HIGHLIGHT CONTENT

R.I.P.D. หน่วยพิฆาตสยบวิญญาณ

  • 16,592
  • 03 ก.ค. 2013

ชื่อภาพยนตร์ R.I.P.D ชื่อไทย อาร์.ไอ.พี.ดี.หน่วยพิฆาตสยบวิญญาณ วันที่เข้าฉาย 8 สิงหาคม จัดจำหน่าย บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์ อีสต์)

 เกี่ยวกับภาพยนตร์

เจฟฟ์ บริดเจส (The Big Lebowski, True Grit) และ ไรอัน เรย์โนลด์ส (Safe House, The Proposal) นำขบวนในภาพยนตร์แอ็กชั่น ผจญภัยเหนือธรรมชาติสามมิติ เรื่อง R.I.P.D. เมื่อสองตำรวจได้รับมอบหมายงานจากหน่วยสยบพิฆาตวิญญาณ ให้มาปกป้องและรับใช้คนเป็น ให้พ้นจากเหล่าปีศาจที่ก่อความเสียหาย และปฏิเสธที่จะไปใช้ชีวิตหลังความตายอย่างสุขสงบ

นายอำเภอมือฉมัง รอย พัลไซเฟอร์ (บริดเจส) ทำงานให้กับหน่วยงานตำรวจที่เป็นตำนานซึ่งรู้จักกันในชื่อ อาร์ไอพีดี (R.I.P.D.) เพื่อตามแกะรอยวิญญาณร้ายที่แฝงตัวอยู่ในหมู่คนเป็นเหมือนเป็นคนธรรมดาๆ ภารกิจของเขาน่ะเหรอ? ก็เพื่อตามจับและนำความยุติธรรมไปลงทัณฑ์พวกนอกกฎหมายที่พยายามหลบหนีคำพิพากษาสุดท้าย ด้วยการไปแอบซ่อนตัวอยู่ในหมู่มนุษย์โลกที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

เมื่อ รอย เจ้าคารมคมคาย ได้รับมอบหมายให้ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่รุ่นหลานอย่าง นิค วอล์กเกอร์ อดีตเจ้าหน้าที่ที่กำลังมาแรง (เรย์โนลด์ส) คู่หูข้าวใหม่ปลามันคู่นี้ ต้องเปลี่ยนความนับถือเจือความขุ่นข้องให้กลายเป็นทีมเวิร์กระดับแนวหน้า เมื่อพวกเขาเปิดโปงแผนการร้ายที่อาจจบชีวิตที่เราเคยรู้จัก สองเจ้าหน้าที่มือดีที่สุดของหน่วยสยบพิฆาตวิญญาณ จะต้องกู้สมดุลของจักรวาล หรือเฝ้ามองอุโมงค์ที่มุ่งหน้าสู่ชีวิตหลังความตาย เริ่มส่งสัญญาณที่กำลังโกรธแค้นไปผิดหนทาง

ที่แสดงนำร่วมกับบริดเจส และเรย์โนลด์ส ใน R.I.P.D. ก็คือ เควิน เบคอน (X-Men: First Class) ในบท บ็อบบี้ เฮย์ส คู่หูของนิคก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่, แมรี่-หลุยส์ พาร์คเกอร์ (ผลงานทางทีวีเรื่อง Weeds) ในบท พร็อคเตอร์ หัวหน้าสำนักงานของนิคและรอยในอาร์ไอพีดี และสเตฟานี่ โซสตาก (Iron Man 3) ในบท จูเลีย ภรรยาม่ายของนิคที่ต้องค้นพบเหตุผลเบื้องหลังการจากไปก่อนวัยอันควรของเขาก่อนที่เธอจะถูกบีบให้ต้องเล่นบทซึ่งไม่เป็นที่ต้อนรับในอวสานของโลก

ในกลุ่มนักแสดงสมทบ ได้แก่ นักแสดงผู้เป็นตำนานอย่าง เจมส์ หง (Blade Runner) ในบทร่างอวตารชายชราของนิค และซูเปอร์โมเดล มาริสา มิลเลอร์ (ผลงานทางทีวีเรื่อง Gary Unmarried) ในบทร่างอวตารสุดเซ็กซี่ของรอย และที่มารับบทเป็นสามนักโทษที่กำลังหลบหนีจากหน่วยสยบพิฆาตวิญญาณ ก็คือ โรเบิร์ต เน็ปเปอร์ (ผลงานทางทีวี เรื่อง Cult) ในบทหัวขโมย สแตนลี่ย์ นาวิคกี้, ไมก์ โอ มอลลี่ย์ (ผลงานทางทีวีเรื่อง  Glee) รับบท เอลเลียต ผู้หมกมุ่นกับทีมเบสบอล บอสตัน เร็ด ซ็อกซ์ และ เดวิน แร็ทเรย์ (Side Effects) ในบท พูลาสกี้ ผู้ได้รับแรงบันดาลใจจากเอลวิส

R.I.P.D. มีชีวิตขึ้นมาได้ด้วยฝีมือของผู้กำกับ โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ (Red, Flightplan) และผู้อำนวยการสร้าง นีล เอช มอริทซ์ (21 Jump Street, ภาพยนตร์แฟรนไชส์ชุด Fast & Furious), ไมก์ ริชาร์ดสัน (Hellboy, Hellboy II: The Golden Army) และไมเคิล ฟ็อตเทรลล์ (Fast Five, Live Free or Die Hard)

ที่เข้ามาร่วมงานกับชเวนท์เก้ ก็คือ ทีมงานหลังกล้องที่ล้วนแต่เป็นผู้มีฝีมือ ซึ่งนำทีมโดยผู้กำกับภาพ อัลวิน คุชเลอร์ (Hanna, Sunshine), ผู้ลำดับภาพ มาร์ก เฮลฟริช (X-Men: The Last Stand, Rush Hour), โปรดักชั่นดีไซเนอร์ อเล็ค แฮมมอนด์ (Red, Donnie Darko), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ซูซาน ไลออลล์ (Red, Flightplan) และผู้แต่งดนตรีประกอบ คริสโตฟี่ เบ็ค (Pitch Perfect, ภาพยนตร์ซีรีส์ชุด The Hangover)

R.I.P.D. สร้างจากการ์ตูนของดาร์ก ฮอร์ส ที่สรรค์สร้างโดย ปีเตอร์ เอ็ม เลนคอฟ (ผลงานทางทีวีเรื่อง 24, Hawaii Five-0) จากเรื่องที่เป็นฝีมือของ เดวิด ด็อบกิ้น (Wedding Crashers, The Change-Up) และฟิล เฮย์ กับแม็ตต์ แมนเฟรดี้ (Clash of the Titans, ภาพยนตร์ใหม่ เรื่อง Ride Along) บทภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นฝีมือการเขียนบทของ เฮย์และแมนเฟรดี้

ผู้อำนวยการสร้างบริหารของ R.I.P.D. คือ ออรี่ มาร์เมอร์ (The Green Hornet), เรย์โนลด์ส, โจนาธาน โคแม็ค มาร์ติน (The Change-Up), ด็อบกิ้น, คีธ โกลด์เบิร์ก (17 Again) และเลนคอฟ

เบื้องหลังงานสร้าง กาลครั้งหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องดวงวิญญาณ: พัฒนางานสร้าง R.I.P.D.

ก่อนหน้าที่ ปีเตอร์ เอ็ม เลนคอฟ จะมาเขียนบทให้กับซีรีส์สุดฮิตทางทีวีอย่างเรื่อง 24, CSI: NY และ Hawaii Five-0 เขาเคยสร้างสรรค์นิยายภาพที่รู้จักกันในชื่อ “R.I.P.D” และนับแต่ที่ผู้ก่อตั้งดาร์ก ฮอร์ส คอมิคส์ ไมก์ ริชาร์ดสัน ได้ยินไอเดียที่เลนคอฟนำมาเสนอ เกี่ยวกับตำรวจสองนายที่ทำงานอยู่อีกฝั่งของกฎหมายในช่วงปลายทศวรรษ ’90 ริชาร์ดสันก็เล็งและตั้งมั่นที่จะดัดแปลงซีรีส์การ์ตูนเรื่อง “R.I.P.D.” ให้มาขึ้นจอภาพยนตร์ให้ได้

ระหว่างทำงานอยู่ที่ดาร์กฮอร์ส ริชาร์ดสันได้นำทีมของเขาแปลงนิยายภาพที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของพวกเขาหลายเรื่องให้กลายเป็นภาพยนตร์สุดฮิตมาแล้ว อาทิเช่น The Mask, Hellboy และ Hellboy II: The Golden Army ผู้อำนวยการสร้างริชาร์ดสันรู้ดีว่าความพยายามที่จะเลือกเวลาที่เหมาะเจาะที่จะดัดแปลงนิยายภาพแต่ละเรื่องเพื่อนำไปขึ้นจอนั้น  ถือเป็นความบากบั่นที่ต้องวางแผนเป็นอย่างดี ริชาร์ดสันกล่าวว่า “ในฐานะสำนักพิมพ์ คุณต้องมองหาเรื่องราวดีๆ ที่จะมาตีพิมพ์อยู่เสมอ เราพยายามมองหาความเป็นไปได้นั้น ซึ่งก็คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับ ‘R.I.P.D.’” ด้วยคำนึงอยู่เสมอว่าบริษัทของเขานำเสนองานสองสื่อ ริชาร์ดสันกล่าวเสริมว่า “มันยากมากกับนิยายภาพเมื่อคุณกำลังพูดถึงการแปลงมันให้กลายเป็นบทภาพยนตร์ พวกมันมีความต้องการและองค์ประกอบต่างกัน ซึ่งต้องการผู้กำกับที่สามารถประเมินผลงานที่มีความพิเศษเพื่อนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ที่ดีได้”

ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2003 นิยายภาพซีรีส์ยอดนิยมของเลนคอฟบอกเล่าเรื่องราวของกรมตำรวจที่ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ที่ออกปฏิบัติหน้าที่เป็นชาติที่ 2 กับหน่วยงานสยบพิฆาตวิญญาณ โดยตำรวจทีมนี้มีความสามารถที่จะเดินทางไปมาระหว่างโลกมนุษย์กับโลกในนรก เพื่อกักวิญญาณร้ายเอาไว้ สร้างสมดุลระหว่างชีวิตและความตาย และสร้างความปลอดภัยให้กับมนุษยชาติ

ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา มีโครงร่างบทที่แตกต่างกันหลายฉบับวนเวียนไปมาอยู่รอบๆ ดาร์กฮอร์ส บทภาพยนตร์หลายฉบับเกือบจะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว แต่เมื่อ ผู้อำนวยการสร้าง ออรี่ มาร์เมอร์ ซึ่งเป็นผู้บริหารอยู่ที่บริษัท ออริจินัล ฟิล์ม ของ นีล เอช มอริทช์ ได้เห็นนิยายภาพของเลนคอฟ ในระหว่างที่เขาเดินทางไปที่สำนักงานของริชาร์ดสันนั่นเอง ที่โปรเจ็กต์นี้ถึงได้เดินหน้าอย่างเต็มตัว

มาร์เมอร์ที่รู้สึกประทับใจกับคอนเซ็ปต์ของนิยายภาพที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเขาเรื่องนี้ ได้นัดกินอาหารกลางวันกับ เดวิด ด็อบกิ้น และได้ขออนุญาตกับริชาร์ดสันเพื่อจะขอความคิดเห็นของเขาที่มีต่อเรื่องราวนี้ ด็อบกิ้นโทรศัพท์ไปหาริชาร์ดสัน หลังจากได้อ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้ และบอกว่าเขาชอบหนังสือเล่มนี้และสนใจที่จะพัฒนามันให้กลายเป็นภาพยนตร์ อันที่จริง เขาเข้ามาทำงานกับ R.I.P.D. และได้ปรับปรุงเรื่องราวก่อนที่โปรเจ็กต์นี้จะเดินหน้าไปในทิศทางใหม่

ในที่สุดแล้ว เป็นเพราะทีมเขียนบท ฟิล เฮย์ และแม็ตต์ แมนเฟรดี้ ซึ่งเป็นคนทำงานตั้งแต่ปั้นเรื่องที่พวกเขาได้เครดิตร่วมกับด็อบกิ้น ที่เขียนบทภาพยนตร์เวอร์ชั่นนี้ขึ้นมาใหม่ตั้งแต่แรก และเป็นบทภาพยนตร์ที่ริชาร์ดสันและมอริทซ์รู้สึกว่าพร้อมที่จะเดินหน้าขึ้นจอใหญ่ ริชาร์ดสันอธิบายถึงขั้นตอนต่อไปของการพัฒนางานสร้าง “ฟิลกับแม็ตต์กำลังทำงานกับอีกโปรเจ็กต์หนึ่งของดาร์ก ฮอร์ส เมื่อตอนที่เราเสนอไอเดียให้พวกเขาเขียนบทให้กับ R.I.P.D. ซึ่งจะเป็นส่วนขยายไปจากผลงานอันยอดเยี่ยมของเดวิด พวกเขาชอบเรื่องนี้และขอกระโดดมาทำเรื่องนี้ก่อน เราโชคดีมากที่ได้ตัวพวกเขามา”

เป็นเรื่องบังเอิญมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เฮย์และแมนเฟรดี้ยังได้ทำงานกับออริจิจัลฟิล์มมาแล้วในหลายโปรเจ็กต์ สไตล์การเขียนบทของพวกเขาคือสิ่งที่ช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้กับภาพยนตร์แนวแอ็กชั่น ซึ่งมอริทซ์ ผู้อำนวยการสร้างที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แฟรนไชส์ Fast & Furious, 21 Jump Street และ I Am Legend ชื่นชอบ ในเวลาเดียวกัน ผู้เขียนบททีมนี้ยังเลือกที่จะหลอมรวมเรื่องราวนี้เข้ากับองค์ประกอบอื่นๆ ที่สะท้อนความชอบการ์ตูนแนวหม่นของพวกเขา

เรื่องราวที่เต็มไปด้วยรายละเอียดของการสรรค์สร้างโลกที่มีความลึกลับซับซ้อน สร้างความตื่นเต้นให้กับมอริทช์ได้มากพอๆ กับริชาร์ดสัน เขากล่าวว่า “ในเรื่องของคอนเซ็ปต์ ไอเดียของ R.I.P.D. ถือว่ามีความโดดเด่นอย่างมาก ว่าด้วยเรื่องราวของกรมตำรวจที่มีภารกิจหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการตามหาคนตายที่มาอยู่อาศัยในหมู่คนเป็น และนำตัวพวกนั้นกลับคืนสู่อีกฝั่งเพื่อรับการตัดสิน ในอีกระดับหนึ่ง มันชวนให้ย้อนกลับไปคิดถึงหนังคู่หูตำรวจเรื่องโปรดของผมอย่างเรื่อง 48 Hours และ Lethal Weapon มีพลังความเคลื่อนไหวที่สุดยอดมากระหว่างผู้ชายสองคนนี้ สิ่งที่เราตั้งใจจะทำก็คือการสร้างภาพยนตร์คู่หูตำรวจที่มีฉากแอ็กชั่นเยี่ยมๆ แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็อยากจะทำให้แน่ใจว่ามันจะต้องมีเหตุการณ์เสี่ยงที่ดูยิ่งใหญ่และมีระดับงานสร้างที่ยิ่งใหญ่สมกับเป็นภาพยนตร์ซัมเมอร์”

นับแต่เริ่มต้น เป้าหมายของทีมผู้เขียนบท ก็คือการรักษาองค์ประกอบที่โดดเด่นของตัวนิยายภาพเอาไว้ ขณะที่สำรวจสายสัมพันธ์ระหว่างชายสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจยุคใหม่ที่เพิ่งตายมาสดๆ กับคู่หูมือแม่นปืนจากดินแดนตะวันตกยุคเก่า และต้องดูด้วยว่าพวกเขาสองคนเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันอย่างไร การตอบโต้กันของพวกเขาได้กลายมาเป็นจุดเด่นของบทภาพยนตร์เรื่องนี้ เฮย์กล่าวว่า “เราอยากคงลักษณะที่มีค่าของตัวหนังสือการ์ตูนเอาไว้ มันถูกแปลงให้เข้าสู่เรื่องราวที่เหมาะกับสิ่งที่เราคิดเอาไว้อย่างดีที่สุดตลอดสองสามปีหลังมานี้”

แมนเฟรดี้ ผู้ร่วมเขียนบทกล่าวเสริมว่า “แต่ยังไงมันก็ต้องย้อนกลับไปสู่การเป็นหนังคู่หูตำรวจเสมอ ซึ่งเราอยากจะเล่าเรื่องราวของตำรวจที่เพิ่งตายกับคู่หูของเขาที่เต็มไปด้วยประสบการณ์”

ที่เข้ามาร่วมทีมหลังกล้อง ก็คือ แอ็กชั่นโปรดิวเซอร์ผู้มากประสบการณ์ ไมเคิล ฟ็อตเทรลล์ ซึ่งผลงานที่ผ่านมาของเขามีความหลากหลาย อาทิเช่น Fast & Furious, Fast Five และ Live Free or Die Hard ฟ็อตเทรลล์กล่าวว่า “สิ่งที่ผมชอบมากในบทภาพยนตร์ของฟิลและแม็ตต์ ก็คือ พวกเขาสามารถสร้างโลกใหม่ที่นิคกับรอยเดินก้าวเข้าไป ให้ออกมาดูน่าเชื่อในแบบเดียวกับโลกที่มีอยู่จริงบนดาวโลกดวงนี้ในแบบที่มนุษย์เข้าใจได้ มันเป็นงานที่เปราะบางทีเดียวที่จะผสมรวมระหว่างเรื่องตลกเข้ากับแอ็กชั่นและงานภาพที่น่าตื่นตา และพวกเขาก็ทำได้จริงๆ”

รวบรวมมือดีที่สุดของบอสตัน: บริดเจส, เรย์โนลด์ส และชเวนท์เก้

มันคือเรื่องราวที่เป็นการมองผ่านสายตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจบอสตัน นิค วอล์กเกอร์ ซึ่งเป็นตัวดึงคนดูให้ก้าวเข้าสู่สังคมของผู้พิทักษ์กฎหมายในอีกโลกหนึ่ง นิค ซึ่งเป็นตำรวจที่รู้ดีว่าจะทำงานกับระบบอย่างไร ต้องเสียรู้ราคาแพงเมื่อเขาถูกฆ่าตายในระหว่างปฏิบัติหน้าที่จับยาเสพติด ขณะต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินชะตาครั้งสุดท้าย และยังไม่แน่ใจว่าวิญญาณของเขาจะไปลงเอยที่ไหน นิคได้รับข้อเสนอที่เขามิอาจปฏิเสธได้ นั่นก็คือการใช้ความสามารถในการตามล่าผู้ร้ายของเขา รับใช้อยู่ในหน่วยสยบพิฆาตวิญญาณนานหนึ่งร้อยปี หรือไปเผชิญกับการตัดสินที่ผลยังไม่แน่ชัดในชีวิตหลังความตาย นิคที่กระหายอยากหาตัวคนที่ฆ่าเขา และฝันว่าจะได้กลับไปหาภรรยา เลือกที่จะรับใช้หน่วยสยบพิฆาตวิญญาณ และเริ่มต้นการศึกษาชั่วนิรันดร์

ไรอัน เรย์โนลด์ส เข้าร่วมงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มแรก ด้วยการรับบทเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มที่มีเซอร์ไพรส์ใหญ่รอเขาอยู่ในชีวิตหลังความตาย  เรย์โนลด์สที่กระตือรือร้นมากกับบทนี้ และยังเตรียมตัวมาเพื่อเผชิญกับงานแอ็กชั่นในการถ่ายทำ ยังเซ็นสัญญาเพื่อร่วมงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในฐานะผู้อำนวยการสร้างบริหารอีกด้วย “บทภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านการพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีก และในที่สุดก็ลงเอยที่เวอร์ชั่นปัจจุบัน” เรย์โนลด์สบอก “ผมชอบหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้มาก และบทภาพยนตร์ของเราก็ยังคงไว้ซึ่งแก่นแท้ของมันรวมไปถึงโครงเรื่องพื้นฐานต่างๆ และใช้ลักษณะเช่นนั้น มีโศกนาฏกรรมบ้าง กับเรื่องรัก ที่ถูกห่อเอาไว้ในความเป็นภาพยนตร์ตลกที่มีเสน่ห์ ซึ่งเป็นงานที่สร้างได้ยากมาก”

เมื่อได้เรย์โนลด์สมารับบทเด่นหนึ่งในสองบทนำแล้ว โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง Red ซึ่งเป็นภาพยนตร์ตลกแอ็กชั่นที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนเช่นกัน ได้เซ็นสัญญาเข้ามารับหน้าที่กำกับ R.I.P.D. ความสนใจที่ชเวนท์เก้มีต่อเรื่องราวนี้ รวมถึงจินตนาการที่เขามีต่อภาพยนตร์แอ็กชั่นผจญภัยเรื่องนี้ ได้สร้างความประทับใจให้กับมอริทซ์, ริชาร์ดสัน, ฟ็อตเทรลล์ และเรย์โนลด์ส เป็นอย่างมาก

มอริทซ์ ผู้เคยได้ดูผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของชเวนท์เก้ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ทริลเลอร์ปี  2002 เรื่อง Tattoo รู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้ร่วมงานกับผู้กำกับชาวเยอรมันผู้นี้อย่างมาก “ผมเคยได้พบโรเบิร์ตมาแล้วหลายครั้งซึ่งเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ แต่ผมไม่เคยกล่อมให้เขาตกลงมากำกับให้ได้เลย เมื่อ R.I.P.D. ปรากฏตัวขึ้น ผมรู้สึกว่าเราน่าจะได้ตัวเขามาร่วมงานด้วย และผมก็ดีใจที่ได้รับโทรศัพท์จากเขา” มอริทช์เล่า “เขาเป็นผู้กำกับที่น่าทึ่งอย่างมาก แต่สิ่งที่ผมชื่นชมมากที่สุดก็คือ เขารู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อเข้าให้ถึงหัวใจของหนัง เขาให้ทั้งภาพและฉากแอ็กชั่นที่ดูมหัศจรรย์มาก รวมไปถึงความสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมระหว่างตัวละครสองตัวนี้ด้วย”

ริชาร์ดสันเห็นด้วยกับเพื่อนผู้อำนวยการสร้างของเขา โดยกล่าวว่า “ผมชอบเรื่อง Red จริงๆ นะ ฉะนั้นตอนที่ชื่อของโรเบิร์ตถูกเอ่ยขึ้นมา เราตื่นเต้นมากที่จะได้พูดคุยกับเขาเกี่ยวกับโปรเจ็กต์นี้ ผมคงต้องบอกว่าจินตนาการที่เขามีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้คลิ๊กตรงใจผมเลย เราได้ฟังผู้กำกับหลายคนมาอธิบายงานให้ฟัง และพวกเขาต่างมีจุดแข็งที่เน้นไปยังองค์ประกอบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่โรเบิร์ตกลับมีวิสัยทัศน์ที่แท้จริงสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่โดนใจพวกเราจริงๆ”

ในไม่ช้า ชเวนท์เก้ก็เริ่มปักหลักทำงานกับเฮย์และแมนเฟรดี้ และเริ่มต้นปรับแต่งตัวละครและการเล่าเรื่อง ซึ่งสำหรับเรื่องราวที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ และเดินเรื่องด้วยงานแฟนตาซีแบบนี้ ถือเป็นงานที่ลำบากไม่น้อย เฮย์เล่าว่า “โรเบิร์ต, แม็ตต์ และผมร่วมมือกัน ฉากหลักๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ตลกที่เดินเรื่องด้วยตัวละครจริงๆ และเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ก็คือมันยังคงยึดมั่นกับงานที่ถูกเขียนเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เมื่อโรเบิร์ตเดินเข้ามา เขามีภาพจำเพาะที่ช่วยให้เรายกระดับเรื่องนี้ไปสู่อีกระดับหนึ่งได้ เขามีไอเดียที่เยี่ยมยอดมาก และเราก็รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน และสามารถใส่ทุกอย่างลงไปในบทภาพยนตร์ในแบบที่เราต้องการเสมอมาได้”

ช่วงเวลานี้กลับกลายเป็นเสมือนรางวัลสูงสุดสำหรับทีมงาน เมื่อทิศทางของภาพยนตร์เรื่องนี้มีความมั่นคง โดยเฉพาะเมื่อทางผู้สร้างพบว่าพวกเขาได้ตัวแฟนพันธุ์แท้อย่าง เจฟฟ์ บริดเจส นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ มาร่วมงานด้วยในบทนายอำเภอ รอยเซฟัส “รอย” พัลไซเฟอร์ หลังจากผ่านงานในหน่วยนี้มาอย่างโชกโชน รอยเริ่มรู้สึกเหนื่อยหน่าย จำเจ ด้วยสไตล์แบบฉายเดี่ยวและท่าทางเย่อหยิ่ง ผู้รักษากฎหมายแห่งหน่วย R.I.P.D ผู้นี้คือมือดีที่สุดในปฐพี และรู้จักกลเม็ดทุกรูปแบบในจักรวาลนี้

บริดเจสได้พบแฟนพันธุ์แท้ของเขาในตัวผู้อำนวยการสร้างมอริทซ์ ผู้ให้ความเห็นไว้ว่า “เจฟฟ์คือหนึ่งในนักแสดงที่ผมชื่นชอบที่สุดตลอดกาล เมื่อตอนที่ผมรู้ว่าเราจะได้ร่วมงานกัน มันเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของอาชีพในวงการหนังของผมเลยนะ R.I.P.D. เกือบจะได้ขึ้นจอมาหลายรอบแล้ว และมีนักแสดงหลายคนที่เกือบจะได้เล่นบทนี้ แต่เมื่อเราอยู่ในกองถ่ายและนั่งดูการแสดงของเขาอยู่นั้น ผมเกิดความคิดว่า ‘จะมีใครอีกที่เราจะให้มาเล่นเป็นรอยได้’ เขาเดินเข้ามาและหลอมรวมตัวละครตัวนี้เข้ากับลักษณะเจ้าคารม ช่างเยาะเย้ยถากถาง และน่ารักเป็นที่สุด”

บริดเจสที่เพิ่งจะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาหมาดๆ จากภาพยนตร์เรื่อง True Grit ไม่ได้คิดจะมารับบทเป็นคาวบอยบนจอภาพยนตร์อีก อย่างไรก็ดี ท่าทางอวดดีแต่ขำๆ ของรอย ซึ่งชวนให้นึกถึงบท เดอะ ดู้ด ที่บริดเจสแสดงเอาไว้ในภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกเรื่อง The Big Lebowski ได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเขา บริดเจสและตัวแทนของเขารู้ว่ามีบทภาพยนตร์เรื่อง R.I.P.D. จากนั้นพวกเขาก็คอยตามข่าวความคืบหน้ามาตลอดจนกระทั่งเขารู้สึกว่าถึงเวลาเหมาะแล้วที่จะลองติดต่อมาหาทีมผู้สร้าง เขาเล่าว่า “ผมลองติดต่อเข้าไป และผมก็โชคดีที่ได้งานนี้ ผมสนุกมากเลยครับ”

บริดเจสและชเวนท์เก้ได้พูดคุยกันแบบมาราธอน เมื่อพวกเขาได้สร้างบุคลิกที่ชัดเจนให้กับรอย บริดเจสไม่รู้สึกผิดหวังกับข้อมูลที่ผู้กำกับให้มาเลย เขากล่าวว่า “ผมสนุกกับการทำงานกับโรเบิร์ตมาก เป็นการทำงานที่สนุกสนาน แต่เมื่อผมเตรียมตัวเพื่อมาแสดงบทนี้ ผมพบว่าผมมองเห็นทุกสิ่งผ่านตัวกรองของบทนี้ ขณะที่ผมทำงาน ผมเก็บผสมแรงบันดาลใจที่ได้จากทุกอย่างรอบๆ ตัวผม ตั้งแต่ลักษณะที่ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ จนถึงหนังสือที่ผมอ่านอยู่ หนึ่งในหลายๆ สิ่งที่โรเบิร์ตทำให้ผมสนใจ ก็คือศิลปินที่ชื่อว่า จิม วู้ดริง (เขาเป็นนักเขียนการ์ตูน และเป็นนักเขียนให้กับดาร์ก ฮอร์ส คอมิคส์) ผู้สร้างหนังสือการ์ตูนแนวคัลด์อย่าง ‘Frank’ มันเหนือจริงและส่งอิทธิพลต่อตัวละครของผมมาก”

ผู้อำนวยการสร้างริชาร์ดสันรู้สึกพอใจที่ได้เห็นว่าสองโลกที่เขาพากเพียรสร้างขึ้นมานั้น กลายเป็นจุดตัดที่น่าสนใจแค่ไหน เขาเล่าถึงแรงบันดาลใจว่า “อันที่จริง เจฟฟ์ได้วาดภาพตัวการ์ตูนของจิมขึ้นมาในระหว่างที่เขานั่งอยู่ในกองถ่าย ผมชอบมาก และขอให้จิมสร้างภาพศิลปะเป็นรูป ‘แฟรงก์’ ขึ้นมา และผมก็นำภาพวาดนั้นให้กับเจฟฟ์ในกองถ่าย เจฟฟ์ก็เลยตอบแทนด้วยการเซ็นชื่อลงในผลงานภาพ ‘แฟรงก์’ ให้กับจิม”

แม้จะมาอยู่ในฝั่งของชีวิตหลังความตายแล้วก็ตาม แต่รอยก็ยังคงพกพาสิ่งชั่วร้ายมาด้วย เมื่อเขาแบกเอาความเคียดแค้นและปัญหาจากอดีตของเขามานานหลายร้อยปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแค้นที่เขามีต่อหมาป่าไคโยตี้ที่แทะกระดูกของเขาซะเรียบหลังจากเขาโดนยิง ถึงแม้เขายึดมั่นความเที่ยงธรรมแบบเซน และพยายามที่จะปล่อยวางทุกอย่าง แต่รอยรับมือกับอดีตของเขาได้ไม่ดีนัก...ถึงแม้ว่าเขาจะเชื่อว่าเขาสามารถทำใจให้สงบกับทุกเรื่องได้แล้วก็ตาม

การปะทะกันระหว่างสองตำรวจที่เหมือนจับคู่ผิดตัว เป็นตัวผลักดันมุขฮาตลอดเรื่อง R.I.P.D. แม้แต่เมื่อรอยสอนนิคในเรื่องกฎของการสู้รบ หรือท่วงทำนองของชีวิต, ความรักและการตามล่าเดดดู (วิญญาณที่ท้าทายกฎธรรมชาติ ผู้ปฏิเสธที่จะก้าวข้ามไปยังโลกหน้า) ฝ่ายตาเฒ่าผู้นี้ก็ยังให้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ที่หาได้ยาก ซึ่งประสานสอดคล้องไปกับตำรวจใหม่ผู้นี้ “ในบางครั้งบางครา รอยก็ให้ภูมิปัญญาที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะปล่อยให้ลองผิดลองถูกมากกว่า” เรย์โนลด์สเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ “เขามีประสบการณ์ทำงานอยู่ในโลกนี้มานานกว่า  200 ปี และเขารู้ดีว่าไม่มีทางที่จะเอื้อมถึงคนที่รักที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังได้ เมื่อมีรอยเป็นผู้ชี้แนะ นิคค้นพบว่าเขายังคงตามหลอกหลอนเมียของเขาอยู่ และไม่อาจติดต่อกับเธอได้”

เมื่อบริดเจสและเรย์โนลด์สเริ่มทำการซักซ้อมบทกันในบอสตัน มิตรภาพนอกจอของพวกเขาได้ส่งอิทธิพลถึงสายสัมพันธ์บนจอด้วย บริดเจสเป็นฝ่ายเล่าว่า “ไรอันคือแมวเหมียวที่น่ารัก เขายิงโดนเป้าทั้งหมด และทำให้ทุกอย่างประสานเข้าด้วยกัน และนั่นคือความสามารถพิเศษโดยแท้ เราเติมเต็มกันในหลายระดับ การแสดงเป็นเรื่องของการสร้างภาพมายา แต่ถ้าคุณมีมิตรภาพที่ดีนอกเหนือจากการถ่ายทำหนังแล้วละก็ คุณก็สามารถนำความสัมพันธ์นั้นมาใส่เอาไว้ในงานได้ ไรอันกับผมสนุกด้วยกันมากเมื่ออยู่นอกกองถ่าย”

พร็อคเตอร์และร่างอวตาร: ทีมนักแสดงสมทบ

เมื่อได้บริดเจสและเรย์โนลด์สมารับบท รอยและนิค แล้ว การกระเซ้าเย้าแหย่ระหว่างทั้งคู่ ได้สร้างโทนให้กับตัวบทภาพยนตร์ และได้สร้างสีสันให้กับส่วนอื่นๆ ของการเล่าเรื่อง ในไม่ช้า ทางทีมผู้สร้างก็เริ่มรวบรวมรายชื่อนักแสดงที่จะมารับบทเป็นตัวละครต่างๆ ทั้งในโลกคนเป็นและโลกวิญญาณ

เควิน เบคอน เจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ ผู้เซ็นสัญญารับบทเป็นนักสืบบ็อบบี้ เฮย์ส คู่หูของนิคในกรมตำรวจบอสตันก่อนที่เขาจะตาย เล่าถึงความประทับใจแรกที่เขามีต่อเรื่องราวนี้ และมิตรภาพระหว่างบริดเจสและเรย์โนลด์ส “การที่ได้รู้ว่าไรอันและเจฟฟ์จะมารับบทนำใน R.I.P.D. ทำให้บทภาพยนตร์เรื่องนี้ดูน่าตื่นเต้นมาก พวกเขาคือผู้ชายสองคนที่มาฟอร์มเหนือที่สุด ผมนึกภาพตัวละครสองตัวนี้พยายามที่จะผูกพันกันได้เลย ซึ่งผมรู้สึกว่ามันคือแกนกลางของภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเขาทั้งคู่ต่างมีจังหวะในการปล่อยมุข และเมื่อเราเริ่มต้นถ่ายทำกัน คุณจะเห็นทุกอย่างนี้ถูกเผยออกมา”

การค้นหาตัวฆาตกรของนิค นำเขาไปพบกับเรื่องที่คาดไม่ถึง เมื่อเขาถูกหักหลังโดยเพื่อนรักผู้เป็นคู่หูของเขามานาน อย่างไรก็ดี ชเวนท์เก้ยืนกรานตั้งแต่แรกเริ่มว่าเฮย์สจะต้องรักษาองค์ประกอบความตลกเอาไว้ และจะต้องไม่ใช่ผู้ร้ายที่ชอบลูบหนวดในแบบที่ดูซ้ำซาก ทางทีมผู้สร้างพบลักษณะที่พวกเขาต้องการในตัวเบคอน นักแสดงหนุ่มใหญ่ที่สามารถเล่นบทผู้ร้ายที่ไร้ศีลธรรม ในขณะที่แสดงความตลกออกมาได้ด้วย

เบคอนรู้สึกพอใจในลักษณะสองด้านของบทที่เขารับแสดง และยังพอใจที่นายตำรวจชั่วคนนี้ซ่อนทีเด็ดเอาไว้มากมาย “เฮย์สเป็นผู้ชายที่มีความน่าสงสัยในเรื่องของศีลธรรม” เบคอนบอก “การยึดถือตัวเองเป็นหลักของเขายังต้องพ่ายให้กับความโลภของเขาเอง แต่สิ่งที่คุณไม่รู้ก็คือความโลภของเขามันอยู่ในระดับที่เกินปกติ ผมอยากให้เขาดูเป็นตำรวจบอสตันที่ขยันขันแข็ง ผู้ซึ่งอีกด้านหนึ่งเป็นติดดิน แต่มันยังทำให้เขามีลักษณะที่ดูแปลกประหลาดด้วย”

นอกจากจะเป็นเพื่อนทรยศแล้ว เฮย์สยังมีความลับสุดอันตรายที่ยิ่งใหญ่กว่า เป็นความลับที่นิคหยั่งไม่ถึง จนกระทั่งเขาได้พบกับเหล่าเจ้าหน้าที่ในหน่วยสยบพิฆาตวิญญาณ ผู้หญิงที่เป็นคนดูแลบริหารงานของหน่วย ก็คือ พร็อคเตอร์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของหน่วยอาร์ไอพีดีประจำบอสตัน ที่มาในชุดแฟชั่นม็อดจากยุค  1960 เธอคือผู้ติดต่อคนแรกระหว่างนิคกับหน่วยสยบพิฆาตวิญญาณ และเธอเป็นผู้อธิบายถึงสภาพแวดล้อมใหม่และงานใหม่ให้เขาฟัง รวมถึงยังแนะนำให้เขาได้รู้จักกับ รอย บุคคลที่เธอรู้สึกตึงเครียดด้วยมานาน และสุดท้ายพร็อคเตอร์นี่เองที่เป็นคนให้คำแนะนำนิคเกี่ยวกับวันพิพากษา และเธอต้องใช้เวลานานถึง 100 ปีในการทำหน้าที่ผู้เกลี้ยกล่อมจนกว่าเธอจะหมดหน้าที่

ในการสนทนาช่วงแรกๆ กับชเวนท์เก้และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ซูซาน ไลออลล์ ตัวพร็อคเตอร์เอง ซึ่งก็คือนักแสดงสาวเจ้าของสองรางวัลลูกโลกทองคำ แมรี่-หลุยส์ พาร์คเกอร์ มีไอเดียเฉพาะสำหรับตัวละครของเธออยู่แล้ว  โดยเธอก็คือตำรวจที่ชอบใส่รองเท้าบู้ทส์สีขาวที่เป็นส่วนเติมเต็มชุดมินิเดรสสไตล์ม็อด สำหรับพาร์คเกอร์ การได้กำหนดภาพลักษณ์ และสุดท้ายยังเป็นผู้กำหนดความเป็นมาของหัวหน้าสถานีตำรวจที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของหน่วยงานนี้ ถือเป็นความร่วมมือที่คุ้มค่าอย่างมาก

พาร์คเกอร์กล่าวว่า “ภาพลักษณ์ของพร็อตเตอร์และชุดที่เธอสวมใส่ ควรบ่งบอกถึงอดีตของเธอ เพราะคุณจะได้เห็นเธอในชุดเดียวเท่านั้น ดังนั้นคุณจึงมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะทำเช่นนั้นได้ ในจุดหนึ่ง ฉันเกิดไอเดียที่แตกต่างกันมากมาย จากนั้น ฉันเริ่มพุ่งความสนใจไปที่ภาพของเจ้าหน้าที่ป่าไม้จากปี 1968” พาร์คเกอร์กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะว่า “รูปถ่ายนั้นกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวละครตัวนี้”

นักแสดงสาวชาวฝรั่งเศส สเตฟานี่ โซสตาก ผู้เคยประเดิมงานแสดงภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกในเรื่อง The Devil Wears Prada และเมื่อเร็วๆ นี้ ยังไปรับบทเป็นทหารที่ชื่อ แบรนด์ท ใน Iron Man 3 มารับบทเป็น จูเลีย ภรรยาที่เศร้าสร้อยของนิค ผู้ซึ่งต่อมาต้องติดร่างแหการสืบสวนของรอยและนิคไปด้วย เมื่อนิคพยายามเผยตัวกับจูเลีย และในที่สุด เขาก็ได้ไถ่ถอนบาป ทั้งหมดที่จูเลียมองเห็นและได้ยินก็คือร่างอวตารของนิค ซึ่งคือผู้ตรวจสอบสุขอนามัยของรัฐ เจอร์รี่ เฉิน ชายชราผู้แสนสุภาพจากโครงการคุ้มครองพยานระดับจักรวาล

เรื่องราวความรักของ R.I.P.D. ที่วางแทรกซ้อนไปกับฉากแอ็กชั่นและมุขฮา คือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของโซสตาก เธอเล่าว่า “นิคไม่ยอมรับความจริงที่ว่าเขาตายไปแล้ว และเขายังต้องการที่จะไถ่บาปให้ตัวเอง ดังนั้นเขาจึงยังคงกลับมาหาจูเลีย มันช่วยผลักดันเรื่องราวในส่วนนั้น มันคือเรื่องรักอันน่าประทับใจ ไรอันกับฉันต้องรู้สึกสบายๆ เมื่ออยู่ด้วยกันเพื่อทำให้ฉากของเราออกมาดูเข้าที่เข้าทาง และเราก็ทำได้จริงๆ ความสัมพันธ์ของเราก้าวจากการเป็นคู่แต่งงานไปสู่การต้องพลัดพราก และต้องกล่าวลากัน”

ซูเปอร์โมเดลและนักแสดงหน้าใหม่ที่กำลังมาแรง มาริสา มิลเลอร์ ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีจากการเป็นนางแบบให้กับหนังสือ Sports Illustrated ฉบับชุดว่ายน้ำ และนักแสดงผู้เป็นตำนาน เจมส์ หง ผู้ทำงานอยู่ในวงการมานานกว่า 7 ทศวรรษ โดยมีผลงานเป็นหนังอย่าง Blade Runner จนถึง Big Trouble in Little China และซีรีส์ทางทีวีเรื่อง Kung Fu จนถึง Dynasty ร่วมแสดงในบทร่างอวตารของรอยและนิค เพราะเจ้าหน้าที่หน่วยอาร์ไอพีดี จะต้องเดินทางไปมาระหว่างสองโลก มนุษย์จะมองเห็นพวกเขาได้ในร่างอวตาร ซึ่งตรงกันข้ามกับหน้าตาเดิมของพวกเขาเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่

ความเป็นนางแบบสวยจนทำให้ต้องอ้าปากค้างของมิลเลอร์ และความเป็นพลเมืองอาวุโสของหง ช่างทำให้พวกเขากลายเป็นคู่ที่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ และการต่อสู้ที่รอยและนิคต้องเผชิญต่อหน้าคนธรรมดาทั่วไป ก็ยิ่งเพิ่มความสนุกให้กับเรื่องนี้ บางทีมันอาจเป็นอารมณ์ขันที่ถูกบิดเบือนไปของจักรวาล แต่รูปโฉมที่เป็นหญิงสาวที่น่ารักจนชวนตะลึง ซึ่งตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ความเป็นนายอำเภออารมณ์ บ่ จอยของ รอย ขณะที่ร่างอวตารที่เป็นคนชราของนิคก็ดูขัดกับการเป็นตำรวจในวัยฉกรรจ์ในขณะที่เขายังเป็นมนุษย์อยู่บนโลก

ตามสถิติของอาร์ไอพีดี ในแต่ละวันจะมีคนตายบนโลกของเรามากกว่า 150,000 คน และมีดวงวิญญาณจำนวนหนึ่งที่เล็ดรอดผ่านรอยแตก ก่อนที่พวกเขาจะถูกดึงเข้าไปยังประตูมุ่งสู่สวรรค์หรือนรก และเมื่อพวก “เดดดู” เหล่านี้อยู่บนโลกไปนานๆ ดวงวิญญาณจะเริ่มเน่า และเริ่มส่งกลิ่น พวกเดดดูสองสามรายที่รอยและนิคจะต้องจัดการ ก็คือ นาวิคกี้  ซึ่งรับบทโดย โรเบิร์ต เน็ปเปอร์, เอเลียต สายที่คลั่งไคล้ทีมเร็ดซ็อกซ์ ซึ่งรับบทแสดงโดย ไมก์ โอมอลลี่ย์ และพูลาสกี้ ผู้ได้รับแรงบันดาลใจจากเอลวิส ซึ่งรับบทแสดงโดย เดวิน แร็ทเรย์

พร้อมหายตัว: การจินตนาการสร้างพวกวิญญาณร้าย

แนวคิดที่กลายมาเป็นพวกเดดดูถือเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่สำหรับนิยาย R.I.P.D.  ไอเดียที่ชเวนท์เก้, เฮย์ และแมนเฟรดี้ คิดขึ้นมา ได้เปิดตัวภัยคุกคามรูปแบบใหม่ต่อมนุษยชาติ นอกเหนือจากพวกวิญญาณชั่วร้ายที่ปรากฏในนิยายภาพเรื่องนี้แล้ว ยังมีวิญญาณร้ายที่สามารถเดินทางข้ามไปมาระหว่างโลกของเราได้ มือเขียนบทและผู้กำกับรู้สึกราวกับว่าจินตนาการนี้จะช่วยเพิ่มรายละเอียดอีกชั้นหนึ่งให้กับการเผยไต๋ของภาพยนตร์เรื่องนี้

พวกเดดดูที่เป็นวิญญาณที่ไม่ยอมเดินมุ่งเข้าหาแสงและข้ามไปยังโลกแห่งวิญญาณ เลือกที่จะหลบซ่อนอยู่ในโลกของคนเป็นให้นานที่สุดที่พวกเขาจะทำได้  แมนเฟรดี้อธิบายว่า “เราอยากจะเก็บภาพพวกเดดดู ซึ่งเป็นวายร้ายของเรา ให้อยู่ในร่างของมนุษย์เอาไว้สักพัก จากนั้นค่อยเผยตัวตนจริงของพวกนี้ เรามีคอนเซ็ปต์ของคนที่ตายแล้ว และไม่อยากจะไปใช้ชีวิตหลังความตาย และคิดว่ามันน่าจะเหมาะสำหรับเรื่องของเราที่จะแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นถ้าคุณต้องตายและคุณไม่ยอมตาย ดวงวิญญาณของคุณสามารถที่จะแสดงตัวตนออกมาในรูปแบบที่แสนประหลาดนี้”

ถึงแม้พวกเดดดูจะสามารถซ่อนตัวอยู่ในรูปร่างหน้าตาแบบมนุษย์ แต่ดวงวิญญาณของพวกเขาจะเริ่มผุเน่า และส่ง “กลิ่นเหม็นแบบวิญญาณ” ออกมา ตามที่ชเวนท์เก้ได้บอกเอาไว้ ยิ่งดวงวิญญาณที่ทุกข์ทรมานอยู่บนโลกนานมากขึ้นเท่าไหร่ ความชั่วร้ายของพวกเขาก็จะยิ่งแทรกซึมเข้าไปในสภาพแวดล้อมและส่งผลต่อสมดุลของจักรวาล

และนั่นคือหน้าที่ของหน่วยอาร์ไอพีดีที่จะมาจับพวกวิญญาณร้ายเหล่านี้เพื่อไปรับการพิพากษาครั้งสุดท้าย

ด้วยการควบคุมการโยกย้ายของวิญญาณ และรักษาสมดุลระหว่างโลกคนเป็นและคนตาย จักรวาลจะยังคงมีสมดุล แต่เมื่อรอยและนิครู้ว่าพวกเดดดูกำลังรวมตัวกันโดยมีแผนการร้ายที่อาจทำลายสมดุลที่แสนเปราะบางระหว่างสองโลก ตำรวจมือปราบทั้งสองนายรู้ดีว่ามีเพียงเจ้าหน้าที่หน่วยอาร์ไอพีดีเท่านั้นที่จะสามารถหยุดหายนะของจักรวาลครั้งนี้ได้

มันยังขึ้นอยู่กับโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ อเล็ค แฮมมอนด์, ผู้ออกแบบวิญญาณ แครช แม็คครีรี่ และเอ๊ดดี้ หยาง และวิชวลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ จูเลียตต์ ยาเกอร์ ที่จะออกแบบภาพลักษณ์ให้กับพวกเดดดูหลายสิบตัว เมื่อพวกเขา “ปรากฏตัว” หรือเมื่อตัวตนจริงถูกเปิดเผย เพราะมีอาวุธเป็นภาพดิจิตอลที่สามารถสร้างได้ไม่จำกัด พวกเขาจึงฝันที่จะสร้างวิญญาณที่ชั่วร้ายจำนวนมาก ซึ่งบ่อยครั้งมีหน้าตาเป็นตัวประหลาดที่ดูตลก อย่างไรก็ดี พวกเขามีกฎง่ายๆ หนึ่งข้อที่ต้องทำตาม นั่นก็คือ เดดดูจะต้องมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับหน้าตาสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ และมันจะต้องเป็นการแสดงให้เห็นถึงความผิดที่พวกเขาก่อกับมนุษยชาติอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าวิญญาณร้ายเคยเป็นโจรสมัยที่ยังเป็นคน เดดดูตัวนั้นจะต้องมีมือใหญ่ยักษ์เมื่อตัวตนที่แท้จริงถูกเปิดเผย

เมื่อถึงเวลาต้องสร้างสภาพแวดล้อมให้กับพวกเดดดู แฮมมอนด์อยากจะเจาะจงเป็นพิเศษ “เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องทำให้โลกของเดดดูดูขัดแย้งกับที่ที่พวกเขาจากมา เพราะเดดดูก็มาจากตัวตนของพวกเรานี่แหละ พวกเขาอาจเป็นบุรุษไปรษณีย์ที่มาส่งจดหมายหรือเป็นคนที่ยกกาแฟมาให้คุณ มันต้องให้ความรู้สึกเหมือนเป็นใครก็ได้ อาจมีอะไรที่ดูเพี้ยนๆ ไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในรูปลักษณ์ที่ดูเรียบง่าย”

เริ่มต้นทำงาน: งานออกแบบฉากและโลเกชั่น

โชคดีสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง R.I.P.D. ถ่ายทำกันบนถนนของบอสตันที่เหตุการณ์ของเรื่องนี้เกิดขึ้น ครึ่งแรกของกำหนดการถ่ายทำ ทีมถ่ายทำจะเดินทางข้ามเมืองจากท้องถนนในย่านบอสตันตะวันออก ไปยังชาร์ลส์ทาวน์ จนถึงถนนนิวบูรี่ในแบ็คเบย์ ต่อจากนั้นพวกเขาได้ปักหลักถ่ายทำในโรงถ่ายเพื่อถ่ายทำฉากในอาคารในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะตกและอากาศหนาวเย็นของนิวอิงแลนด์

สถาปัตยกรรมทั้งเก่าแก่และสมัยใหม่ของบอสตัน ทำให้แฮมมอนด์มีทางเลือกมากมาย และกลายเป็นส่วนเติมเต็มให้กับฉากที่เขาคิดและสร้างขึ้นมา แฮมมอนด์ที่มีข้อมูลค้นคว้าเป็นอาวุธ สามารถกำหนดทั้งสองโลก รวมถึงสิ่งมีชีวิตประหลาดและองค์ประกอบที่แปลกประหลาดอื่นๆ จากบทภาพยนตร์ของเฮย์และแมนเฟรดี้ได้

“บอสตันเป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบสำหรับ R.I.P.D.” แฮมมอนด์กล่าว “มันคือเมืองที่คุณสามารถเชื่อได้ว่าคนๆ หนึ่งอาจซ่อนตัวอยู่ได้นานถึง 300 ปี คุณมีอาคารที่ถูกสร้างในปี 1980 ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ อาคารที่สร้างขึ้นในปี 1785 มันให้ความรู้สึกราวกับว่ายังมีมุมซ่อนเร้นและซอกซอยของพื้นที่ที่เกือบถูกลืมไปแล้ว โดยเฉพาะในย่านดาวน์ทาวน์ บอสตันทำหน้าที่ได้ดีมาก และมันยังมีโรงถ่ายขนาดใหญ่อีกด้วย”

ความขัดแย้งกันของบอสตันในประวัติศาสตร์และบอสตันรูปแบบใหม่ เห็นได้ชัดในทุกมุมตึก และทำให้แฮมมอนด์ได้ภาพวิวทิวทัศน์ที่สะท้อนธีมที่ไร้กาลเวลาของเรื่องนี้ด้วย ท้องถนนของย่านการเงิน เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากแอ็กชั่นทั้งเล็กและใหญ่ ซึ่งนำทีมถ่ายทำโดยผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2/ ผู้ประสานงานสตั๊นต์ เดวิด อาร์ เอลลิส ผู้ล่วงลับ (47 Ronin, Master and Commander: The Far Side of the World) เขาเป็นผู้นำการถ่ายทำฉากกลางแจ้งของฉากที่ใหญ่ที่สุดของ R.I.P.D. นั่นก็คือฉากประตูที่แตกร้าวที่เคยทำหน้าที่แยกระหว่างทั้งสองโลก

ผู้อำนวยการสร้าง ฟ็อตเทรลล์ ได้พูดถึงการทำงานที่ต้องอาศัยกลเม็ดว่า “เรามีกองถ่ายย่อยสองทีมที่ทำงานในเวลาเดียวกัน โดยบางครั้งพวกเขาต้องแยกกันทำงานหลายช่วงตึก โดยทีมหนึ่งกำลังถ่ายทำฉากแอ็กชั่นที่มีการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ขณะที่อีกทีมถ่ายทำกับทีมนักแสดงหลัก และนักแสดงสตั๊นต์ที่แต่งกายในชุดจับความเคลื่อนไหวสีเทาเมื่อพวกเขาวิ่งผ่านไปตามท้องถนนท่ามกลางแรงระเบิดและกระสุนปืน มันเป็นงานที่ทะเยอทะยานมาก โดยเฉพาะกับงานสร้างที่ยิ่งใหญ่และฉากที่ขับเคลื่อนด้วยภาพวิชวลเอฟเฟ็กต์ เรายังได้พบความท้าทายหลายอย่าง แต่สามารถสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาได้”

ด้านนอกของโรงงานผลิตเรือจากศตวรรษที่ 19 ในบอสตันตะวันออก กลายเป็นพื้นที่ให้กับแฮมมอนด์และแผนกศิลปกรรมของเขาเพื่อสร้างฉากการบุกจับคนร้ายที่ทำให้นิคต้องเผชิญหน้ากับความตาย ทีมงานของแฮมมอนด์ต้องสร้างแท่นเวทีพิเศษขึ้นมาในระดับที่สูงขึ้น จนถึงหลังคาของตัวอาคาร

ต่อมา แผนกสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ได้เข้ามาตกแต่งฉากด้วยการติดตั้งระบบพ่นไฟ ประทัดและกระสุนปืนเป็นร้อยๆ นัด ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางงานสลิงที่ต้องใช้ในการห้อยโหนตัวนักแสดงสตั๊นต์กลางอากาศ ขณะที่หลายคนต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกับนิค อีกหลายคนต้องตัวลอยขึ้นไปบนอากาศเนื่องจากแรงระเบิด เจ้าหน้าที่ตำรวจในเขตพื้นที่บอสตันหลายสิบนายได้รับเลือกให้มาร่วมแสดงในฐานะนักแสดงแบ็คกราวน์ และเพื่อให้แน่ใจว่าการทลายแหล่งผลิตยาเสพติดจะถูกสร้างออกมาอย่างเหมาะสมและถูกต้องที่สุด

เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทีมผู้สร้างที่ฉากห้องแล็บผลิตยา จะต้องมีสภาพแวดล้อมที่ดูเหมาะเจาะ ซึ่งเป็นฉากสำคัญที่จะเคลื่อนย้ายนิคจากโลกคนเป็นให้ก้าวสู่ชีวิตหลังความตาย  แฮมมอนด์อธิบายว่า “เราอยากให้คนดูได้สัมผัสประสบการณ์ในฉากนี้ผ่านตัวละครของไรอันเมื่อเขาเสียชีวิต และได้ก้าวสู่โลกอันน่าทึ่งของงานแอนิเมชั่น จากตรงนั้น เขาก็เริ่มเดินทางไปสู่ชีวิตหลังความตายอย่างที่เราได้ออกแบบเอาไว้”

โรงถ่ายซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของบอสตันห่างไป 10 ไมล์ เป็นที่ตั้งของฉากมากมาย ซึ่งรวมถึงทุกส่วนของสำนักงานใหญ่ของอาร์ไอพีดี, บ้านในชาร์ลส์ทาวน์ของนิคและจูเลีย, อพาร์ตเม้นต์ของนาวิคกี้, ฉากเปิดเรื่อง รวมถึงบ้านของเฮย์สด้วย

นอกจากการใช้งานวิชวลเอฟเฟ็กต์เพื่อสร้างฉากหลังให้กับโลกวิญญาณของ R.I.P.D. การจะสร้างฉากแบ็คกราวน์ที่ดูมีสมดุลให้กับภาพยนตร์แอ็กชั่นผจญภัยเหนือธรรมชาติเรื่องนี้ ทางทีมผู้สร้างต้องการหลอมรวมการแสดงของนักแสดงเข้ากับส่วนผสมเหล่านี้ หนึ่งในฉากที่มีความซับซ้อน ก็คือฉากระเบิดบ้านของเฮย์ส แฮมมอนด์ต้องทำงานร่วมกับ สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ มาร์ก ฮอว์เกอร์ (Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides) เพื่อสร้างฉากเอฟเฟ็กต์ที่ทำให้ทุกคนถึงกับอึ้ง บ้านหลังนี้ที่ถูกสร้างขึ้นบนแท่นทรงกลมที่ควบคุมด้วยไฮโดรลิค จะถูกเขย่าอย่างรุนแรง และในที่สุดจะต้องแยกออกเป็นสองเสี่ยง จากพื้นและกำแพง จนถึงชั้นบนและส่วนของหลังคา บ้านของเฮย์สจะถูกแยกออกตรงกลาง

สำหรับบริดเจส, เรย์โนลด์ส, เบคอน และมิลเลอร์ การถ่ายทำฉากนี้ถือเป็นโอกาสที่น่ายินดีที่ได้ทำงานหน้าจอกรีนสกรีน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชอตที่ต้องใช้งานวิชวลเอฟเฟ็กต์ “มันสนุกที่ได้ถ่ายทำฉากนั้นเพราะบ่อยครั้งที่มันจะถูกสร้างให้ออกมาเป็นภาพดิจิตอล” เบคอน ที่ต้องยืนอยู่ท่ามกลางเศษฝุ่นและปูนฟุ้งกระจายเมื่อบ้านแยกออกเป็นสองส่วน บอก

เมื่อถึงเวลาต้องถ่ายทำฉากต่อสู้และฉากสตั๊นต์ ทีมนักแสดง ที่ได้รับความช่วยเหลือจากทีมสตั๊นต์ที่น่าทึ่งที่นำทีมโดยซูเปอร์ไวเซอร์ผู้ประสานงานสตั๊นต์ เอลลิส และผู้ประสานงานสตั๊นต์ คอรี่ย์ ยูแบงก์ส และไมก์ กันเธอร์ สามารถทำหน้าที่ของพวกเขาได้ บริดเจสและเรย์โนลด์สได้แสดงฉากสตั๊นต์เหล่านั้น แต่เบคอน, โซสตาก และมิลเลอร์ ต้องใส่ชุดควบคุมเพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานกับลวดสลิงตามแผนที่ได้วางเอาไว้

ไม่ว่าฉากบ้านของเฮย์สจะยุ่งยากซับซ้อนแค่ไหน แต่มันกลับดูเป็นฉากเล็กๆ ไปเลยทั้งในเรื่องของความยิ่งใหญ่ของงาน การออกแบบ และเวลาที่ใช้ในการเตรียมงานเมื่อเทียบกับฉากสำนักงานของอาร์ไอพีดีในบอสตัน ซึ่งกลายเป็นงานที่ท้าทายมากที่สุดสำหรับแฮมมอนด์ ก่อนหน้านี้ แฮมมอนด์เคยร่วมงานกับชเวนท์เก้มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Red และ Flightplan รวมถึงซีรีส์ของทางฟ็อกซ์ เรื่อง Lie to Me ฉะนั้น การพูดคุยที่ไหลลื่นของพวกเขาจึงกลายเป็นสมบัติอันล้ำค่าเมื่อถึงเวลาต้องถ่ายทำฉากใหญ่แบบนี้

แม้แต่ในโครงร่างบทเวอร์ชั่นแรกๆ แฮมมอนด์รู้สึกดีใจเมื่อรู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่เขาจะได้แสดงจินตนาการของเขาออกมาในโลกแต่ละโลก (จากสองโลก) “หนึ่งในหลายๆ อย่างที่เป็นตัวกำหนดงานออกแบบพื้นที่ก็คือ แนวคิดที่ว่าโรเบิร์ตตั้งใจจะจัดการกับฉากที่คาดไม่ถึงเหล่านี้อย่างไร” แฮมมอนด์เล่า “ตลอดหนังทั้งเรื่อง คนดู และตัวละคร ก็ยังคิดว่าพวกเขารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เพียงเพื่อจะต้องมาตกม้าตาย เรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอเรื่องราวปัญหาชีวิตในแบบจริงจังเกินไป  และเราก็ทำแบบเดียวกันกับฉาก อาจมีพื้นที่ขนาดใหญ่ยักษ์ ที่มาพร้อมอุปกรณ์ขนาดใหญ่ แต่ก็ยังคงมีองค์ประกอบที่ดูสนุกสนานอยู่ในสิ่งเหล่านั้น”

สำนักงานใหญ่ของหน่วยอาร์ไอพีดีของบอสตัน ซึ่งถือว่าเป็นฉากที่ใหญ่ที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ ล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์เบื้องบน มันประกอบจากส่วนต่างๆ ที่มีลักษณะแตกต่างกัน รวมถึงทางเดินที่ต้องผ่านห้องสมุดภาพ ห้องหลักฐาน ห้องทำงานของพร็อคเตอร์ และทางเดินระหว่างดวงดาวที่เชื่อมต่อทุกส่วนเข้าด้วยกัน

ทีมงานของแฮมมอนด์ยังได้สร้างรากฐานของสำนักงานขึ้นมา หน่วยอาร์ไอพีดีเกิดขึ้นก่อนเทคโนโลยีทุกรูปแบบ ดังนั้น แฮมมอนด์จึงคงลักษณะของโลกก่อนยุคดิจิตอลเอาไว้ “ไอเดียก็คืออาร์ไอพีดีคือส่วนหนึ่งของเครื่องจักรกลแห่งสวรรค์” แฮมมอนด์อธิบาย “เราอยากจะใส่ไอเดียนั้น และรวมมันเข้ากับของประกอบฉากชิ้นใหญ่ๆ และโซ่ ใส่ลงไปในงานออกแบบ เรายังต้องการกรมตำรวจที่ดูเป็นยุคแอนนาล็อก ซึ่งเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่ต้องทำให้เกิดสมดุล พวกเขาเป็นกรมตำรวจ เราจึงมองหาผังจำลองที่ผ่านหลายยุคหลายสมัย โดยเน้นไปที่สถานีตำรวจในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน”

สมาชิกของทีมอาร์ไอพีดีไม่จำเป็นต้องนอน กิน หรือดื่ม หรือหาความสำราญในแบบที่เคยเป็นมนุษย์ พวกเขามีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือการส่งตัวพวกเดดดูไปยังอีกด้านหนึ่งของโลก ดังนั้นสภาพแวดล้อมของที่ทำงานของพวกเขาก็ต้องสะท้อนความเป็นจริงนั้นเช่นกัน ฉากห้องขังที่มีหลายชั้น พร้อมด้วยห้องเก็บหลักฐานที่อยู่ติดกัน จึงเป็นฉากที่ใหญ่ที่สุดและน่าประทับใจที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ และกินเนื้อที่กว่า 14,000 ตารางฟุต

เมื่อถึงเวลาสร้างห้องประชุมของอาร์ไอพีดี งานนี้ขึ้นอยู่กับนักตกแต่งฉากระดับรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี่ เคธี่ ลูคัส (ผลงานทาง HBO เรื่อง John Adams) เพื่อใส่รายละเอียดที่ซับซ้อนลงไปในงานออกแบบของแฮมมอนด์ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของนักสืบที่ขยันขันแข็ง ซึ่งรวมถึงแฟ้มข้อมูลและเอกสารเป็นพันๆ หน้าถูกวางเอาไว้บนโต๊ะเหล็ก รวมถึงโทรศัพท์ ของใช้สำนักงาน หมวก เสื้อโค้ท และถ้วยกาแฟ แฮมมอนด์ถึงกับหัวเราะที่เขากับลูคัสถึงขนาดวาดเส้นบนโดนัท

เมื่อพิจารณาว่าพวกเขาต้องถ่ายทำกันในฉากนี้นานหลายอาทิตย์ ความใส่ใจในรายละเอียดที่เล็กที่สุดจึงมิอาจให้พลาดไปได้ “งานออกแบบฉากของภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องเรียกว่าพุ่งทะลุชาร์ตไปเลย รวมถึงความใส่ใจในรายละเอียดด้วย” เรย์โนลด์สให้ความเห็น “คุณสามารถเปิดโต๊ะตัวไหนก็ได้ และคุณจะพบข้าวของที่เป็นของจำเพาะตัวละครที่ใช้โต๊ะตัวนั้น ผมหยิบหนังสือขึ้นมาจากโต๊ะของรอย และมันเป็นหนังสือโป๊เวอร์ชั่นของเขา มันเป็นหนังสือรูปแบบโบราณ มันสุดยอดจริงๆ”

มีอีกโลเกชั่นหนึ่งที่จะต้องต้อนรับทั้งทีมนักแสดงและทีมงานนานหลายอาทิตย์ และถือเป็นงานออกแบบที่ต้องใส่ใจในรายละเอียดไม่แพ้กัน และยังต้องอาศัยงานเอฟเฟ็กต์เพื่อทำให้เรื่องราวมีความสมบูรณ์มากขึ้น โลเกชั่นริมท่าเรือที่อู่ต่อเรือควินซี่ ทางด้านใต้ของเมือง ทำหน้าที่เป็นบ้านให้กับฉากดาดฟ้า ซึ่งเป็นฉากต่อสู้ฉากสุดท้ายระหว่างอาร์ไอพีดีและพวกวิญญาณร้าย

ดาดฟ้าที่รายล้อมด้วยจอกรีนสกรีนขนาดใหญ่  360 องศา เป็นการผสมรวมงานถ่ายทำนักแสดงกับภาพซีจีไอ นักแสดงสตั๊นต์และนักแสดงแบ็คกราวน์แต่งกายอยู่ในชุดสูทสีเทาและหมวกที่มีเซนเซอร์จับการเคลื่อนไหว ต้องใช้เวลาที่แสนเหน็ดเหนื่อยหลายวันอยู่ในฉากนี้เพื่อเป็นต้นแบบการเคลื่อนไหวร่างกายให้กับตัวละครที่จะถูกสร้างขึ้นมาในงานวิชวลเอฟเฟ็กต์ เมื่อได้ร่วมงานกับผู้กำกับภาพ อัลวิน คุชเลอร์ และวิชวลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ ไมเคิล เจ วอสเซล (Fast Five) ทั้งชเวนท์เก้และแฮมมอนด์จึงต้องคอยดูแลงานเป็นอย่างดีเพื่อให้แน่ใจว่าการเชื่อมต่อระหว่างสภาพแวดล้อมดิจิตอลกับฉากที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นจะถูกเชื่อมเข้ากันอย่างไร้ร่องรอย

คู่หูดูเนี๊ยบ: งานออกแบบเสื้อผ้า

ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ซูซาน ไลออลล์ เคยทำงานกับชเวนท์เก้มาแล้วในผลงานภาพยนตร์สองเรื่องก่อนนี้ของเขา  Red และ Flightplan เธอไม่เพียงแต่ได้แต่งตัวให้กับตัวละครร่วมสมัยในภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้น แต่ยังต้องจัดหาชุดนายอำเภอแดนคาวบอยให้กับรอย และชุดที่หลากหลายของตำรวจอาร์ไอพีดี ซึ่งมาจากเกือบทุกยุคทุกสมัยภายในระยะเวลาสองศตวรรษที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นตายในยุคไหน เขาก็จะต้องสวมใส่เสื้อผ้าในชุดนั้นไปตลอดกาล ทางทีมผู้อำนวยการสร้างและผู้เขียนบท รู้สึกพอใจที่ได้ช่วยให้คำแนะนำเพื่อผสมรวมเข้ากับข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับตำรวจ

ไลออลล์ตอบรับการทำงานครั้งนี้เป็นอย่างดี ซึ่งทำให้เธอต้องทำการค้นคว้า เธอกล่าวว่า “สมาชิกทุกคนของอาร์ไอพีดีจะมีภาพอ้างอิงที่ติดตัวเขาหรือเธอมา หลายคน คนดูจะจำได้ในทันที [จากภาพยนตร์เรื่อง Serpico, Popeye Doyle และ Cagney & Lacey] แต่ภาพลักษณ์ที่เหลือได้มาจากการค้นคว้าจริงๆ”

“มันมีอิสระจริงๆ เพราะมันไม่จำเป็นต้องเป็นตำรวจบอสตันเท่านั้น” ไลออลล์กล่าว “เราสามารถเลือกชุดฟอร์มของตำรวจจากรัฐใดหรือสมัยใดก็ได้ เราต้องสร้างจักรวาล และสร้างกฎของอาร์ไอพีดีขึ้นมา เพื่อให้มันทำหน้าที่ของมันเอง พวกมันไม่ใช่กฎที่เห็นชัดเจนสำหรับคนดู แต่มันเป็นกฎที่มีไว้สำหรับพวกเราเพื่อจำกัดจักรวาลของเรา และหาหนทางที่สร้างความสมเหตุผลของสิ่งที่เป็นแนวคิดแบบเปิดกว้าง”

ขณะที่นิคยังคงแต่งชุดแบบกรมตำรวจบอสตันในปี  2013 รอยกลับเป็นตัวละครที่มีลูกเล่นมากกว่า สำหรับนายตำรวจวัยดึกผู้นี้ ไลออลล์นำเอาลักษณะแบบร็อคแอนด์โรลมาใช้ ตั้งแต่แว่นกันแดดจนถึงเสื้อกั๊กและเสื้อนอกตัวยาวแบบนายอำเภอ ลักษณะที่ดูเสเพลเป็นการเชื่อมโยงภาพเข้ากับตัวนิยายภาพ และยังเป็นตัวบ่งชี้ด้วยว่ารอยคือเจ้าหน้าที่ที่ทำงานให้กับหน่วยงานนี้มายาวนานที่สุด อันที่จริงการฝ่าฝืนกฎหมายหลายต่อหลายครั้งของเขาในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ กลับเป็นสิ่งที่ช่วยยืดเวลาที่เขาทำงานอยู่กับอาร์ไอพีดี

****

ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานการสร้างของออริจินัล ฟิล์ม/ ดาร์ก ฮอร์ส เอนเตอร์เทนเม้นต์ ภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ เรื่อง R.I.P.D. ซึ่งนำแสดงโดย เจฟฟ์ บริดเจส, ไรอัน เรย์โนลด์ส, เควิน เบคอน, แมรี่-หลุยส์ พาร์คเกอร์, สเตฟานี่ โซสต๊าก ดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ คริสโตฟี่ เบ็ค และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้แก่ ซูซาน ไลออลล์ R.I.P.D. ลำดับภาพโดย มาร์ก เฮลฟริช, เอซีอี และโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ คือ อเล็ค แฮมมอนด์ ผู้กำกับภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ อัลวิน คุชเลอร์, บีเอสซี ทีมผู้อำนวยการสร้าง ได้แก่ ออรี่ มาร์เมอร์, ไรอัน เรย์โนลด์ส, โจนาธาน โคแม็ค มาร์ติน, เดวิด ด็อบกิ้น, คีธ โกลด์เบิร์ก, ปีเตอร์ เอ็ม เลนคอฟ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย นีล เอช มอริทซ์, ไมก์ ริชาร์ดสัน, ไมเคิล ฟ็อตเทรลล์ R.I.P.D. สร้างจากหนังสือการ์ตูนของ ดาร์ก ฮอร์ส ที่สร้างสรรค์โดย ปีเตอร์ เอ็ม เลนคอฟ จากเรื่องที่คิดสร้างสรรค์โดย เดวิด ด็อบกิ้น และฟิล เฮย์ และแม็ตต์ แมนเฟรดี้ บทภาพยนตร์เป็นฝีมือของ ฟิล เฮย์ และแม็ตต์ แมนเฟรดี้  R.I.P.D. กำกับโดย โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ © 2013 Universal Studios.  www.RIPD.com

ประวัตินักแสดง

เจฟฟ์ บริดเจน (JEFF BRIDGES) รับบท รอย พัลไซเฟอร์

เจฟฟ์ บริดเจนคือหนึ่งในนักแสดงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในฮอลลีวู้ด และเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 6 รางวัล บทบาทการแสดงของเขาในภาพยนตรืเรื่อง Crazy Heart ทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ตัวแรกในชีวิต และยังทำให้เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลแซ็กอวอร์ด และอินดีเพนเด้นต์ สปิริต อวอร์ดด้วย

บริดเจสเริ่มได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกในปี 1971 ในสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ของ ปีเตอร์ บ็อกดาโนวิช เรื่อง The Last Picture Show สามปีต่อมา เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 2 ในสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ของ ไมเคิล ชิมิโน เรื่อง Thunderbolt and Lightfoot และในปี 1984 เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาดารานำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Starman ในปี 2000 เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งรางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 4 ในสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง The Contender

ในเดือนธันวาคม ปี 2010 บริดเจสได้กลับไปร่วมงานกับพี่น้องโคเอนในภาพยนตร์คาวบอยที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง True Grit ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 6 ในเดือนเดียวกันนั้น เขายังร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์แอ็กชั่นผจญภัยสามมิติที่ทุกคนรอคอยเรื่อง TRON: Legacy

บริดเจสจะมีผลงานใหม่ให้เห็นในภาพยนตร์ผจญภัยแฟนตาซีเรื่อง Seventh Son ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ จูลีแอนน์ มัวร์, เบน บาร์นส์ และคิท ฮาริงตัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงบทมาจากหนังสือเกี่ยวกับวัยรุ่นที่เรียนรู้ศิลปะของวิชาพ่อมดหลังจากที่รู้ว่าเขาคือลูกชายคนที่ 7 ของลูกชายคนที่ 7

ก่อนหน้า Crazy Heart บริดเจสร่วมแสดงในภาพยนตร์ตลกเกี่ยวกับสงครามของ แกรนท์ เฮสลอฟ เรื่อง The Men Who Stare at Goats ซึ่งเขาได้ร่วมแสดงกับ จอร์จ คลูนี่ย์, ยูเวน แม็คเกรเกอร์ และเควิน สเปซี่ย์

นอกจากนี้ บริดเจสยังแสดงนำในภาพยนตร์ของ HBO Films’/Picturehouse เรื่รอง A Dog Year และประกบบทกับ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง Iron Man

บริดเจสยังประกบบทร่วมงานกับ ไชอา ลาบัฟ ในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ เรื่อง Surf’s Up ก่อนหน้านั้น เขาได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Tideland ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ที่เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับ เทอร์รี่ กิลเลี่ยม

เขายังแสดงนำในภาพยนตร์ฮิตทำเงินหลายเรื่องด้วยกัน อาทิเช่น ภาพยนตร์ของ แกรี่ รอสส์ เรื่อง Seabiscuit; ภาพยนตร์ดราม่าเจืออารมณ์ขันของกิลเลี่ยม เรื่อง The Fisher King ซึ่งเขาได้ร่วมแสดงกับ โรบิน วิลเลี่ยมส์; ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากมายอย่าง The Fabulous Baker Boys ซึ่งเขาร่วมแสดงกับพี่ชายของเขา โบ บริดเจส และมิเชลล์ ไฟเฟอร์; Jagged Edge ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เกลนน์ โคลส; ภาพยนตร์ของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า เรื่อง Tucker: The Man and His Dream; Blown Away ซึ่งเขาร่วมแสดงกับพ่อผู้ล่วงลับ ลอยด์ บริดเจส และทอมมี่ ลี โจนส์; ภาพยนตร์ของปีเตอร์ เวียร์ เรื่อง Fearless และภาพยนตร์ของ มาร์ติน  เบลล์ เรื่อง American Heart ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เอ๊ดเวิร์ด เฟอร์ลอง

ในช่วงซัมเมอร์ปี 2004 บริดเจสร่วมแสดงกับ คิม เบซิงเจอร์ ในภาพยนตร์ของ ท็อดด์ วิลเลี่ยมส์ เรื่อง The Door in the Floor ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล อินดีเพนเด้นท์  สปิริต

บริดเจสยังรับบทนำในภาพยนตร์ของ อัลเบิร์ต บรูกส์ เรื่อง The Muse, ร่วมแสดงในภาพยนตร์ทริลเลอร์ของ มาร์ก เพลลิงตัน เรื่อง Arlington Road ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ ทิม ร็อบบิ้นส์ และโจแอน คูแซ็ค และแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Simpatico ซึ่งเขาประกบบทกับ ชารอน สโตน, นิค โนลเต้ และอัลเบิร์ต ฟินนี่ย์ และในปี 1998 เขาแสดงนำในภาพยนตร์ตลกของพี่น้องโคเอน เรื่อง The Big Lebowski ก่อนหน้านั้น เขาแสดงนำในภาพยนตร์ของ ริดลี่ย์ สก็อตต์ เรื่อง White Squall, ภาพยนตร์ของ วอลเตอร์ ฮิลล์ เรื่อง Wild Bill, ภาพยนตร์ของ จอห์น ฮุสตันเรื่อง Fat City และภาพยนตร์ตลกโรแมนติคของ บาร์บรา สตรัยแซนด์ เรื่อง The Mirror Has Two Faces

ผลงานการแสดงเรื่องอื่นๆ ของบริดเจส ได้แก่ How to Lose Friends & Alienate People, K-PAX, Masked and Anonymous, Stay Hungry, Bad Company, Against All Odds, Cutter’s Way, The Vanishing, Texasville, The Morning After, Nadine, Rancho Deluxe, See You in the Morning, 8 Million Ways to Die, The Last American Hero และ Hearts of the West

ไรอัน เรย์โนลด์ส (RYAN REYNOLDS) รับบท นิค วอล์กเกอร์

ไรอัน เรย์โนลด์ส ไต่เต้าจนกลายเป็นหนึ่งในดารานำชายซึ่งมีคนต้องการตัวมากที่สุด ในเดือนมีนาคม ปี 2013 เขาได้รับงานให้เสียงพากย์กับตัวละครเป็นครั้งแรก ด้วยการให้เสียงกับตัวละคร กาย ในภาพยนตร์แอนนิเมชั่นของ ดรีมเวิร์กส์ เรื่อง The Croods ภาพยนตร์เรื่งอนี้ทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $508 ล้าน เรย์โนลด์สได้เซ็นสัญญาร่วมงานในภาคต่อของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านั้น เรย์โนลด์สแสดงนำในภาพยนตร์แอ็กชั่น ทริลเลอร์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง Safe House ซึ่งเขาประกบบทกับ เดนเซล วอชิงตัน

ในปี 2011 เรย์โนลด์สแสดงนำร่วมกับ เจสัน เบ็ทแมน ในภาพยนตร์ตลกของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง The Change-Up ซึ่งบริษัท ดาร์ก ทริค ฟิล์มส์ ของเรย์โนลด์ส ร่วมอำนวยการสร้างอยู่ด้วย ในปีเดียวกันนั้น เขาแสดงนำในภาพยนตร์ของ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส เรื่อง Green Lantern

เรย์โนลด์สได้รับคำชมไปเต็มๆ กับบทบาทการแสดงในภาพยนตร์ลึกลับ/ ทริลเลอร์ เรื่อง Buried ตัวละครของเขา พอล คอนรอย คือผู้รับเหมาก่อสร้างที่ทำงานอยู่ในอิรัก และตื่นขึ้นมาในโลงศพที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน หลังจากที่เขาถูกโจมตีโดยกลุ่มชาวอิรัก

เรย์โนลด์สยังแสดงนำในภาพยนตร์ตลกโรแมนติคเรื่อง The Proposal ซึ่งเขาประกบบทกับ แซนดร้า บูลล็อค ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวทำรายได้เป็นอันดับ 1 และทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $315 ล้าน

ในปี 2009 เรย์โนลด์สรับบทเป็นเดดพูล ในภาพยนตร์เรื่อง X-Men Origins: Wolverine และในปีนั้นอีกเช่นกัน เรย์โนลด์สรับบทนำในภาพยนตร์ของ เกร็ก ม็อตโตล่า เรื่อง Adventureland ซึ่งเขาประกบบทกับ คริสเตน สจ๊วร์ต

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเรย์โนลด์ส ได้แก่ Paper Man และภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส/ เวิร์กกิ้ง ไทเทิ้ล เรื่อง Definitely, Maybe ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เรเชล ไวสซ์, อีสล่า ฟิสเชอร์, อาบิเกล เบรสลิน, เอลิซาเบธ แบงก์ส และเควิน ไคลน์

นอกจากนี้ เรย์โนลด์สยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ จอห์น ออกัสต์ เรื่อง The Nines, ภาพยนตร์ของ โจ คาร์นาแฮน เรื่อง Smokin’ Aces และภาพยนตร์ของ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง The Amityville Horror  และภาพยนตร์เรื่อง Blade: Trinity

เควิน เบคอน (KEVIN BACON) รับบท บ็อบบี้ เฮย์ส

เควิน เบคอนคือหนึ่งในนักแสดงแถวหน้าในกลุ่มนักแสดงรุ่นราวคราวเดียวกัน เขารับแสดงทั้งในบทนำและบทสมทบ ทั้งในแวดวงภาพยนตร์และละครเวที ซึ่งทำให้เขาได้สั่งสมผลงานการแสดงที่มีความหลากหลาย เบคอนเริ่มประเดิมงานแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกโดยรับบท ชิป ในเรื่อง National Lampoon’s Animal House ซึ่งชักนำเขาไปสู่การรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Diner และ Footloose โดยเฉพาะผลงานเรื่องหลัง ส่งให้ชื่อของเขากลายเป็นดาราดังขึ้นมาในทันตา

ผลงานภาพยนตร์ของเบคอน ได้แก่ ภาพยนตร์ของ จอห์น ฮิวส์ เรื่อง She’s Having a Baby; The Big Picture; Tremors; Flatliners; ภาพยนตรของ โอลิเวอร์ สโตน เรื่อง JFK; ภาพยนตร์ของ ร็อบ ไรเนอร์ เรื่อง A Few Good Men; The River Wild ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม; Murder in the First; ภาพยนตร์คว้ารางวัลของ รอน ฮาวเวิร์ด เรื่อง Apollo 13; Balto; ภาพยนตร์ของ แบร์รี่ เลอวินสัน เรื่อง Sleepers ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ แบร็ด พิตต์ และโรเบิร์ต เดอ นีโร; Picture Perfect ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน; Telling Lies in America; Wild Things; ภาพยนตร์ของ เดวิด โคปป์ เรื่อง Stir of Echoes; ภาพยนตร์ฮิตเรื่อง My Dog Skip; Hollow Man; Trapped ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ ชาร์ลิซ เธียรอน; ภาพยนตร์คว้ารางวัลของ คลิ้นต์ อีสต์วู้ด เรื่อง Mystic River; Beauty Shop; ภาพยนตร์ของ อะตอม อีโกแยน เรื่อง Where the Truth Lies; The Air I Breathe; Death Sentence; Rails & Ties; My One and Only; ภาพยนตร์ของ เจมส์ กันน์ เรื่อง Super และ Frost/Nixon ในปี 2004 เบคอนยังแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง The Woodsman ภาพยนตร์ดราม่าที่ได้รับคำชมจากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์และเมืองคานส์ เมื่อเร็วๆ นี้ เบคอนร่วมแสดงกับ ไรอัน กอสลิ่ง และสตีฟ คาเรลล์ ในภาพยนตร์เรื่อง Crazy, Stupid, Love และภาพยนตร์ของ แมทธิว วอห์น เรื่อง X-Men: First Class ผลงานใหม่ของเบคอน ได้แก่ ภาพยนตร์ของ บิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตัน เรื่อง Jayne Mansfield’s Car

แมรี่-หลุยส์ พาร์คเกอร์ (MARY-LOUISE PARKER) รับบท พร็อคเตอร์

แมรี่-หลุยส์ พาร์คเกอร์ รับบทเป็น แนนซี่ บ็อทวิน ในผลงานของโชว์ไทม์ เรื่อง Weeds ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ เมื่อเร็วๆ นี้ คนดูได้เห็นพาร์คเกอร์ในภาพยนตร์แอ็กชั่นตลกสุดฮิตเรื่อง Red ซึ่งเธอแสดงประกบบทกับ บรูซ วิลลิส และจอห์น มัลโควิช ผลงานใหม่ของเธอยังรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง Red 2, Jamesy Boy และ Behaving Badly

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอ ได้แก่ ภาพยนตร์ตลก เรื่อง Saved! และ Romance & Cigarettes ซึ่งเขียนบทและกำกับโดย จอห์น เทอร์เทอร์โร่ พาร์คเกอร์ยังรับบทนำในภาพยนตร์ต่อไปนี้ Longtime Companion, Grand Canyon, Fried Green Tomatoes, Naked in New York, The Client, Bullets Over Broadway, Boys on the Side, Reckless, The Five Senses, Pipe Dream, Red Dragon, The Best Thief in the World, The Spiderwick Chronicles, Solitary Man และ Howl

สเตฟานี่ โซสตาก (STEPHANIE SZOSTAK) รับบท จูเลีย วอล์กเกอร์

สเตฟานี่ โซสตาก คือนักแสดงหญิงมากความสามารถที่มาพร้อมเสน่ห์ในตัว และกำลังไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งหนึ่งในดารานำหญิงของฮอลลีวู้ด เมื่อเร็วๆ นี้ โซสตากที่เป็นนักแสดงชาวฝรั่งเศส ได้ร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ของ มาร์เวล เรื่อง Iron Man 3 ทำให้เธอได้ประกบบทกับ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์; ภาพยนตร์ของ คาเมรอน โครว์ เรื่อง We Bought a Zoo ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ แม็ตต์ เดม่อน; ภาพยนตร์ของ รอน เคร้าสส์ เรื่อง Gimme Shelter ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ วาเนสซ่า ฮัดเจ้นส์, เบรนแดน เฟรเซอร์ และโรซาริโอ ดอว์สัน และการรับบทนำในภาพยนตร์ของ เจย์ โร้ช เรื่อง Dinner for Schmucks ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ พอล รัดด์, สตีฟ คาเรลล์ และแซ็ค กาลิเฟียนาคิส ปัจจุบัน เธออยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์อินดี้แนวตลก เรื่อง Hit by Lightning โดยร่วมแสดงกับ จอน ครายเออร์

ในปี 2006 โซสตากรับบทเป็น บ.ก. Vogue ชาวฝรั่งเศส ในภาพยนตร์ตลกของ เดวิด แฟรงเกล เรื่อง The Devil Wears Prada ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ เมอริล สตรีพ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอ ได้แก่ The Rebound ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ แคเธอรีน ซีต้า-โจนส์; ภาพยนตร์ตลกของอิตาลี เรื่อง Four Single Fathers; Motherhood ซึ่งนำแสดงโดย อูม่า เธอร์แมน และ The Good Heart ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ ไบรอัน ค็อกซ์

ไมก์ โอมอลลี่ย์ (MIKE O’MALLEY) รับบท เอลเลียต

ไมก์ โอมอลลี่ย์ มีผลงานทั้งในแวดวงภาพยนตร์จอเงิน จอแก้ว และละครเวที ปัจจุบัน เขารับบทนำในซีรีส์ทางทีวีที่ได้รับคำชมเรื่อง Glee โดยรับบท เบิร์ต ฮัมเมล พ่อของลูกชายที่เป็นเกย์ ซึ่งรับบทโดย คริส โคลเฟอร์

เมื่อเร็วๆ นี้ โอมอลลี่ย์ร่วมแสดงในภาพยนตร์แอ็กชั่น/ ตลก ของ ทอม วอห์น เรื่อง So Undercover ซึ่งนำแสดงโดย ไมลี่ย์ ไซรัส, เจเรมี่ ไพเว่น และเคลลี่ ออสบอร์น เขายังร่วมแสดงกับ ซีกอร์นี่ย์ วีเวอร์, เอ๊ด เฮล์มส์ และจอห์น ซี ไรลลี่ย์ ในภาพยนตร์เรื่อง Cedar Rapids ที่ได้รับคำชมอย่างท่วมท้นในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ในปี 2011

โอมอลลี่ย์ยังร่วมแสดงกับ จูเลีย โรเบิร์ตส์ ในภาพยนตร์ปี 2010 เรื่อง Eat, Pray, Love ปัจจุบัน โอมอลลี่ย์อยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ของ ปีเตอร์ แอสกิ้น เรื่อง A Good Marriage ซึ่งนำแสดงโดย โจแอน อัลเลน และแอนโธนี่ ลาพาเกลีย และเขียนบทโดย สตีเฟ่น คิง

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของโอมอลลี่ย์ ได้แก่ Leatherheads, 28 Days, Pushing Tin, The Perfect Man, Parks and Recreation, Raising Hope, My Name Is Earl, Yes, Dear และ Life With Roger

มาริสา มิลเลอร์ (MARISA MILLER) รับบทร่างอวตารของรอย

มาริสา มิลเลอร์ประเดิมงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในภาพยนตร์เรื่อง R.I.P.D. ก่อนหน้าที่จะมาแสดงภาพยนตร์ มิลเลอร์คือซูเปอร์โมเดลที่เคยขึ้นปกนิตยสารชื่อดังมากมายทั่วโลก และยังเป็นนางแบบให้งานโฆษณาดังๆ อีกหลายชิ้น

ในปี 2008 มิลเลอร์ได้เป็นนางแบบขึ้นปกนิตยสาร Sports Illustrated ฉบับชุดว่ายน้ำ และยังติดอันดับ 1 ของ 100 สาวฮ็อตของนิตยสาร Maxim และยังกลายเป็นนางแบบของวิคตอเรียส์ ซีเคร็ทที่มีชื่อเสียงที่สุดด้วย มิลเลอร์เคยร่วมแสดงในผลงานของ HBO เรื่อง Entourage, ผลงานของ CBS เรื่อง How I Met Your Mother และ Gary Unmarried

เจมส์ หง (JAMES HONG) รับบทร่างอวตารของนิค

เจมส์ หง ทำงานอยู่ในฮอลลีวู้ดมานานเกือบ 6 ทศวรรษ โดยมีผลงานทางจอเงินและจอแก้วมากกว่า 500 เรื่อง ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมาของเขา ได้แก่ Big Trouble in Little China, Flower Drum Song, Battle Hymn, Blade Runner, Wayne’s World 2, The Day the Earth Stood Still, Chinatown, Balls of Fury และเมื่อเร็วๆ นี้ เขายังให้เสียงพากย์เป็น มิสเตอร์ปิง ในภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Kung Fu Panda และ Kung Fu Panda 2

 ประวัติทีมผู้สร้าง

โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ (ROBERT SCHWENTKE) – ผู้กำกับ

โรเบิร์ต ชเวนท์เก้เกิดและเติบโตในเยอรมัน เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์แอ็กชั่นตลกเรื่อง Red ซึ่งนำแสดงโดย บรูซ วิลลิส และแมรี่-หลุยส์ พาร์คเกอร์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ The Time Traveler’s Wife ซึ่งนำแสดงโดย เรเชล แม็คอดัมส์ และเอริค บาน่า และภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่อง Flightplan ซึ่งนำแสดงโดย โจดี้ ฟอสเตอร์ และปีเตอร์ ซาร์สการ์ด ในปี 2002 ชเวนท์เก้ประเดิมงานสร้างภาพยนตร์เรื่องแรก ด้วยภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่อง Tattoo ซึ่งคว้ารางวัล International Fantasy Film Award ที่งานแฟนแทสพอร์โต้ หนึ่งปีต่อมา เขาเริ่มต้นงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Family Jewels ซึ่งเป็นภาพยนตร์ตลกเสียดสีเกี่ยวกับมะเร็ง

ปีเตอร์ เอ็ม เลนคอฟ (PETER M. LENKOV) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

ปีเตอร์ เอ็ม เลนคอฟ ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับผลงานภาพยนตร์จอเงินและจอแก้วมานานเกือบ 20 ปี ปัจจุบัน เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับซีรีส์สุดฮิตของ CBS เรื่อง Hawaii Five-O และก่อนหน้านี้ เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับ CSI: NY ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัล Media Access Award

เลนคอฟยังทำหน้าที่เขียนบทและอำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์หลายเรื่อง ได้แก่ Demolition Man ซึ่งนำแสดงโดย ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน และแซนดร้า บูลล็อค, Son in Law และ Jury Duty

 

ฟิล เฮย์ และแม็ตต์ แมนเฟรดี้ (PHIL HAY & MATT MANFREDI) – ผู้คิดสร้างเรื่องและเขียนบท

ฟิล เฮย์ และแม็ตต์ แมนเฟรดี้ สร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะคู่หูมือเขียนบทที่มีฝีมือการเขียนบทที่หลากหลาย มีทั้งผลงานแนวตลก ดราม่า และแอ็กชั่น ไซไฟ แฟนตาซี ก่อนหน้า R.I.P.D. เฮย์และแมนเฟรดี้เป็นผู้เขียนบทให้กับภาพยนตร์รีเมก ปี 2010 เรื่อง Clash of the Titans หนึ่งในภาพยนตร์ฮิตมากที่สุดของปี โดยสามารถทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $500 ล้าน ทั้งคู่ประเดิมงานเขียนบทชิ้นแรกในปี 2001 ด้วยภาพยนตร์ดราม่าที่ได้รับคำชมเรื่อง Crazy/Beautiful ซึ่งนำแสดงโดย เคิร์สเตน ดันสต์ แมนเฟรดี้ยังเขียนบท โดยมีเฮย์ร่วมกำกับภาพยนตร์ตลกปี 2002 เรื่อง Bug และในปี 2005 เฮย์และแมนเฟรดี้เขียนบทภาพยนตร์เอพิคแนวไซไฟ เรื่อง Aeon Flux

สำหรับผลงานใหม่ของพวกเขา เฮย์และแมนเฟรดี้เขียนบทให้กับภาพยนตร์ของ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง Ride Along ซึ่งนำแสดงโดย เควิน ฮาร์ต และไอซ์ คู้บ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเปิดตัวฉายในวันที่ 17 มกราคม ปี 2014 ปัจุจบัน พวกเขาอยู่ระหว่างการเขียนบทภาพยนตร์ภาคต่อให้กับ Ride Along และอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Invitation ภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่พวกเขาเขียนบท และได้ คาริน คูซาม่าเป็นผู้กำกับ

 

นีล เอช มอริทซ์ (NEAL H. MORITZ, p.g.a.) – ผู้อำนวยการสร้าง

นีล เอช มอริทซ์ คือผู้ก่อตั้งบริษัท ออริจินัล ฟิล์ม และเขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์มากมายหลายเรื่องตลอดระยะเวลากว่าสามทศวรรษ เมื่อเร็วๆ นี้ ออริจินัลฟิล์มได้เปิดตัวฉายภาพยนตร์เรื่อง Fast & Furious 6 ซึ่งนำแสดงโดย วิน ดีเซล, พอล วอล์กเกอร์ และดเวย์น จอห์นสัน และกำกับโดย จัสติน ลิน; ภาพยนตร์ของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส เรื่อง Jack the Giant Slayer ที่กำกับโดย ไบรอัน ซิงเกอร์ และภาพยนตร์เรื่อง Dead Man Down ซึ่งนำแสดงโดย โคลิน ฟาร์เรลล์ และนูมี่ ราเพซ และกำกับโดย นีลส์ อาร์เดน อ็อปเลอร์ (The Girl With the Dragon Tattoo เวอร์ชั่นสวีเดน) ผลงานภาพยนตร์ของมอริทซ์ในปี 2013 ยังรวมถึงภาพยนตร์รีเมก เรื่อง Highlander และ Invertigo ซึ่งกำกับโดย ดีเจ คารูโซ่ มอริทซ์มีผลงานภาพยนตร์มากกว่า 50 เรื่อง อาทิเช่น Total Recall, 21 Jump Street, The Change-Up, Battle: Los Angeles, The Green Hornet, The Fast and the Furious franchise, I Am Legend, XXX, S.W.A.T., Made of Honor, Gridiron Gang, The Bounty Hunter, Evan Almighty, Sweet Home Alabama, Click, Vantage Point, Out of Time, Blue Streak, Cruel Intentions, I Know What You Did Last Summer, The Skulls, Volcano, Urban Legend และ Juice

 

ไมก์ ริชาร์ดสัน (MIKE RICHARDSON) – ผู้อำนวยการสร้าง

ไมก์ ริชาร์ดสัน คือประธานและผู้ก่อตั้งดาร์ก ฮอร์ส คอมิคส์ สำนักพิมพ์ที่เขาก่อตั้งขึ้นในปี 1986 ริชาร์ดสันยังเป็นประธานบริษัท ดาร์ก ฮอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งทำให้เขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์จอเงินและจอแก้วหลายเรื่อง นอกจาก Hellboy II: The Golden Army, My Name Is Bruce และ Mystery Men แล้ว เขายังอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Mask และ Timecop

ไมเคิล ฟ็อตเทรลล์ (MICHAEL FOTTRELL) – ผู้อำนวยการสร้าง

เมื่อเร็วๆ นี้ ไมเคิล ฟ็อตเทรลล์ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์โกยเงินถล่มทลายเรื่อง Fast Five ซึ่งนำแสดงโดย วิน ดีเซล, พอล วอล์กเกอร์ และดเวย์น จอห์นสัน และกำกับโดย จัสติน ลิน เขาเคยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง อาทิเช่น Fast & Furious ซึ่งนำแสดงโดย ดีเซล และวอล์กเกอร์; Charlie St. Cloud ซึ่งนำแสดงโดย แซ็ค เอฟรอน; Live Free or Die Hard ซึ่งนำแสดงโดย บรูซ วิลลิส; You, Me and Dupree ซึ่งนำแสดงโดย แม็ตต์ ดิลล่อน และเคท ฮัดสัน; Herbie Fully Loaded ซึ่งนำแสดงโดย ลินด์ซี่ย์ โลแฮน; 2 Fast 2 Furious ซึ่งนำแสดงโดย วอล์กเกอร์ และไทรีส กิ๊บสัน; Catwoman ซึ่งนำแสดงโดย ฮัลลี่ เบอร์รี่; Sweet Home Alabama ซึ่งนำแสดงโดย รีส วิเธอร์สปูน; Sorority Boys; The New Guy; Rock Star; Blue Streak; Cruel Intentions และภาคต่อ A Very Brady

นอกจากจะทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างแล้ว ฟ็อตเทรลล์ยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดการกองถ่ายให้กับภาพยนตร์เรื่อง Mighty Joe Young, Volcano, Crimson Tide, Gross Anatomy, Warlock และ Shy People

 

ออรี่ มาร์เมอร์ (ORI MARMUR) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

ออรี่ มาร์เมอร์คือผู้บริหารอาวุโสของ ออริจินัล ฟิล์ม เมื่อเร็วๆ นี้ เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ผจญภัยเรื่อง Jack the Giant Slayer ซึ่งกำกับโดย ไบรอัน ซิงเกอร์; The Change-Up ซึ่งแสดงนำโดยไรอัน เรย์โนลด์ส และเจสัน เบ็ทแมน และภาพยนตร์ของโจนาธาน ลีเบสแมน เรื่อง Battle: Los Angeles มาร์เมอร์ยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Dead Man Down ซึ่งนำแสดงโดย โคลิน ฟาร์เรลล์ และนูมี่ ราเพซ; ภาพยนตร์ของ มิเชล กอนดรี้ เรื่อง The Green Hornet ซึ่งนำแสดงโดย เซ็ธ โรเก้น และเรื่อง The Bounty Hunter ซึ่งนำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน และเจอราร์ด บัทเลอร์

มาร์เมอร์ยังมีผลงานอีกหลายเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินงานสร้าง อาทิเช่น “The Boys” ที่ดัดแปลงจากนิยายภาพ และกำกับโดย อัม แม็คเคย์; ภาพยนตร์ตลกเรื่อง Road to Nardo ที่กำกับโดย สก็อต อาร์มสตรอง และ A Complete History of My Sexual Failures ที่กำกับโดย เจย์ โร้ช และ Doc Savage ที่เขียนบทและกำกับโดย เชน แบล็ค

 

คีธ โกลด์เบิร์ก (KEITH GOLDBERG) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

คีธ โกลด์เบิร์กคือรองประธานอาวุโสฝ่ายโปรดักชั่นของ ดาร์ก ฮอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์ โดยปัจจุบัน เขาทำหน้าที่ดูแลงานสร้างของภาพยนตร์หลายเรื่องด้วยกัน อาทิเช่น ภาพยนตร์ของ เดวิด เย็ทส์ เรื่อง Tarzan และภาพยนตร์ของ เชน แอ็คเกอร์ เรื่อง Beasts of Burden

โกลด์เบิร์กยังเคยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ตลก เรื่อง Furry Vengeance ซึ่งนำแสดงโดย เบรนแดน เฟรเซอร์ เขายังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง 17 Again ซึ่งนำแสดงโดย แซ็ค เอฟรอน เขายังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Number 23 ซึ่งนำแสดงโดย จิม แคร์รี่ย์; Rendition ซึ่งนำแสดงโดย รีส วิเธอร์สปูน และเจก จิลเลนฮาล และ Cellular ซึ่งนำแสดงโดย คิม เบซิงเจอร์ และคริส อีแวนส์

 

โจนาธาน โคแม็ค มาร์ติน (JONATHON KOMACK MARTIN) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

โจนาธาน โคแม็ค มาร์ตินคือหุ้นส่วนอำนวยการสร้างในบริษัท ดาร์ก ทริค ฟิล์มส์ ของ ไรอัน เรย์โนลด์ส เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์ทุกเรื่องของดาร์กไฟเออร์ โปรดักชั่นส์ ซึ่งผลิตผลงานป้อนทางทีวี มาร์ตินยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Change-Up ซึ่งนำแสดงโดย เรย์โนลด์ส และเจสัน เบ็ทแมน

 

เดวิด ด็อบกิ้น (DAVID DOBKIN) – ผู้คิดสร้างเรื่อง/ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

เดวิด ด็อบกิ้นเป็นผู้พลิกฟื้นความนิยมในภาพยนตร์ตลกเรต  “R” เมื่อเขากำกับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ประจำซัมเมอร์ปี 2005 เรื่อง Wedding Crashers ซึ่งนำแสดงโดย วินซ์ วอห์น และโอเว่น วิลสัน ด็อบกิ้นยังกำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์ตลก ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ในปี 2011 เรื่อง The Change-Up ซึ่งนำแสดงโดย ไรอัน เรย์โนลด์ส, เจสัน เบ็ทแมน และโอลิเวีย ไวลด์ เมื่อเร็วๆ นี้ เขาทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ของ ไบรอัน ซิงเกอร์ เรื่อง Jack the Giant Slayer

ด็อบกิ้นประเดิมงานกำกับเรื่องแรกในปี  1998 ด้วยภาพยนตร์ตลกเสียดสี เรื่อง Clay Pigeons ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้ร่วมงานกับวอห์น ด็อบกิ้นยังได้พิสูจน์ฝีมือในการผสมผสานงานแอ็กชั่นเข้ากับอารมณ์ขัน ในภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Shanghai Knights ภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง Shanghai Noon ซึ่งทำให้ โอเว่น วิลสัน ได้กลับมาร่วมงานกับ แจ็คกี้ ชาน และในปี 2008 ด็อบกิ้นได้กลับมาร่วมทีมกับวอห์นอีกครั้งในภาพยนตร์ตลกช่วงคริสต์มาส เรื่อง Fred Claus

 

อัลวิน คุชเลอร์ (ALWIN KÜCHLER, BSC) – ผู้กำกับภาพ

อัลวิน คุชเลอร์ได้รับรางวัล British Independent Film Award จากผลงานชิ้นแรกที่เขาทำหน้าที่เป็นผู้กำกับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง Ratcatcher เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้ร่วมงานกับ เควิน แม็คโดนัลด์ ในภาพยนตร์สารคดี เรื่อง Marley ปัจจุบัน คุชเลอร์อยู่ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง  Divergent ให้กับผู้กำกับ นีล เบอร์เกอร์

หลังจาก Ratcatcher คุชเลอร์ยังได้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับภาพให้กับภาพยนตร์ของ เควิน แม็คโดนัลด์ เรื่อง One Day in September ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม, ภาพยนตร์ของ ไมเคิล วินเทอร์บ็อทท่อม เรื่อง The Claim และเรื่อง Code 46; ภาพยนตร์ของ โจ ไรท์ เรื่อง Hanna; ภาพยนตร์ของ โรเจอร์ มิเชลล์ เรื่อง The Mother และ Morning Glory; ภาพยนตร์ที่สร้างสำหรับฉายทางทีวีของ สตีเฟ่น เฟรียร์ส เรื่อง The Deal; ภาพยนตร์ของ จอห์น แม็ดเด้น เรื่อง Proof; ภาพยนตร์ของ แดนนี่ บอยล์ เรื่อง Sunshine; ภาพยนตร์ของ ปีเตอร์ แค็ททานีโอ เรื่อง Lucky Break; ภาพยนตรของ เดเมี่ยน โอดอนเนลล์ เรื่อง  Heartlands; ภาพยนตร์ของ ไบรอัน คอปเพลแมน และเดวิด ลีเวียน เรื่อง Solitary Man และภาพยนตร์ของ แรมเซย์ เรื่อง Morvern Callar

 

อเล็ค แฮมมอนด์ (ALEC HAMMOND) – โปรดักชั่น ดีไซเนอร์

อเล็ค แฮมมอนด์เคยร่วมงานกับผู้กำกับ โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Red และ Flightplan และซีซั่นแรกของซีรีส์เรื่อง Lie to Me แฮมมอนด์ยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับ/ มือเขียนบท ริชาร์ด เคลลี่ อยู่เป็นประจำ ล่าสุด เขาเป็นผู้ออกแบบฉากให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Box ซึ่งเป็นผลงานเรื่องที่ 3 แล้วที่พวกเขาร่วมมือกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยออกแบบโปรดักชั่นให้กับภาพยนตร์เรื่อง Donnie Darko, ภาพยนตร์ดราม่าโลกอนาคต เรื่อง Southland Tales, ภาพยนตร์ทริลเลอร์ เรื่อง Man on a Ledge,  ภาพยนตร์ดราม่าอาชญากรรมของ เดวิด อาเยอร์ เรื่อง Street Kings, ภาพยนตร์ตลกโรแมนติคในปี 2010 ของ อลัน โพล เรื่อง The Back-Up Plan, ภาพยนตร์ของ ร็อด ลูรี่ เรื่อง The Contender, ภาพยนตร์ของ ฟอร์เรสต์ วิเทเกอร์ เรื่อง First Daughter และภาพยนตร์ที่ผสมผสานการแสดงของคนเข้ากับงานแอนิเมชั่น เรื่อง Garfield

 

มาร์ก เฮลฟริช (MARK HELFRICH, ACE) – ผู้ลำดับภาพ

มาร์ก เฮลฟริชเคยทำหน้าที่ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ฮิตมากมายอาทิเช่น X-Men: The Last Stand, Four Christmases, Rush Hour, Rush Hour 2, Rush Hour 3, Tower Heist, Red Dragon, The Family Man, Money Talks, Predator, Rambo: First Blood Part II และ Scary Movie ในปี 2007 เฮลฟริชประเดิมงานกำกับชิ้นแรกด้วยภาพยนตร์เรื่อง Good Luck Chuck เขายังได้กำกับหลายตอนของซีรีส์ดังอย่าง Prison Break และ Bones

 

ซูซาน ไลออลล์ (SUSAN LYALL) – ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย

ซูซาน ไลออลล์เดินทางมาถึงนิวยอร์กในปี  1981 เพื่อไล่ล่าความฝันในฐานะแฟชั่นดีไซเนอร์

ต่อมา เธอได้เริ่มต้นงานในแวดวงละครเวที ซึ่งนำเธอมาสู่งานออกแบบในโลกภาพยนตร์อินดี้ของนิวยอร์ก หลายปีต่อมา ไลออลล์มีโอกาสได้ทำงานกับผู้กำกับ  โรเบิร์ต ชเวนท์เก้ ในภาพยนตร์เรื่อง Flightplan ซึ่งนำแสดงโดย โจดี้ ฟอสเตอร์ นอกจากนี้ เธอยังได้ร่วมงานกับชเวนท์เก้ในภาพยนตร์เรื่อง Red ด้วย

นอกจากจะเคยได้ร่วมงานกับชเวนท์เก้และฟอสเตอร์แล้ว เธอยังได้ร่วมงานกับ สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก ในภาพยนตร์เรื่อง Side Effects และ King of the Hill;  ได้ร่วมงานกับโจนาธาน เด็มมี่ (Rachel Getting Married); เกร็ก ม็อตโตล่า (Clear History); เดวิด มาเม็ต (The Spanish Prisoner, State and Main); ไมเคิล เอ็บต์ (Thunderheart, Blink, Nell, Extreme Measures) และอัลเลน คูลเตอร์  (Remember Me)

 

คริสโตฟี่ เบ็ค (CHRISTOPHE BECK) – ผู้แต่งดนตรีประกอบ

คริสโตฟี่ เบ็คคือผู้ประพันธ์ดนตรีที่เคยคว้ารางวัล Primetime Emmy Award มาแล้ว และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาเป็นผู้แต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์ตลกฮิตหลายเรื่อง ได้แก่ The Muppets, The Muppets…Again!, ภาพยนตร์ตลกไตรภาค The Hangover , Tower Heist, The Watch, Pitch Perfect, Crazy, Stupid, Love,, Red, Due Date และ Date Night เบ็คยังแต่งดนตรีประกอบที่สร้างอารมณ์ให้กับภาพยนตร์ อย่าง We Are Marshall, Percy Jackson & the Olympians: The Lightning Thief, Elektra, The Sentinel, Under the Tuscan Sun, Year of the Dog, Phoebe in Wonderland, Saved! และภาพยนตร์สารคดีคว้ารางวัลเรื่อง Waiting for “Superman” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเบ็ค ได้แก่ ภาพยนตร์ของ ชอว์น เลวี่ เรื่อง The Internship ซึ่งนำแสดงโดย วินซ์ วอห์น และโอเว่น วิลสัน; ภาพยนตร์ของ แอนน์ เฟล็ทเชอร์ เรื่อง The Guilt Trip ซึ่งนำแสดงโดย บาร์บรา สตรัยแซนด์ และเซ็ธ โรเก้น; ภาพยนตร์สั้นที่คว้ารางวัลออสการ์ เรื่อง Paperman และภาพยนตร์อินดี้แนวดราม่า เรื่อง The Necessary Death of Charlie Countryman ซึ่งนำแสดงโดยไชอา ลาบัฟ