยิ่งยวดที่จะต้องมี Die Hard 4 มากู้ชื่อเสียงกลับคืนมา บริษัทผู้สร้างรวมถึงป๋าบรูซประกาศเรียกความมั่นใจว่า ต่อไปนี้ ถ้าเรื่องใดคุณภาพบทไม่ถึงขั้น จะไม่ให้ใช้ชื่อ DIE HARD อีก ซึ่งก็เหมือนกับจะยอมรับไปกลายๆ ว่าเป็นการซื้อบท และเป็นความจริง กว่าจะมี A Farewell To Arms ที่สามารถทำเป็น Die Hard 4.0 หรือ Live Free Or Die Hard ได้ กินเวลานานถึง 12 ปี ระหว่างภาค 3-4 ป๋าบรูซมีหนังดีๆ เล่นอีกหลายเรื่อง บางเรื่องดีมาก แต่ก็ปฏิบัติตามสัญญา หากผู้สร้างเห็นว่าไม่เหมาะจะเป็น Die Hard ก็ไม่มามั่วดัดแปลงให้มันเละเทะอีก มิเช่นนั้นป่านนี้เราคงจะได้เห็นคนอีดไปแล้วเป็นสิบภาคแน่ ภาค 4 ออกฉายปี 2007 กู้หน้ากู้ตาให้ซีรี่ย์นี้ได้เป็นผลสำเร็จ กลายเป็นภาคที่ทำเงินสูงสุดของทั้ง 4 ภาค แต่ผู้สร้างและป๋าบรูซน่าจะยังไม่พอใจ คิดว่าน่าจะเอาไอเดียอินเดียน่าโจนส์ 4 ที่เปิดตัวลูกชายมาใช้ เผื่อในอนาคตจะได้เป็นพระเอกตัวแทนลากหนังซีรีย์นี้ออกไปให้ไม่รู้จักจบได้ (ต่างจากแรมโบ้ที่อุตส่าห์ฝืนทำภาค 4 เป็นพระเอกชรา สิ้นไร้ทายาท หนังก็จะแก่ตายไปกับตัวซิลเวสเตอร์) A Good Day To Die Hard หรือคนอึดภาค 5 จึงได้ออกมาสู่สายตาแฟนหนังในปี 2013 นี้โดยทิ้งห่างจากภาค 4 ไป 6 ปี และห่างจากภาคหนึ่งมากถึง 25 ปี ภาค 5 ของ Die Hard นี้ จึงไม่ใช่เป็นการตามรอยความสำเร็จในอดีต แต่เป็นเพียงการรักษาชื่อหนังนี้ไว้ เผื่ออนาคต(ถ้ามี) โดยการเปิดตัวดาราใหม่ ไจ คอร์ทนี่ย์ ผู้เพิ่งมีผลงาน Jack Reacher ของพระเอกทอม ครูซ ในเวลาไล่เลี่ยกัน ให้มารับบทเป็นลูกชาย โดยทางผู้สร้างรู้ดีว่า หมดยุคของตำรวจแก่เก๋า มือเปล่าลุยเดี่ยว ไม่เหมือนเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว (เว้นเลียม นีสันในเทคเคนให้คนนึง) อีกทั้งหมดยุคของหนังแอ็คชั่นที่มีพล็อตแบบนี้อีกเช่นกัน มันจะไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้ชื่นชมอีก ปัจจุบันนี้เป็นยุคของหนังแอ็คชั่นประเภทซุปเปอร์ฮี่โร่และ แฟนตาซี บู๊แบบโบรานอย่างป๋าบรูซ ในบทจอห์น แม็คเคลน ก็ไม่ต่างอะไรจากคลิ้นท์ อีสท์วู้ดหลงยุค แค่กล้ำกลืนให้ทำได้ดีกว่าพวกเจสัน สเตแตมและเดอะร็อกก็ถือว่าเทพแล้ว ภาคห้านี้จึงปูเรื่องลูกชายให้เป็น CIA มีสังกัด มีข่าวกรอง มีอาวุธ และมีการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี กลายเป็นหนังคู่หูอย่างที่ว่า แต่ด้วยเหตุผลที่ต้องรักษาสิ่งเก่าและนำเสนอสิ่งใหม่ Die Hard ภาคนี้ จึงออกมาให้คนดูทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ได้รู้สึกแบบครึ่งๆ กลางๆ กันทั้งสองฝ่าย ข้างผู้ใหญ่น่าจะเข้าใจดีว่า นี่น่าจะเป็นการปิดฉาก Die Hard แบบโบราณ เพื่อที่จะมี Die Hard ใน ยุคใหม่ที่อัพเกรดแล้วต่อไป ส่วนข้างเด็กดูหนังไม่เข้าใจ ก็คิดได้ว่าหนังอะไรไม่สนุกเลย นั่นเป็นเพราะหนูๆ ไม่เคยดูหนังไลฟ์แอ็คชั่นแบบนี้มาก่อน แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ชอบก็ไม่ว่ากัน ถ้าน้องเป็นคนดูหนังแบบเปิดใจ หนังอะไรก็ดูได้ โดยเฉพาะ DIE HARD ภาคนี้ซึ่งผู้สร้างตั้งใจและพิถีพิถันเป็นพิเศษ แม้ว่าผลจะออกมาขาดๆ เกินๆ แต่แค่ผ่านเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็นับว่าสำเร็จตามจุดประสงค์ ส่วนรายได้ทั่วโลกที่กวาดไปได้ 300 ล้าน นั้นถือเป็นโบนัส เป็นหลักประกันให้เราได้เห็น DIE HARD 6 อีกต่อไป (ถ้าตาไจไม่เกเรซะก่อน) แต่ถ้าหวังจะดูหนังแบบเฉพาะเจาะจงเอามันแบบตื่นเต้นอลังการโลกแตกแผ่นดินถล่มก็อย่าดูเลยครับ หนังซุปเปอร์ฮีโร่หรือบู๊เป็นขบวนการแบบทันสมัยยังมีให้ดูอีกมากมาย หรือจะรอดูจีไอโจก็ได้ แต่นั่นก็มีป๋าบรูซ วิลลิซเหมือนกันนะ อิอิ ชมตัวอย่างหนังได้ที่ www.majortrailers.com ครับ