HIGHLIGHT CONTENT

บทสัมภาษณ์ "มาริโอ้ จาก จันดารา ปฐมบท"

  • 10,831
  • 17 ส.ค. 2012

บทสัมภาษณ์ “มาริโอ้ เมาเร่อ” กับการพลิกบทบาทครั้งสำคัญอันคาดไม่ถึง ในภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรม “จันดารา”

บทบาท-คาแร็คเตอร์

“จัน” จะเป็นคนค่อนข้างที่จะเรียบร้อยและเก็บความรู้สึกครับ เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาแม่ก็เสียชีวิตไปเลยครับ เป็นคนที่จมอยู่กับความผิดของตัวเอง เพราะถูกคุณหลวง-พ่อของจันเองทำร้ายมาโดย เพราะอาฆาตแค้นที่ทำให้แม่ต้องตาย แต่ตัวจันเองเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ เรียนหนังสือเก่ง จันเป็นคนที่มองอะไรสวยไปหมด เป็นคนที่มีความเป็นศิลปินค่อนข้างสูง เป็นอาร์ติสชอบวาดรูปด้วย เป็นคนที่มองอะไรแล้วสวยกว่าคนอื่นไปหมด โดยรวมแล้วชีวิตของจันพูดได้ว่ายิ่งกว่าละครครับ เพราะว่าชีวิตผ่านอะไรมาเยอะมากตั้งแต่เด็กๆ กระทั่งโตไปจนแก่ มีเหตุการณ์ในชีวิตให้พลิกผันอยู่ตลอด จันจะมีเพื่อนซี้ที่เป็นทั้งพี่ทั้งเพื่อนนั่นคือเคน กระทิงทอง ก็จะไปไหนมาไหนด้วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเสมอครับ

ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าได้แสดงนำในเรื่องนี้

ครั้งแรกที่โอ้ได้รู้ว่าหม่อมทำเรื่องนี้ โอ้ก็เชื่อมั่นและรู้ว่าหม่อมมีแง่มุมต่างๆ ที่ต้องการจะนำเสนออยู่แล้ว มันเป็นบทที่ท้าทายฝีมือการแสดงของเรา คือไม่ต้องคิดเยอะเลยครับ หม่อมเสนอมาโอ้ก็รับเล่นเลย จากเรื่องที่แล้วเนี่ยมันคนละด้านกันเลย เรื่อง ‘จันดารา’ นี้จะเป็นมนุษย์จริงๆ มีทั้งด้านดีและร้าย มีหลากหลายอารมณ์ที่ต้องแสดงและเป็นตัวดำเนินเรื่องไปตลอด ต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มยันแก่เลย ตัวละครของโอ้จะต้องเจออะไรที่แตกต่างไปตามช่วงอายุ มุมมองความคิด และเหตุผลของการกระทำก็จะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุ ก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตเราอายุเท่านี้จะได้เล่นบทบาทที่มันท้าทายความสามารถขนาดนี้ และยากมากที่จะได้รับโอกาสดีๆ อย่างนี้ ทำให้โอ้ต้องหมั่นฝึกฝนและเข้าคลาสกับหม่อมอย่างหนักมาก นี่เป็นบทที่ดีมากจริงๆ ครับ

การเตรียมตัวก่อนการแสดงและการเข้าถึงบทบาทนี้

การเตรียมตัวก่อนการแสดงเรื่องนี้ก็เหมือนที่โอ้ได้เคยทำงานกับหม่อมคือต้องมีการอ่านบทก่อนและก็ซ้อมการแสดง มีการ Read Through และก็เล่นกันจริงๆ กับทีมนักแสดงด้วย มันเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุด เพราะมันทำให้เรามั่นใจและก็หาคาแร็คเตอร์ง่ายขึ้นด้วยครับ เพราะเราได้เล่นกับคาแร็คเตอร์ตัวละครอื่นๆ ด้วย เราจะได้รู้ว่ารับส่งกันยังไงด้วยครับ ทำให้ตอนที่เราไปถ่ายจริงมันลื่นไหลมากเพราะเราจำบทได้หมดแล้ว วิธีการเข้าถึงบทบาทของโอ้นะครับ ก็พยายามอ่านบทเยอะๆ และก็คิดภาพตามไปด้วยครับ ทุกครั้งที่เข้าฉากโอ้จะคิดถึงเรื่องราวสิ่งที่อยู่ในใจของจันครับ ว่าจันเนี่ยผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง เค้าเป็นคนยังไง เค้าคิดอะไร คือจันจะเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บทุกอย่างครับ เห็นอะไร ผ่านอะไร เป็นคนที่มีความจำดีมากๆ ต่อให้แก่แล้วก็ยังจำเรื่องได้แบบแม่นมาก เหมือนถ่ายภาพเอาไว้เลยครับ เป็นคนที่จำได้ทุกเรื่องราว คำพูดจะจำได้ทุกไดอะล็อคของคนที่โตมากับเค้า คนที่อยู่มากับเค้า จันจะเป็นคนที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะว่าถึงพ่อจะเลี้ยงมาแต่ไม่ได้เลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด พ่อจะทำร้ายจันตลอดเวลา ทำให้จันเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว และคนที่เลี้ยงจันจริงๆ ก็คือน้าวาดกับแม่พุ่ม-แม่ของเคนครับ จันเป็นคนที่ละเอียดอ่อน เพราะว่ามีผู้หญิงเลี้ยงมาตลอด

การดำเนินเรื่องของจันดารา

สำหรับเนื้อเรื่องโดยย่อนะครับก็เริ่มต้นจากเมื่อจันเกิดมา พอคลอดออกมาแม่ก็เสียชีวิตทันที ทำให้คุณหลวง-พ่อของจันเกลียดชังและอาฆาตเขามาก แต่จันจะรักพ่อสุดหัวใจและก็เทิดทูนบูชาคุณพ่อมากๆ แล้วก็กลัวพ่อมากๆ เพราะว่าพ่อเลี้ยงดูจันแบบค่อนข้างโหด ถูกทำร้ายอยู่ตลอด ถูกเรียกว่า “จัญไร” มาตลอด คือชีวิตจันค่อนข้างหนักมาตั้งแต่เด็ก เกิดมาชีวิตค่อนข้างรันทดเลยครับ จันจะมีเพื่อนที่สนิทที่สุดคนเดียวก็คือ “เคน กระทิงทอง” ลูกคนครัวที่เป็นคนที่ไกวเปลให้จันตั้งแต่เด็ก คือโตมาด้วยกัน แต่จริงๆ แล้ว เคนเป็นบ่าวของจัน แต่สองคนนี้รักกันเป็นเหมือนพี่น้องเลย สิ่งที่ทำให้จันมีความสุขที่สุดก็คือการที่ได้อยู่กับเคน, น้าวาด กับแม่พุ่มที่คอยเลี้ยงดูจันมาตั้งแต่เด็ก รวมถึง “ไฮซินธ์” ที่เป็นรักแรกของเขาที่ทำให้จันพอมีความสุขได้โดยไม่ต้องไปนึกถึงความเกลียดชังของพ่อและ “คุณแก้ว” ลูกคุณหลวงกับน้าวาดที่เสียคนเพราะพ่อ จนกระทั่งวันหนึ่งที่เป็นจุดพลิกผัน คือมี “คุณบุญเลื่อง” ย้ายเข้ามาในบ้านครับ ทำให้จันรู้สึกแปลกๆ ต่อเสน่ห์ของสมาชิกใหม่ แต่ยังไม่ทันได้สานสัมพันธ์ ก่อนเกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้นในบ้าน ทำให้ชีวิตของจันเปลี่ยนแปลงไปจนต้องย้ายออกจากบ้านไปอยู่ที่เมืองพิจิตรครับ หลังจากนั้นครับ จันก็ประสบเหตุอะไรอีกมากมายครับในชีวิตจัน ก็ต้องไปติดตามกันในหนังครับ

การปรับเปลี่ยนลุคในเรื่องนี้

ในเรื่องนี้ โอ้ก็ต้องเปลี่ยนลุคอยู่ตลอดเวลาครับ อย่างที่โอ้บอกคือมันมีหลายช่วงอายุหลายวัยมากต้องเล่นตั้งแต่ยี่สิบถึงแปดสอบ มันเป็นอายุที่เปลี่ยนแปลงมากๆ ครับตั้งแต่เด็กยันแก่ก็คือเมคอัพต้องละเอียดมาก เสียเวลาไปกับเมคอัพค่อนข้างเยอะ อากาศก็ร้อนมากด้วยครับ ตอนถ่ายฉากแก่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่งหน้าทีก็เกือบสี่ชั่วโมงครับ คือแต่งจนหลับไปแล้วตื่นมาแล้วหลับไปอีกจนเมื่อยเลย (หัวเราะ) อุปสรรคอีกอย่างของการแต่งหน้าก็คืออากาศร้อน เพราะว่าบ้านเราร้อน และหลังๆ เราไปคาบกับหน้าฝนด้วยครับ นอกจากจะกลัวแดดร้อนแล้วยังกลัวฝนตกอีก การแต่งหน้ามันจะสามช่วง ช่วงแรกตอนที่จันยังเด็กยังเรียนหนังสืออยู่เป็นใสๆ ปกติผมจะเรียบๆ ชุดราชปะแตนเหมือนนักเรียน ตอนโตขึ้นมาจันก็จะเป็นช่วงวัยกลางคนคือจันจะไว้หนวด สมัยนั้นคนไทยก็ไว้หนวดกันหมดเลยและก็ใส่สูทแต่งตัวเนี้ยบและก็ผิวอาจจะเข้มขึ้นนิดนึง และก็มาตอนแก่ตอนนั้นจันจะแก่ที่สุดแล้วมาหมดเลยครับเป็นรอยดำรอยจุดอะไร และก็ฟันก็ดำเพราะจันเป็นคนที่สูบบุหรี่ และก็แต่ว่ายังแต่งตัวดีอยู่ เป็นคนแก่ที่ยังแต่งตัวดีครับ ถ้าเห็นก็จะรู้ว่าไม่ได้เป็นคนปล่อยตัวเอง เรื่องการแต่งตัวไม่ทิ้งครับ ผมจะขาว ตาก็จะเปลี่ยนสีไปตามธรรมชาติของอายุ

ความยากง่ายในการแสดงเรื่องนี้

ในการรับบท “จัน” สำหรับโอ้มันยากมากครับ ต้องรับบทตั้งแต่อายุตั้งแต่สิบเจ็ดสิบแปดจนถึงแปดเก้าสิบ แต่ละช่วงเค้าก็ผ่านเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเราจะขาดไม่ได้เลยที่จะต้องคิดถึงเหตุการณ์ที่เคยผ่านครับ และอีกอย่างก็คือด้วยความที่เป็นหนังพีเรียดย้อนยุคด้วย มันก็จะมีภาษามีคำพูดที่ไม่เข้าปากเราครับ เพราะว่าเราย้อนไปเป็นร้อยปีเลย สิ่งที่ยากสุดก็คือเรื่องการแสดงเลยครับ อย่างวันแรกไปหาหม่อมและหม่อมบอกว่าจะให้เล่นเรื่องนี้ โอ้รู้สึกว่าจะไหวมั้ยเนี่ย ผมว่ามันคงยากมากๆ แน่ แต่ว่าหม่อมเชื่อในตัวผมครับ ผมเห็นว่าอาจารย์เชื่อในตัวเรา เราก็ต้องทำได้ ก็แต่ละวันตอนไปถ่ายก็เหมือนค่อยๆ ยกภูเขาออกจากอกไปเรื่อยๆ ครับ แต่ละซีนมันยาก บางทีมันเป็นซีนใหญ่และมันโฟกัสอยู่ที่เรา มันก็เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนครับ เพราะจันเป็นคนที่รู้สึกละเอียดอ่อนทางอารมณ์ เป็นศิลปิน เพราะว่าจันโตมากับน้าวาด มีผู้หญิงเลี้ยงมาตลอด เพราะว่าจันขาดความอบอุ่นจากแม่ ตั้งแต่เกิดมาแม่ก็เสียแล้ว จันเป็นคาแร็คเตอร์ที่ผมรู้สึกว่ายากมาก ด้วยเรื่องความเซ้นซิทีฟ ทั้งเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต แล้วพอเอาจันมาเทียบกับชีวิตจริงๆ โอ้รู้สึกว่ามันรู้สึกเหมือนไปอีกโลกนึงเลยครับ แต่ว่าโชคดีที่นักแสดงทุกๆ คนช่วยเราด้วย สถานการณ์ การแต่งกาย การที่เราซ้อมบทมาก่อนหน้านี้อย่างหนักมาก ก็ทำให้เราเชื่อไปอีกขั้นหนึ่ง สำหรับโอ้มันยากมากที่สุดตั้งแต่เคยแสดงมาเลยครับ

ฉากประทับใจ

ฉากที่ประทับใจมีหลายฉากเลยครับ อย่างฉากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นะครับ ก็เป็นฉากที่ใหญ่มาก ยกกองไปถ่ายที่หน้าพระที่นั่งพระอนันตสมาคม ก็คือวันนั้นเอ็กซ์ตร้าเยอะมากครับ และก็ต้องมีรถทหารวิ่งไปมา เพราผมก็ตื่นเต้นมากๆ เพราะผมชอบมากที่มีรถโบราณ รถทหาร และก็มีทหารแบบต้องแต่งย้อนยุคกันหมดทุกคน ผมก็แบบเหมือนเข้าไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ และฉากหลังเป็นพระที่นั่งอนันต์ฯ ด้วยก็สวยมากๆ ครับ ก็เป็นฉากเปิดตัวซึ่งจะง่ายก็ไม่ง่ายเพราะร้อนมาก ผมก็ขอชมพี่ๆ เอ็กซ์ตร้ามากคือเต็มที่มากๆ สุดยอดจริงๆ ครับ วันนั้นพอถ่ายฉากเปิดตัวเสร็จเหมือนจะง่ายแต่จริงๆ ก็ยากครับ เพราะอากาศร้อนมาก ผมก็เลยต้องไปซื้อเฉาก๋วยมากินคลายร้อน (หัวเราะ) ฉากนี้เป็นฉากสำคัญที่เราได้เจอกับ “ไฮซินธ์” เป็นครั้งแรกด้วย ก็เหมือนตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็นเลย เพราะว่าเป็นคนที่น่ารักและหน้าเหมือนแม่ของเราที่เราไม่เคยพบหน้าแม่จริงๆ เลย จันก็เห็นเขาหกล้มเพราะวันนั้นก็วุ่นวายไปหมด คนก็วิ่งชนกันหกล้ม จันก็ช่วยไฮซินธ์เอาผ้าเช็ดหน้าผูกขาให้ ก็เป็นฉากที่สวยงามและน่าประทับใจมากๆ ครับ มันเป็นที่ที่เราขับรถผ่านทุกวัน แต่เราไม่เคยมองว่า ถ้าถ่ายหนังจะออกมาสวยแบบนี้ครับ อีกฉากหนึ่งที่ผมว่าเป็นฉากที่น่ารักดีของเพื่อนสนิทสองคนที่พูดทะลึ่งทะเล้นกันได้ ฉากนี้เป็นฉากที่บ่งบอกคาแร็คเตอร์ของ “เคน กระทิงทอง” ก็คือเป็นคนที่อเรียกกว่าหมกมุ่นเรื่องเพศค่อนข้างเยอะเลยครับ เพราะว่าเป็นเหมือนครูที่สอนจันว่าต้องเป็นแบบนี้ ต้องทำอย่างนี้ คือจันก็เป็นคนที่ค่อนข้างเป็นเด็กที่เนิร์ด แต่จริงๆ ในใจก็อยากแต่ไม่กล้าทำและก็กลัวไปหมด ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เคนก็เลยสอนว่าต้องทำอย่างนี้ ฉากนั้นเป็นฉากที่คุณจันเปิดซิงครับ ผมชอบฉากนั้นมากต่อให้มันเป็นฉากที่คำพูดอาจจะทะลึ่งตึงตังไปหน่อย แต่ว่าด้วยคาแร็คเตอร์ของเคนกับจันเนี่ยมันก็เลยออกมาไม่ลามก ต้องบอกก่อนว่าฉากนั้นนิวที่เล่นเป็นเคนต้องพูดไดอะล็อคยาวมากครับ ก็ช่วยกันส่งอารมณ์กัน พอออกมาดูมอนิเตอร์ก็ชอบกันครับ ด้วยความที่ได้ซ้อมกันมาหลายครั้งด้วย ก็เล่นได้ค่อนข้างลื่นไหลเลยครับ สำหรับฉากถูน้ำแข็งที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” เวอร์ชั่นที่ผ่านมานะครับ เป็นซีนที่ทุกคนจับตารอดู ซึ่งโอ้เคยดูเวอร์ชั่นที่แล้วนะครับ รู้สึกว่าของเขาดีมากๆ ก็ชอบครับ โอ้ก็อยากให้เปิดใจดูครับว่า จันดาราในแบบของหม่อมจะไม่เหมือนกันเลยครับ ซีนถูน้ำแข็งจะแปลกตาออกไปเลย คือหม่อมบรีฟผมว่า ลึกๆ แล้วจันไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นคนขี้อายและเป็นคนกลัวเรื่องที่จะต้องแตะตัวผู้หญิงครับ ซึ่งในฉากนี้ก็คือคุณบุญเลื่องให้จันมาถูหลังให้ครับ และหลังจากนั้นจันก็มีเผลอตัวไป แต่ว่าสิ่งที่จันรู้สึกกับคุณบุญเลื่องคือเป็นความรู้สึกของแม่ครับ เพราะไม่เคยรู้สึกถึงสัมผัสของแม่เลย ความรู้สึกอบอุ่นของแม่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยมีมาก่อนครับ

ฉากอีโรติกที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “จันดารา” นะครับ ก็อย่างที่ทุกคนก็รู้จักจันดารา มันต้องมีเรื่องของอีโรติก ต้องมีเรื่องของเลิฟซีน แต่ว่าโอ้อ่านบทเรื่องนี้หลายรอบและก็ได้เล่นเอง โอ้รู้สึกว่าทุกซีนมันมีเหตุผลของมัน ถ้าไม่มีเลิฟซีนอันนั้นเรื่องก็จะไม่ต่อ จะไม่ทำให้ตัวละครต้องเจอเรื่องราวต่อๆ มา จริงๆ มันก็เหมือนกับชีวิตคนทุกคนที่ต้องมี แต่ว่ามันไม่ใช่เป็นแค่เลิฟซีนหรือให้คนมาเมคเลิฟกันเฉยๆ ผมว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น อาจเป็นความใคร่ตัณหาราคะ เป็นความรักระหว่างแม่กับลูก รักระหว่างสามีภรรยา รักในเชิงชู้สาว ซึ่งมันทำให้เรื่องราวดำเนินต่อไปแล้วผมรู้สึกว่าแต่ละซีนมันขาดไม่ได้ มันทำให้สนุกและมีรสชาติที่พอพูดถึงจันดาราแล้วต้องนึกถึงครับ

การร่วมงานกับทีมนักแสดงในเรื่อง

การร่วมงานกับนักแสดงในเรื่องนี้ จะแท็คทีมกันเป็นอย่างดีเลยครับ เพราะได้ซ้อมบทกันกับหม่อมมาโดยตลอด พอได้เข้าฉากด้วยกันจริงๆ ก็ค่อนข้างราบรื่นเลยครับ อย่าง “นิว” (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) โอ้ก็เคยร่วมงานกับนิวมาแล้วใน “อุโมงค์ผาเมือง” เราก็เจอกันที่บ้านของหม่อมประจำอยู่แล้ว อายุก็ไล่เลี่ยกันก็คุยกันง่าย สนิทกันเร็วเลยครับ มีอะไรก็จะรับส่งกันตลอด เพราะเป็นคู่ซี้กันอยู่แล้ว ตัวจริงก็ซี้ ในเรื่องก็ซี้กันไปอีกครับ จริงๆ นิวอายุน้อยกว่าผมแต่ตัวใหญ่กว่าผมอีกครับ นิวเล่นเป็นพี่โอ้ตลอด เพราะว่าตัวใหญ่และก็หุ่นดีมาก นิวจะฟิตซ้อมมาเต็มที่ทุกวัน เพราะว่าต้องมีเรื่องแอ็คชั่น ในบทเป็นคนที่สู้เก่ง เป็นคนที่ปกป้องจันและก็เลี้ยงจันมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งนิวก็จะมีอาหารหลักของเขามากองทุกครั้งก็จะมีปลา ไก่ ไข่ นิวกินแบบนี้มาตลอดสามเดือน ผมก็อู้หูสุดยอด เพราะว่าคือต้องนับถือคนที่เขาหุ่นร่างกายดี เพราะเขาดูแลตัวเองดีมาก ผมก็แอบกินไก่กับไข่บ้างเผื่อจะหุ่นดี (หัวเราะ) นิวก็เป็นคนตั้งใจครับ เป็นคนที่อดทนมาก เพราะรู้สึกว่าเล่นกับนิวสนุกและเหมือนทุกเทคไม่เหมือนกันครับ ได้อะไรใหม่ๆ ตลอด และก็คอยเตือนกันแนะนำกันแบบเราพูดผิดไป บางทีนิวเป็นคนจำแม่นมาก คราวนี้บทเขาก็ยาวด้วย แต่ก็ไม่ค่อยมีพลาดเลย ส่วนตัวเป็นคนนิสัยดีจริงๆ ครับ “พี่ตั๊ก บงกช” นี่ก็เป็นเรื่องแรกนะครับที่ร่วมงานกับพี่ตั๊ก เค้าเป็นคนน่ารัก เป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวจริงๆ คือพี่ตั๊กจะร้องไห้เก่งมากๆ พี่เค้าทุ่มเทกับงานมากๆ แล้วสำหรับพี่ตั๊กในบท “น้าวาด” ทำให้โอ้รักน้าวาดแบบลึกซึ้งขึ้นไปอีก พี่ตั๊กจะส่งอารมณ์มาให้เราได้เป็นอย่างดีเลยครับ ผมจำได้ว่าเป็นซีนหนึ่งจันต้องหันไปหาน้าวาด หันไปแล้วพี่ตั๊กที่อยู่นอกเฟรมกำลังอยู่ในบทบาทจริงๆ กล้องจะเห็นแค่โอ้กับพี่เจี๊ยบ แต่พี่ตั๊กเค้าต้องรีแอ็คให้โอ้ใช่ไหมครับ พอผมหันไปพี่ตั๊กก็ส่งอารมณ์กลับมา แบบแค่นิดเดียวแต่ก็มีพลังมาก ก็ต้องขอบคุณพี่ตั๊กที่ส่งอารมณ์ได้เป็นอย่างดีจริงๆ ครับ “พี่หญิง” ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานเหมือนกัน แล้วผมก็รู้สึกว่าพี่หญิงทุ่มเทกับงานนี้มาก เรื่องนี้พี่หญิงแบบว่าเซ็กซี่มากๆ ก็ต้องมีฉากเลิฟซีนกันด้วยซึ่งเยอะเหมือนกัน ผมก็ขอโทษพี่หญิงทุกครั้ง ผมก็เกรงใจพี่หญิงด้วย มันก็เป็นงานซึ่งผมต้องบอกว่าพี่หญิงคือทุ่มเทเต็มที่จริงๆ เขาเป็นมืออาชีพที่ต่อให้กี่เทคพี่หญิงก็ไม่เคยทำไม่พอใจ พี่หญิงก็บอกสบายมาก มันคืองานของเรา พี่หญิงเขาก็ทำเต็มที่ทุกครั้งครับ “พี่พิ้งกี้” เรื่องนี้เล่นเป็นสองบทบาท แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และก็ผมชอบทุกครั้งที่ผมได้เข้าฉากร่วมกัน พี่พิ้งกี้แต่งเป็น “ไฮซินธ์” ก็สวยน่ารักสมวัย แต่งเป็น “ดารา” ก็สวยมาก สำหรับบท “คุณแก้ว” นะครับก็แสดงโดย “พี่โชจัง” เป็นนักแสดงญี่ปุ่นครับ ผมรู้สึกว่าพี่โชจังมีความพยายามสูงมากแล้วก็ตั้งใจกับงานหนังเรื่องนี้มากๆ เลยครับ เพราะว่าพี่เค้าพูดภาษาไทยไม่ได้และต้องมารับบทหนักขนาดนี้ แล้วก็เป็นบทที่สำคัญมากๆ ในเรื่อง พี่เค้าจะตั้งใจมากๆ คือเรียนภาษาไทยแบบเต็มที่มากๆ เลยครับ เห็นถึงความพยายามของพี่เค้ามากๆ แล้วก็รู้สึกว่า ถึงพี่เค้าไม่เคยพูดภาษาไทยมาก่อนแต่เราสามารถสื่อสารกันได้ง่ายๆ เลยครับ “พี่เจี๊ยบ ศักราช” แสดงเป็น “คุณหลวง” พี่เจี๊ยบก็ส่งอารมณ์ให้ผมสุดยอดเหมือนกันครับ ในเรื่องพี่เจี๊ยยบต้องอาละวาดบ่อยมากครับ บางวันพี่เจี๊ยบก็เสียงหายครับ ผมก็สงสารพี่เจี๊ยบเหมือนกัน ผมก็รู้สึกว่าพี่เจี๊ยบคือนักแสดงที่มืออาชีพจริงๆ ครับ สำหรับ “พี่ต๊งเหน่ง รัดเกล้า” นะครับ จะรับบทเป็น “คุณท้าวยาย” นะครับ แกแสดงได้แบบเป็นสุดยอดของนักแสดงมาก ทั้งเรื่องของโทนเสียงที่ใช้เป็นคุณท้าวยาย ผมรู้สึกว่ามันทำให้จันกลายเป็นเด็กที่ต้องเชื่อฟังทุกอย่างครับ เหมือนต้องเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณท้าวยายบอก ซึ่งขนลุกครับเวลาแสดงด้วยกันครับ

การร่วมงานกับหม่อมน้อยอีกครั้งหนึ่ง

การร่วมงานกับหม่อมครั้งนี้เป็นแบบเต็มที่จริงๆ ครับ อย่าง “อุโมงค์ฯ” ว่าเยอะแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้ก็เต็มที่เลย ทุกคิวต้องมีจันเข้าฉาก ก็ต้องขอขอบคุณหม่อมครับสำหรับทุกอย่าง ที่หม่อมให้โอกาสสอนผมตั้งแต่ผมมาเรียนกับหม่อมด้วย หม่อมเปรียบเสมือนอาจารย์ เหมือนพ่อคนหนึ่งเลยครับ ซึ่งจริงๆ ผมบอกหม่อมตลอดว่าผมคงไม่ไหวครับ แต่หม่อมบอกว่าเชื่อในตัวผมและหม่อมบอกว่ามันเป็นบทที่โอ้ทำได้และท้าทายความสามารถโอ้ โอ้จะไม่ได้รับบทแบบนี้อีก ผมก็เห็นด้วยว่ามันหาบทดีๆ แบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ โอ้ก็เชื่ออาจารย์ครับ ก็รุ้สึกภูมิใจกับหนังเรื่องนี้ที่ผมได้ลองเล่นคาแร็คเตอร์หลายๆ แบบ หลายช่วงอายุ จริงๆ มันก็ทำให้เราเครียดมากในตอนแรก แต่พอเห็นผลงานที่ออกมามันก็หายเหนื่อยเลยครับ ทุกคนแบบไม่เหนื่อยเลย แค่เห็นผลงานก็รู้สึกดีใจชื่นใจ ผมรู้สึกเป็นเกียรติ และก็ขอบคุณหม่อมที่ให้เล่นบทนี้ครับ

ความน่าสนใจโดยรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้

สำหรับความน่าสนใจของเรื่องนี้ ด้านเนื้อหาสาระมันมีหลายแง่มุมมากๆ ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมของครอบครัว แง่มุมของเพื่อน มันเหมือนมีธรรมะสอดแทรกอยู่ในเรื่องนี้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการที่ทำให้คนอื่นทุกข์ ทุกข์นั้นก็จะมาถึงตัวเรา ถ้าเราให้ความรักกับคนอื่นความรักก็จะกลับมาถึงเรา เราคิดยังไง ทำอะไรกับคนอื่น ถ้าเราคิดไม่ดีมันก็จะได้ไม่ดี ถ้าคิดดีมันก็จะได้ดีครับ ผมว่าเรื่องนี้มันสะท้อนหลายแง่มุมมากๆ จากประพันธ์ที่เขียนได้อย่างลึกซึ้ง พอหม่อมดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์ก็ยังคงรักษาสาระต่างๆ ไว้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงเพิ่มความบันเทิงให้ดูกันง่ายๆ เข้าใจได้ไม่ยากครับ เป็นการนำเรื่องตัวละคร เรื่องเซ็กส์มาสะท้อนความเป็นจริงของสังคมได้อย่างลงตัว อีกอย่างที่เด่นมากๆ ก็คือเรื่องฝีมือการแสดงที่เข้มข้นของทีมนักแสดงทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่า โปรดักชั่นงานสร้างทั้งฉาก, เสื้อผ้า, หน้าผมที่ไม่ธรรมดาเลย เพราะต้องย้อนยุคไปไกลมาก ซึ่งผมรู้สึกว่าแค่มาดูโปรดักชั่น ดูนักแสดงก็คุ้มแล้ว แต่นี่ยังมีเนื้อหาที่เข้มข้นอีกต่างหาก ผมว่ายิ่งดูสนุกมากขึ้นแน่นอน รวมถึงข้อคิดที่มีอยู่ตลอดเรื่อง ไม่ว่าจะฉากเลิฟซีนหรือไม่เลิฟซีนมันก็มีข้อคิดสอนคนดูอยู่ในนั้นเยอะเลยครับ โอ้ก็คาดหวังว่าคนดูจะมาดูหนังดีๆ ที่พวกเราตั้งใจทำออกไป หนังเรื่องนี้มีข้อคิดเยอะ แล้วผมรู้สึกว่ามันมีธรรมะสอดแทรกอยู่ในบทประพันธ์เรื่องนี้ แล้วก็รู้สึกเป็นเรื่องที่ทรงคุณค่าสำหรับคนรุ่นนี้และรุ่นหลังที่ได้ชมนะครับ