พระนเรศวรกรีฑาทัพบุกเข้าตีตองอูเปลี่ยนเกมรับเป็นเกมรุก
เปิดชนวนศึก 3 เส้า อโยธยา, หงสาวดี สู่การถ่ายโอนอำนาจใหม่แห่งพุกาม
ชนวนศึกสงครามที่ยังคงดำเนินต่อภายหลังการสิ้นสุดมหาศึกคชยุทธ์ของ 2 แผ่นดินใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคยุทธหัตถี ที่หลายคนอาจะลืมไปแล้วว่า กว่าแผ่นดินอยุธยาจะร่มเย็นสืบเนื่องมาอีกเกือบ 200 ปี นับได้ราว3ชั่วอายุคน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พร้อมด้วยเหล่าสหายศึกบรรพชนผู้หาญกล้า ยังคงต้องเสียสละเลือดเนื้อไปอีกสักเท่าไหร่ ในขณะที่ยังทรงต้องรับมือกับการก้าวขึ้นมาเรืองอำนาจของเหล่าอาณาจักรต่างๆ ที่พร้อมท้าทายอโยธยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดพลิกผันครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของการถ่ายเทอำนาจ จากหงสาวดีที่เคยรุ่งเรืองอย่างถึงขีดสุดถึงกลับมาล้มสลายหายไปจากพุกามประเทศ
ใน “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา” ภาคปิดส่งท้ายตำนานอันยิ่งใหญ่ขององค์พระมหากษัตริย์ยอดนักรบ โดยมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นมากมาย ผู้ชมจะได้พบกับการขึ้นมาเรืองอำนาจของ เกตุมวดีตองอู อีกหนึ่งอาณาจักรที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคนี้
พร้อมกับตัวละครใหม่ๆ อย่าง เมงเยสีหตู (นิรุตต์ ศิริจรรยา) ผู้ครองอาณาจักรตองอู ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระอนุชาร่วมบิดาบุเรงนองผู้ชนะสิบทิศ เฉกเช่นเดียวกันกับพระเจ้านันทบุเรง พร้อมพระนางเมงเกงสอ พระมเหสี (รัชนี ศิระเลิศ) ผู้เต็มไปด้วยเล่ห์กลอุบายอันแยบยล และราชบุตรที่พร้อมจะขึ้นมาเป็นใหญ่อย่าง นัดจินหน่อง (นาวาอากาศโทจงเจต วัชรานนท์) โดยมีมหาเถรเสียมเพรียม (สะอาด เปี่ยมพงษ์สานต์) ซึ่งเปรียบได้กับพระมหาเถรคันฉ่อง ผู้รอบรู้ทั้งเรื่องการศึกการสงคราม การมองการณ์ไกล คอยผลักดันให้ตองอูขึ้นมาทัดเทียมและอยู่เหนือหงสาวดี
อันนำไปสู้ศึก 3 เส้าที่เกี่ยวโยงกับ แผ่นดินอโยธยา,หงสาวดีและตองอู ที่ส่งผลให้สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ พร้อมไพร่พลอโยธยาต้องออกกรำศึกต่อเนื่อง นำไปสู่การยกพลเข้าบุกตีอาณาจักรตองอูในเวลาต่อมา ก่อให้เกิดกลยุทธ์การทำศึกสงครามในเชิงรุกของฝั่งไทย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วอโยธยาจะเป็นฝ่ายตั้งรับศึกจากพม่าแทบทั้งสิ้น สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นกษัตริย์นักรบที่มีความเต็มเปี่ยมในหัวใจทั้ง มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และกล้าหาญ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงรู้ว่าการศึกครั้งนี้มีอุปสรรคมากมาย อย่าพลาดชม 9 เม.ย.นี้ มาร่วมปิดตำนานพร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์