HIGHLIGHT CONTENT

ข้อมูลและตัวอย่าง "จันดารา ปัจฉิมบท" (เข้าฉาย 7 กุมภาพันธ์ 56)

  • 16,452
  • 10 ม.ค. 2013

จากปฐมบทแห่งมหากาพย์โศกนาฏกรรม สู่บทสรุปแห่งกรรมตัณหาโดยผู้กำกับมากฝีมือ “ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล”

http://www.youtube.com/watch?v=DV4imhn35Fw

ผ่านการแสดงสุดเข้มข้นของทีมนักแสดงคุณภาพระดับแนวหน้า มาริโอ้ เมาเร่อ, ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต, ศักราช ฤกษ์ธำรงค์, รฐา โพธิ์งาม, บงกช คงมาลัย, โช นิชิโนะ, สาวิกา ไชยเดช, ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, รัดเกล้า อามระดิษ, เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์

7 กุมภาพันธ์ 2556 ในโรงภาพยนตร์

กำหนดฉาย 7 กุมภาพันธ์ 2556 แนวภาพยนตร์ พีเรียด-ดราม่า บริษัทผู้สร้าง-จัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ดำเนินงานสร้าง นัยนา อึ้งสวัสดิ์, เติมพันธ์ มัทวพันธุ์ กำกับภาพยนตร์ ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล บทภาพยนตร์ ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล กำกับภาพ พนม พรมชาติ ออกแบบงานสร้าง พัฒน์ฑริก มีสายญาติ กำกับศิลป์ นิติ สมิตตะสิงห์ ลำดับภาพ สิริกัณณ์ ศรีจุฬาภรณ์ เทคนิคภาพพิเศษ เซอร์เรียล สตูดิโอ ดนตรีประกอบ ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์ ออกแบบเครื่องแต่งกาย อธิษฐ์ ฐิรกิตติวัฒน์ แต่งหน้า-แต่งหน้าเอฟเฟ็คต์ มนตรี วัดละเอียด ทีมนักแสดง มาริโอ้ เมาเร่อ, ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต, ศักราช ฤกษ์ธำรงค์, รฐา โพธิ์งาม, บงกช คงมาลัย, โช นิชิโนะ, สาวิกา ไชยเดช, ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, รัดเกล้า อามระดิษ, เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ฯลฯ

“จันดารา ปัจฉิมบท” บทสรุปแห่งการล้างแค้น พลิกผันชะตาชีวิตอันมิอาจคาดเดา

โศกนาฏกรรมชีวิตของ “จัน ดารา” แวดล้อมไปด้วยผู้คนรอบข้างที่สะท้อนมวลอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ ความเคียดแค้น กิเลสตัณหา และกามารมณ์อันนำมาซึ่งการพลิกผันในชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นในบ้านพิจิตรวานิช ทำให้ “จัน ดารา” (มาริโอ้ เมาเร่อ) และ “เคน กระทิงทอง” (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) สหายสนิทของเขาต้องหนีภัยอันเกิดจากการกระทำอันเหี้ยมโหดของ “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” (ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) ผู้ที่เขาคิดว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้านานถึง 17 ปี ไปพำนักอยู่กับ “คุณท้าวพิจิตรรักษา” (รัดเกล้า อามระดิษ) ผู้เป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ที่เมืองพิจิตร ช่วงระยะเวลาที่อยู่ที่เมืองพิจิตรนี้ จันเป็นสุขทั้งกายใจ และรู้สึกถึงอิสรภาพของชีวิตอย่างแท้จริง เขายังคงติดต่อทางจดหมายกับ “ไฮซินธ์” (สาวิกา ไชยเดช) เพื่อนหญิงในดวงใจอันเป็นรักบริสุทธิ์ของเขาอยู่เสมอมา และคาดหวังว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อันสดใสที่เมืองนี้พร้อมๆ กับการตามค้นหาพ่อแท้ๆ ของเขาไปด้วย แต่เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้งให้วันชื่นคืนสุขอยู่กับเขาเพียงไม่นาน เมื่อในที่สุดจันก็ได้ล่วงรู้ความจริงอันไม่คาดฝันเรื่องพ่อผู้ให้กำเนิดแท้จริงที่เขารอคอยมานานจากปากคำของ “ร้อยตำรวจเอกเรืองยศ” (เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์) ผู้กุมความลับอันน่าอดสูเกี่ยวกับตระกูลพิจิตรวานิชนี้ไว้มาตลอดทั้งชีวิต จันพยายามทำใจให้ผ่านช่วงชีวิตอันแสนทุกข์ทรมานนี้ไปให้ได้ จนกระทั่ง “น้าวาด” (บงกช คงมาลัย) ได้เดินทางมาแจ้งข่าวเรื่องคุณหลวงล้มป่วยลงอย่างฉับพลัน เนื่องจากเกิดเหตุบางอย่างขึ้นกับ “คุณแก้ว” (โช นิชิโนะ) และ “คุณขจร” (ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) และแล้วสงครามแห่งการชำระแค้นและทวงคืนทุกอย่างให้กลับมาเป็นของเขาและตระกูลพิจิตรวานิชก็ได้เปิดฉากขึ้นในทันทีตามคำสั่งเสียสุดท้ายของคุณท้าวยายผู้คอยบงการและพลิกผันชะตาชีวิตของจันให้ตกอยู่ในด้านมืดอย่างคาดไม่ถึง จันกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยในฐานะเจ้าของบ้านคนใหม่ และมีสิทธิในทรัพย์สมบัติและอำนาจทั้งหมดภายในบ้าน แต่เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจของเขา เมื่อสัตว์ร้ายและตัณหาราคะในใจปะทุออกมาอย่างรุนแรง เมื่อเขาเห็นภาพ “คุณบุญเลื่อง” (รฐา โพธิ์งาม) กับคุณหลวงยังรักใคร่กันเป็นอย่างดี จันจึงใช้เสน่ห์แห่งความเป็นชายหนุ่มรูปงามหลอกล่อจนคุณบุญเลื่องตกเป็นของเขาอย่างสมยอม และเมื่อคุณหลวงได้เห็นภาพร่วมรักอันเร่าร้อนของทั้งคู่ ทำให้เขาสิ้นสติและกลายเป็นอัมพาตไปในที่สุด กระจกเงาแห่งความชั่วร้ายได้สะท้อนภาพคุณหลวงมาสู่ตัวจันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน การล้างแค้นอันน่าขยะแขยงนี้ดูเหมือนจะปิดฉากอย่างสมบูรณ์แบบด้วยชัยชนะของจัน ดาราแต่เพียงผู้เดียว ถ้าเขาไม่ได้รับบทเรียนชีวิตอันยิ่งใหญ่จากศัตรูคู่อาฆาตอย่างคุณแก้วที่เอาคืนจันอย่างสาสม รวมถึงคนรอบข้างที่คอยห่วงใยเขาเสมอมาอย่างน้าวาด, เคน และคุณบุญเลื่องที่ค่อยๆ ตีตัวออกห่างจากจันไปเรื่อยๆ อำนาจและทรัพย์สมบัติจะมีค่าอะไร หากไร้คนที่รักและห่วงใยเราอย่างจริงใจอยู่เคียงข้าง   จากวรรณกรรมอมตะสู่ภาพยนตร์คุณภาพแห่งปี “นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องยาวเรื่องแรกของผู้เขียน ซึ่งต้องขอบอกกล่าวไว้เสียด้วยว่า เป็นเรื่องอ่านเล่น ซึ่งไม่ใช่ของสำหรับเด็ก และเป็นของแสลงอย่างยิ่งสำหรับบุคคลประเภท ‘มือถือสาก ปากถือศีล’  “เรื่องของจัน ดารา” จัดเป็นงานที่พรรณนาภาพอันน่าสังเวชของมนุษย์ที่ตกอยู่ใน “เขาวงกตแห่งกามตัณหา” นักประพันธ์ชั้นครู “อุษณา เพลิงธรรม” เขียนเรื่องนี้อย่างผู้ที่มากด้วย “ประสบการณ์” และ “ประสบกาม” จัดได้ว่าเป็นแบบ “อัตถนิยมแท้ๆ” (Realism) เล่มหนึ่งของวงวรรณกรรมไทย ความน่าสนใจของวรรณกรรมเรื่องนี้ มิใช่การรจนาอันละเมียดละไมอย่าง “วิจิตรบรรจง” ใน “บทอัศจรรย์เชิงสังวาส” แต่เพียงอย่างเดียว หากอยู่ที่การสร้างสรรค์ลักษณะนิสัยของ “ตัวละคร” ทุกตัวอย่างมีจิตวิญญาณและเลือดเนื้อ เป็นมนุษย์ปุถุชนในโลกของความเป็นจริง ทุกตัวละครล้วนมี “มิติ” ของความเป็น “คน” ที่พบเห็นได้สัมผัสได้ในทุกยุคทุกสมัย มีทั้งด้านดีและเลวคละเคล้ากันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับอิทธิพลทาง “กรรมพันธุ์” และ “สภาพแวดล้อม” อันป็น “เบ้าหลอม” ทำให้มนุษย์ก่อพฤติกรรมไม่ว่าจะเป็นไปใน “ด้านบวก” หรือ “ด้านลบ” ตัวละครอย่าง “จัน ดารา” จึงเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่ตกเป็นทาสของชะตากรรมที่น่าสังเวช อันมีเหตุมาจาก “กรรมพันธุ์” และ “สภาพแวดล้อม” อันโหดร้ายทารุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ที่เราเลือกทำ ‘จัน ดารา’ ในตอนนี้ก็เพราะรู้สึกว่า โดยเนื้อหาสาระจากหนังสือที่อุษณา เพลิงธรรม (ประมูล อุณหธูป) เขียน ถึงแม้ว่าจะเขียนมานานเกือบ 50 ปีที่แล้ว แต่เนื้อหาสาระก็ยังทันสมัยมาก ยังสะท้อนให้เห็นถึงธาตุแท้ของมนุษย์ซึ่งในปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ และเหมือนเป็นกระจกที่จะสะท้อนให้เห็นกิเลสในใจของคน มันไม่ใช่แค่ตัณหาราคะอย่างเดียว แต่คนที่ยึดมั่นกับความเคียดแค้นมันจะก่อให้เกิดปัญหาและหายนะยังไงกับตัวเองและคนรอบข้างจนนำไปสู่ปัญหาสังคมในระดับรวมด้วย” “จัน ดารา” เวอร์ชั่นดัดแปลงโดยผู้กำกับมือเอก “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” นี้ สะท้อนภาพความวิปริตของมนุษย์แต่ละคน เพื่อชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของ “สิ่งแวดล้อมใกล้ตัว โดยเฉพาะพ่อแม่ ความหิวโหยความรัก ความทารุณเหี้ยมเกรียม ตัวอย่างโสมม” ที่ประทับหูประทับตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันเป็นเบ้าหลอมที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง คนที่จะปีนขึ้นจากเบ้าหลอมนี้ได้ จะต้องอาศัย “ความแกร่ง” ชนิดพิเศษ และ “กรรมดี” ช่วยสนับสนุนประกอบกัน แต่เผอิญ “จัน ดารา” ไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น เขาจึงตกเป็นเหยื่อของสิ่งแวดล้อมนั้นอย่างน่าสมเพช  

บทสรุปแห่งมหากาพย์โศกนาฏกรรม “จันดารา ปัจฉิมบท”

บทสรุปแห่งการล้างแค้นอันสืบเนื่องมาจากอดีตอันแสนรันทดของ “จัน ดารา” ผู้ถูก “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” ผู้ที่เขาคิดว่าเป็นบิดาบังเกิดเกล้าทารุณกรรมมานานนับ 17 ปี ส่งผลให้เกิดการชิงอำนาจใน “บ้านพิจิตรวานิช” กลับคืนมาครอบครอง โดยใช้ตัณหาราคะและโทสะจริตเป็น “อาวุธ” ในการก่อกรรมทำเข็ญโดยปราศจากศีลธรรมจรรยาอันเป็นต้นเหตุโศกนาฏกรรมแก่ทุกชีวิตในครอบครัวอันมั่งคั่งแห่งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “จัน ดารา” ซึ่งต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเผชิญชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยวไร้ผู้คนรอบข้างจนวาระสุดท้าย “ใน ‘จันดารา ปัจฉิมบท’ จะเป็นบทสรุปของชีวิตจัน ดาราซึ่งเป็นภาคต่อจากภาคปฐมบท หลังจากที่จันและเคนได้หนีไปอยู่กับคุณท้าวยายที่พิจิตร ที่นั่นจันก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และได้ออกตามหาพ่อที่แท้จริงของเขาจนได้พบกับความจริงอันน่ารันทดใจ ขณะเดียวกันคุณท้าวยายก็พยายามชักจูงและฝังหัวให้จันกลับไปแก้แค้นเอาทรัพย์สินมรดกคืนจากคุณหลวงให้ได้ และเมื่อโอกาสแก้แค้นเอาคืนมาถึง จันก็เริ่มล้างแค้นในสิ่งที่ตัวเองเคยได้รับมาจากคุณหลวงตั้งแต่วัยเด็ก และเพื่อทดแทนบุญคุณคุณท้าวยาย รวมถึงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตระกูลพิจิตรวานิชด้วย ซึ่งความรุนแรงจากการแก้แค้นของจันนี้เองที่ทำให้เขาเดินไปสู่หายนะ และที่สำคัญคือจันก็ได้ใช้กามารมณ์ในการแก้แค้นเพื่อชิงอำนาจคืนมาจากคุณหลวง เช่นเดียวกับที่คุณหลวงเคยทำเมื่อก่อนที่จันจะเกิด ฉะนั้นโศกนาฏกรรมของจันจึงเกิดขึ้นจากโศกนาฏกรรมของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น และทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะได้มาซึ่งอำนาจของตน ในภาคนี้ก็จะบอกถึงผลอันเกิดมาจากเหตุปัจจัยจากภาคแรกนั่นเอง”  

หลากหลายฉากอีโรติก...ความรัก ความใคร่ หรืออาวุธประหัตประหาร

“จัน ดารา” เป็นเรื่องราวของมนุษย์ที่ประกอบขึ้นและรายล้อมไปด้วยกิเลสตัณหา และกามารมณ์อันเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่สามารถให้ทั้งคุณเมื่อใช้อย่างเหมาะสม และหนีไม่พ้นที่จะให้บทลงโทษเมื่อใช้มันไปในทางที่ผิดและเกินพอดี เฉกเช่นบางตัวละครในเรื่องจนนำไปสู่โศกนาฏกรรมอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง เช่นนี้แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะนำเสนอหลากหลายฉากอีโรติก เพื่อสะท้อนให้เห็นถึง “เซ็กส์” ในหลากหลายมุมมอง “ถ้าเกิดคุณจะทำจัน ดารามันก็หนีเรื่องอีโรติกไปไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของเรื่องทีเดียว มันเป็นไปตามท้องเรื่อง ตามลักษณะนิสัยของตัวละครทั้งหมด จะพูดว่าหวือหวากว่าหรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าจะพูดแล้วโดยแท้มันไม่ใช่ภาพยนตร์กามารมณ์ จริงๆ มันเป็นภาพยนตร์ชีวิตซะมากกว่า แล้วชีวิตคนเรามันก็มีตั้งหลายแบบหลายบทบาทในหนึ่งวัน ทั้งความเป็นพ่อ ความเป็นแม่ ความเป็นสามี ความเป็นแฟน ความเป็นหน้าที่ในการทำงาน มันมีคุณความดี มีความไม่ดี การกินข้าว การนอน เพราะฉะนั้นเรื่องกามารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ มันเป็นส่วนหนึ่งที่เราก็ไม่เห็นว่ามันจะเด่นไปกว่าส่วนอื่นเลย ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เช่นกัน ทุกพฤติกรรมของตัวละครมีความสำคัญเท่าๆ กันหมดเพราะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต  คุณปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าอะไรมันสำคัญกว่ากัน คุณจะมองว่าชีวิตคนจะมองเรื่องเพศอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ มนุษย์เราไม่มีใครมานั่งคิดแต่เรื่องเพศตลอด 24 ชั่วโมง มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ทำดี ไหว้พระ สวดมนต์ ทำอาหาร ทำงาน หรือว่าการมีสังวาสกันก็เป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นธรรมชาติมากๆ ของมนุษย์โลก เพราะฉะนั้นทุกอย่างในเรื่องนี้เป็นชีวิตของมนุษย์ ทุกพฤติกรรมที่อยู่ในเรื่องนี้ก็เหมือนกับมนุษย์ทุกคนในโลก ไม่มีอะไรสำคัญมากน้อยไปกว่ากัน เพราะถ้าจะพูดไปมันคือภาพยนตร์ชีวิต เพียงแต่ว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นอาจจะไม่มี อย่างถ้าเป็นหนังสงคราม มันก็ต้องมีความโหดร้ายน่ากลัวของสงคราม เรื่องนี้ในเมื่อตัวละครใช้กามารมณ์เป็นอาวุธในการแก้แค้น ตรงนี้ก็มีน้ำหนักเดียวที่เราควรจะเน้นไปตามท้องเรื่องเท่านั้นเอง”

เหตุใด “จัน ดารา” ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมเช่นนี้

มนุษย์เราทุกคนล้วนแล้วแต่เกิดมาด้วยดวงจิตอันสะอาดบริสุทธิ์ แต่ “สภาพแวดล้อม” และ “บุคคลผู้ใกล้ชิด” ต่างหากที่เป็นผู้แต่งเติมสีสันให้เป็นไปในทิศทางที่แตกต่างกันไปเปรียบได้กับผ้าใบของจิตรกร หากได้รับการแต่งแต้มสีสันจากจิตรกรที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ภาพนั้นก็จะงามวิจิตร แต่ชีวิตของ “จัน ดารา” มิได้เป็นเช่นนั้น เขาถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางสงครามแห่งความแค้นและการแย่งชิงอำนาจเพื่อความเป็นใหญ่ในครอบครัว ตลอดจนบรรยากาศแห่ง “กามราคะ” ที่คละคลุ้งอยู่ในทุกอณูของคฤหาสน์ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การตั้งข้อกังขาว่า บิดาที่แท้จริงของเขาคือใคร เขาเกิดมามีชิวิตอยู่บนโลกนี้จากผู้ใดและมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เมื่อเขาเดินทางไปเมืองพิจิตรเพื่อลี้ภัยจาก “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” ผู้จ้องจะเอาชีวิตของเขา และเผชิญกับ “ความจริง” อันน่ารันทดใจเกี่ยวกับชาติกำเนิดที่แท้จริงของเขา มันจึงเป็นเสมือนเปลวเพลิงที่จุดประกายความแค้นอันเผาผลาญคุณงามความดีทั้งปวงในจิตใจอันเปราะบางของเขา “จัน ดารา” จึงกลับกลายเป็น “ผู้ล้างแค้น” อันโหดเหี้ยมยิ่งไปกว่า “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” อย่างถึงที่สุด “ในภาคปัจฉิมบทนี้จันได้เปลี่ยนไปในทางลบ ซึ่งต่างจากจันที่แสนจะเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และอ่อนโยนในภาคปฐมบท คือจะกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งที่ไม่ต่างอะไรจากคุณหลวงตอนวัยหนุ่มเลย แล้วก็ดูเหมือนจะใช้วิธีการที่รุนแรงกว่าคุณหลวงซะด้วยซ้ำไป ทำให้เห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในครอบครัวนี้เป็นกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น สิ่งที่คุณหลวงเคยได้ทำกับจัน จันก็ได้ทำคืนกับคุณหลวง มันเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์ที่ไม่เคยได้อำนาจ แล้วพอได้อำนาจมาแล้วก็หลงในอำนาจนั้น แล้วก็ใช้อำนาจนั้นในทางที่ผิด เปรียบได้กับคนขี่หลังเสือ เหมือนจันพอมารู้ความจริงในภาคนี้ว่าเขาคือเจ้าของบ้านตัวจริง มันก็ทำให้พฤติกรรมของจันเป็นไปในทางที่รุนแรงมาก เพราะว่ามีความแค้นสุมอยู่ข้างใน ประกอบกับการที่จันจริงๆ แล้วเป็นคนหัวอ่อนมาก เป็นคนที่เชื่อฟังผู้ใหญ่มาก แล้วก็โดนคุณท้าวยายเสี้ยมสอนให้โกรธคุณหลวงมากขึ้นๆ รวมถึงได้สัญญากับคุณท้าวยายด้วยว่าจะแก้แค้นและเอาทุกอย่างคืนกลับมาเพื่อตระกูลพิจิตรวานิช ทั้งหมดนี้มันจึงเป็นแรงผลักดันที่รุนแรงมาก เปรียบได้กับมนุษย์ ซึ่งบางทีเราทำความรุนแรงอะไรก็ได้โดยยึดความกตัญญูในบรรพบุรุษ บางครั้งตรงนี้ก็ก่อให้เกิดสงครามได้ ซึ่งในเรื่องของจันดาราจะเป็นสงครามภายในบ้าน แต่ถ้าเปรียบเทียบจริงๆ แล้วสงครามในโลกนี้ ในประเทศต่อประเทศก็เช่นกัน ทุกคนรักและกตัญญูในประเทศของตน ฉะนั้นต่างก็จะมองในมุมของตัวเองมุมเดียวที่จะทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์และความเจริญของครอบครัวหรือประเทศตนเอง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ตอนจบจะแสดงให้เห็นถึงความหายนะของมนุษย์คนหนึ่งที่ทำทุกอย่างเพื่อความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อครอบครัว ซึ่งจริงๆ แล้วความกตัญญูเป็นไปได้หลายทาง ถ้าเป็นไปในทางบวกก็จะเป็นสิ่งที่บวก แต่จันดาราเลือกที่จะใช้พลังทางด้านลบในการแก้แค้นครั้งนี้ ตอนจนของเรื่องก็จะสะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์ที่หลงอำนาจในทางที่ผิด ท้ายที่สุดแล้วจะได้รับผลกรรมอย่างไร”  

กฎแห่งกรรม วัฏจักรแห่งชีวิต

ทุก “การกระทำ” ของทุกตัวละครใน “จันดารา ปฐมบท” ล้วนได้รับ “ผลกรรม” ที่ตนได้ก่อขึ้นมาแต่อดีตด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น “กุศลกรรม” หรือ “อกุศลกรรม” ฉะนั้น ใน “จันดารา ปัจฉิมบท” จึงเปรียบเสมือนกระจกส่องผลแห่งการกระทำของมนุษย์ที่เวียนว่ายอยู่ในวังวนแห่งตัณหาราคะอันเป็น “วัฏจักรแห่งชีวิต” ซึ่งไม่อาจมีผู้ใดจะหลีกหนีพ้นไปได้ อันเป็นพระสัจธรรมในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกมองข้ามไปของมนุษย์ในยุคแห่งโลกาภิวัตน์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้           “คือความสนุกของเรื่องนี้อยู่ที่ว่าเราจะเดาเรื่องไม่ออก เราจะคิดไม่ถึงเลยว่าตัวละครแต่ละตัวจะมีการพลิกผันไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เช่น จัน ดาราในปฐมบทกับปัจฉิมบทก็จะต่างกันมาก ภาคแรกจะดูเป็นศิลปินอารมณ์อ่อนไหว เป็นคนสะอาดบริสุทธิ์ แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนฉลาดมาก ชอบอ่านหนังสือฝรั่ง เพราะฉะนั้นมันมีความเป็นไปได้ว่าเมื่อเขาอ่านหนังสือเยอะ เขารู้อะไรเยอะ ยิ่งทำให้เขามีแผนการในการแก้แค้นได้แยบยลมาก รู้จักปรับตัวเอง โดยอ้างเอาความกตัญญูมาใช้เป็นเครื่องมือ แต่จริงๆ จันเองก็มีความแค้นในตัวคุณหลวงมาตั้งแต่เด็ก รวมทั้งคุณแก้วเองก็ได้ทำร้ายจิตใจจันมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน เพราะฉะนั้นการที่จะกลับไปแก้แค้นทั้งคุณหลวงทั้งคุณแก้ว มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งเขารู้ว่าเขาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้จริงๆ เขาจึงมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะทำร้ายทั้ง 2 คนได้อย่างเต็มภาคภูมิ ตัวละครต่างๆ ก็จะมีการพลิกผันไปตามสถานการณ์ เช่นคุณบุญเลื่องเองเมื่อรู้ว่าสามีของตนตกอยู่ในอันตราย ก็ต้องช่วยเหลือและก็มีการใช้กามารณ์เป็นเครื่องมือในการต่อรองกันอีกครั้งหนึ่ง จันเองก็ใช้กามารณ์เป็นเครื่องมือเป็นอาวุธในการเอาชนะคุณหลวงด้วยการมีสัมพันธ์ทางเพศกับคุณบุญเลื่อง ซึ่งตัวคุณบุญเลื่องเองก็กลัวว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่แล้วก็จำเป็นจะต้องทำเพื่อรักษาชีวิตของคุณหลวงเอาไว้ เพราะเกรงว่าจันจะทำร้าย ซึ่งมันก็เหมือนกงเกวียนกำเกวียน ซึ่งสิ่งนี้น้าวาดก็เคยต่อรองกับคุณหลวง เพราะเกรงว่าคุณหลวงจะทำร้ายชีวิตจันในภาคแรกนั่นเอง ส่วนน้าวาดเองก็แก่แล้วก็รู้สึกว่าจันคือเจ้าของบ้านไปแล้ว แล้วตัวเองก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้เต็มที่แล้ว แต่เมื่อเขาเห็นจันได้กระทำพฤติกรรมที่เกินเลย ก็เลยกลับไปอยู่ที่พิจิตร ส่วนเคน กระทิงทองก็อยู่รับใช้จันอยู่ห่างๆ เพราะตัวเองมีครอบครัวแล้ว ก็คอยตักเตือนจันในฐานะเพื่อนรัก แต่จันที่เมื่ออยู่ในฐานะที่มีอำนาจสูงสุดขณะนั้นแล้วเขาไม่ฟังใครทั้งนั้น ทำร้ายแม้กระทั่งเคน กระทิงทองเพื่อนสนิทได้ ส่วนคุณหลวงก็จะตกในสภาพเดียวกับจัน เรื่องจะเป็นการหมุนกลับไปสู่ภาคปฐมบทเหมือนกงเกวียนกำเกวียน คุณหลวงเองก็จะกลายเป็นจันในภาคที่หนึ่ง คุณหลวงจะเป็นผู้ถูกกระทำอย่างรุนแรง เหมือนที่ตัวเองเคยได้กระทำกับจัน ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ท่านผู้แต่งได้สอดแทรกกฏแห่งกรรมได้ชัดเจนและชาญฉลาดมากในการประพันธ์เรื่องนี้ คือแก่นของเรื่องจริงๆ ก็คือเรื่องธรรมะนั่นเอง เป็นกงเกวียนกำเกวียนของชีวิต ใครทำอะไรก็ได้ผลเช่นนั้น ใครมีพฤติกรรมบวก ชีวิตก็เป็นบวก ใครมีพฤติกรรมลบ ชีวิตก็เป็นลบ ท้ายสุดก็จะเป็นหนังพระพุทธศาสนาโดยแท้ ให้เห็นความไม่เที่ยงของชีวิต ให้เห็นความหายนะของคนที่ไม่รู้จักพอ แล้วก็อยู่ในวังวนของกิเลสตัณหา กิเลสตัณหาในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงกามารมณ์อย่างเดียว แต่มันรวมถึงการแสวงหาอำนาจ เพราฉะนั้นเป็นสัจธรรมมาก ท้ายสุดแล้วจันก็ได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่ตัวเองยึดติดเอาไว้ตลอดเวลา มันไร้ค่าสิ้นดี จันต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวปราศจากคนแวดล้อม กลายเป็นคนแก่ที่อยู่กับทรัพย์สมบัติที่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ทรัพย์สมบัติที่รักษาเอาไว้ตลอดชีวิตมันกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่า การมีชีวิตที่มีความสุขและมีคนแวดล้อมอยู่อย่างอบอุ่นต่างหากที่มีคุณค่าในชีวิต บทสรุปของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ ความสุขที่แท้จริงคืออะไร คือความสุขสงบ การได้อยู่ในแวดล้อมของบุคคลที่รักเรา ในขณะที่ชีวิตของจันไม่มีใครอยู่รอบข้างเลย ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะสอนให้คนรู้จักปล่อยวางในทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวนั่นเอง”  

เรื่องของจัน ดาราและคนรอบข้าง

“ขอให้คุณหลวงพึงสำเหนียกเอาไว้ว่า ผม...จัน ดารา เป็นเจ้าของบ้านนี้แต่เพียงผู้เดียว คุณหลวงเป็นเพียงผู้อาศัยไม่ต่างจากบ่าวคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นจงเจียมกะลาหัวเอาไว้ว่าจะโดนเฉดหัวออกไปจากบ้านเมื่อไหร่ มันก็สุดแต่ใจของเจ้าของบ้าน และจงจำเอาไว้ว่า มึงต้องเรียกกูว่า คุณจัน ไหนลองเรียกซิ...” จัน ดารา (มาริโอ้ เมาเร่อ) - ชายผู้ละเอียดอ่อน ละเมียดละไม และลึกซึ้งเกินกว่ามนุษย์ปุถุชนจะเข้าใจได้จนบางคราดูเหมือนจะอ่อนไหวและเปราะบางเมื่อเทียบกับโลกแห่งวัตถุอันหยาบกระด้าง แม้ว่าชะตากรรมที่เขาจำต้องเผชิญจะโหดร้ายทารุณเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานปวดร้าวใจสักปานใดก็ตาม เขาสามารถแปรเปลี่ยนให้มันกลายเป็นความงามอันบริสุทธิ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ จนกระทั่งเมื่อชะตาชีวิตพลิกผันให้เขาต้องกลับมาเป็นผู้กระทำการต่างๆ อย่างโหดเหี้ยมรุนแรงในฐานะผู้ล้างแค้นให้กับตนและวงศ์ตระกูล  ดังนั้นทุกการกระทำของเขาที่เคยแฝงไว้ด้วยความหมายอันยิ่งใหญ่และงดงามของความเป็นมนุษย์ จึงแปรเปลี่ยนเป็นหายนะแห่งชีวิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง “สำหรับบทร้ายครั้งแรกของโอ้ มันค่อนข้างยากเหมือนกัน เพราะว่ามันละเอียด และสิ่งที่จันได้เคยเจอมา จันก็ทำตามผู้ใหญ่ด้วย แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกว่า สิ่งที่เขาถูกกระทำมาตั้งแต่ภาคแรกมันไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะเจอ ชีวิตเขาไม่ควรจะเจอแบบนี้ ทั้งๆ ที่เขาก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องถูกทำร้าย ถูกทารุณอะไรอย่างนี้ เหมือนทุกอย่างมารวมกัน ทั้ง 2 อย่าง ทั้งสิ่งที่ผู้ใหญ่บอก ทั้งสิ่งที่อยู่ในใจของจันด้วย ก็เลยทำให้จันต้องทำอะไรต่างๆ ที่ร้ายแรงลงไป และแรงขึ้นๆ เรื่อยๆ จนผลสุดท้ายแล้ว สิ่งที่จันทำกับคุณหลวงก็แรงกว่าที่คุณหลวงเคยทำกับจันซะอีกครับ โอ้รับรองเลยว่าจันดารา ปัจฉิมบทะเข้มข้นขึ้นทั้งเนื้อหาและการแสดง ฉากใหญ่ต่างๆ ทั้งเลิฟซีนสวยงาม ฉากสงครามอันโหดร้าย ฉากดราม่าที่จะเห็นด้านที่อบอุ่นที่แท้จริงของจัน ความร้ายกาจของจันและคุณหลวงที่เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นว่าการแก้แค้นทวงคืนอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายมันก็ไม่ได้ให้ผลดีกับใครเลย ใครทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้นจริงๆ เป็นหนังที่ดูสนุกแล้วก็มีข้อคิดแฝงอยู่ในนั้นเยอะแยะมากมาย เลิฟซีนก็เป็นไปตามบทบาทครับ สำหรับโอ้เรื่องนี้ถือว่าเป็นบทที่ท้าทายตัวเองมากๆ ถือเป็นก้าวใหญ่ก้าวหนึ่งสำหรับอาชีพการแสดงของโอ้เลยครับ” “ผมเคยได้ยินมาว่าความสุขในชีวิตมนุษย์เรามันแสนสั้น เหมือนกับชั่วกะพริบตาเมื่อเทียบกับอายุขัยของคนปกติ มันก็เห็นจะจริง เพราะสิ่งที่สยดสยองหัวใจของทุกคนในบ้านนี้ก็เกิดขึ้น...” เคน กระทิงทอง (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) - ชายผู้ดูเหมือนหยาบกระด้างแต่ไม่หยาบคาย และแข็งแกร่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชายชาตรีผู้มาดมั่นในเพศผู้ กล้าและท้าทายชีวิตแต่ไม่บ้าบิ่น คือคุณลักษณะภายนอกของเขา แต่ลึกลงไปในจิตใจของเขานั้น เคนเป็นคนซื่อ ตรงไปตรงมา และจริงใจอย่างหาใครมาเปรียบมิได้ ฉะนั้นคนประเภทนี้จึงเคารพความถูกต้อง และพร้อมเสมอที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมสมกับคำว่าสุภาพบุรุษโดยแท้ “สำหรับภาคนี้ ผมบอกได้เลยว่าคาแร็คเตอร์ทุกตัวละครไม่ว่าจะเป็นตัวไอ้เคน คุณจัน คุณบุญเลื่อง คุณท้าวยาย คุณหลวง น้าวาด คุณแก้ว ทุกคนจะมีการพลิกคาแร็คเตอร์จากหน้ามือเป็นหลังมือทุกคนเลย เรื่องราวต่างๆ ก็จะเป็นวัฏจักรกงเกวียนกำเกวียนของชีวิตคนที่มีการเกิดแก่เจ็บตาย มีการแก้แค้น มีการแย่งชิงอำนาจ มีการเมืองเล็กๆ ภายในบ้าน หรือว่าความรักระหว่างเพื่อนก็ยังมีอยู่ คือเนื้อเรื่องมันจะเข้มข้นมาก รวมไปถึงฉากสงครามที่ใหญ่มาก พูดได้เลยว่าครบรสมากทั้งดราม่าสุดๆ เคล้าน้ำตา มีแอ็คชั่น มีฉากเลิฟซีน ความอลังการของฉาก ความสวยงามของภาพ คอเมดี้เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังมีอยู่ ครบรสมากยิ่งขึ้นกว่าภาคปฐมบทแน่นอน             แง่คิดต่างๆ ที่จะได้จากเรื่องนี้ก็จะแตกต่างกันออกไป อยู่ที่ว่าจุดไหนจะกระทบใจของตัวเอง เราเป็นคนเดียวที่รู้ว่านิสัยใจคอของเราจริงๆ แล้ว ในความลึกตื้นหนาบางของจิตใจเราเป็นคนยังไง เวลาไปชม อะไรที่ไปสะกิดจุดตรงนั้นได้ เราก็จะคิดได้ แต่ที่แน่ๆ หลักสำคัญที่ได้แน่นอนก็คือการแก้แค้น การบ้าอำนาจ การบ้าเงินทอง อะไรก็แล้วแต่ที่เห็นแก่ตัว มันทำให้ชีวิตของเราหรือว่าใครที่เป็นแบบนั้นแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด และก็ไม่ควรเอามาเป็นแบบอย่าง เราควรใช้ชีวิตอย่างพอเพียง มันก็จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นแน่นอน อย่าไปยึดตามแบบของบางคาแร็คเตอร์ที่บ้าอำนาจ และพยายามที่จะแก้แค้นอย่างเดียวมันจะทำให้ชีวิตคุณดิ่งลงเหวไปเรื่อยๆ ครับ” “กูขอบริษัทที่สิงคโปร์ไว้เท่านั้น เพราะกูกับคุณบี๋กำลังสร้างฐานการค้าระหว่างประเทศเอาไว้ น้ำหน้าอย่างมึงไม่มีวันทำได้หรอก...ไอ้จัน” หลวงวิสนันท์เดชา (ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) - บุรุษผู้ยึดมั่นในศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิอันสูงส่ง จารีตประเพณีอันเป็นคุณสมบัติของบุรุษสยามจึงปรากฏอยู่อย่างเด่นชัดในทุกลมหายใจของเขา ไม่ว่าจะเป็นความลุ่มหลงในอำนาจวาสนาและกามคุณอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นการถูกหมิ่นเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีจึงเป็นสิ่งที่เขายอมไม่ได้ง่ายๆ และพร้อมเสมอที่จะต่อสู้เพื่อกอบกู้ให้ได้มา ไม่ว่าจะด้วยวิถีทางใดก็ตาม และเป็นที่น่าเสียดายที่เขาเลือกวิถีทางอันรุนแรงและป่าเถื่อนที่ส่งผลให้เขาต้องเผชิญกับความหายนะอันยิ่งใหญ่ “ฟังแค่ชื่อเรื่องมันอาจจะสื่อไปทางด้านเซ็กส์อย่างที่เคยรู้จักกันมา แต่จริงๆ แล้วเนี่ยมันเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาสาระมาก การทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว มันเป็นเรื่องของกรรม (การกระทำ) เป็นกงเกวียนกำเกวียนมากกว่าครับ อีโรติกในเรื่องนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่นำไปสู่เรื่องราวต่างๆ มากกว่าที่จะไปเน้นย้ำว่าเราขายแต่เรื่องแบบนี้ ซึ่งไม่ใช่เลย ผมเชื่อฝีมือหม่อมในการถ่ายทอดออกมาป็นภาพยนตร์คือมั่นใจว่ามันจะออกมาสวยงามมากกว่าเป็นเรื่องลามกแน่ๆ ถามว่าโป๊มั้ย โป๊ครับ เปลือยมั้ย เปลือยครับ ถอดมั้ย ถอดครับ แต่ว่าภาพที่ออกมาหม่อมจะช่วยตรงนี้มากครับก็เลยไว้ใจว่าไม่น่าเกลียดแน่นอน ผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่น่าดูอีกเรื่องหนึ่งที่หม่อมตั้งใจทำและนักแสดงทุกคนก็ตั้งใจแสดงมาก ผมว่ามันคุ้มค่าในการชมที่จะได้ทั้งสาระและความบันเทิงแน่นอนครับ” “เธอเปลี่ยนไปมากเลยนะจัน เปลี่ยนไปจนน่าใจหาย... คนเราจะรักคนอื่นไม่เป็นหรอกค่ะ ถ้าไม่หัดรักและเคารพตัวเองเสียก่อน...” คุณบุญเลื่อง (รฐา โพธิ์งาม) - สตรีม่ายผู้เลอโฉมผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยวิญญาณแห่งเสรีภาพ หล่อนถูกหล่อหลอมในดินแดนแห่งมนุษยชนและศิลปะชั้นสูง ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ดังนั้นทุกหยาดหยดแห่งลมหายใจและสายเลือดจึงไร้ซึ่งกฎเกณฑ์และกรอบประเพณีแห่งสยามประเทศ หล่อนรักทุกชีวิตรอบข้าง โลกของหล่อนจึงสดใสงดงามเต็มไปด้วยความสุนทรียภาพอันไร้ขอบเขตและถูกถ่ายทอดออกมาอย่างประณีตบรรจง ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียน การดนตรี หรือการขับร้อง แม้กระทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์และทุกอากัปกิริยาในทุกวิถีแห่งอารมณ์ และนั่นเองที่ทำให้หล่อนต้องตกอยู่ในกับดักแห่งกิเลสและตัณหา “คุณบุญเลื่องเป็นผู้หญิงที่มีความสุขมาตลอดชีวิต ไม่เคยมีความทุกข์ใดๆ เลย แต่พอมาภาคนี้เนี่ยสิ่งที่คุณบุญเลื่องปกปิดความลับมานาน มันทำให้เกิดผลเสียต่างๆ ตามมา เรียกได้ว่าเธอทำให้คนที่เธอรักมากที่สุดเสียใจ ดังนั้นจากคนที่ไม่เคยผิดหวังในชีวิต คนที่ไม่เคยมีความทุกข์ กลับพบกับความทุกข์ที่ตัวเองสร้างขึ้นเอง มันก็เลยเป็นจุดพลิกผันให้คุณบุญเลื่องในภาคนี้เจ็บและก็เสียใจ และทุกข์ที่สุดของที่สุด แต่พอดูแล้วรู้สึกว่า คุณบุญเลื่องเป็นผู้หญิงที่เข้าใจโลกมากคนหนึ่ง และพร้อมที่จะให้โอกาสคนอื่น แม้กระทั่งให้โอกาสตัวเอง แล้วทุกคำพูดของคุณบุญเลื่องมันเป็นคำสอน มันมีคำหนึ่งที่หญิงชอบมาก คือ ‘คนเราจะรักคนอื่นไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้จักรักและเคารพตัวเองเสียก่อน’ หญิงรู้สึกว่าจริง ถ้าเราไม่รักตัวเอง เราพร้อมที่จะไปรับไปเผื่อแผ่ให้ใครได้ที่ไหน บางคนรู้สึกว่าการรักตัวเองคือการเห็นแก่ตัว หญิงมองว่ามันไม่ใช่ มันต่างกัน การเห็นแก่ตัวคือการที่คุณไม่รักตัวเองต่างหาก หญิงรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เจ๋งดี ถ้ามีโอกาสได้เจอกันจริงๆ คงดี พูดถึงจัน ดาราแล้วก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของอีโรติก เพราะทั้งหมดเขาใช้เซ็กส์เป็นสื่อในการนำเสนอเรื่องราว บอกถึงความรัก ความใคร่ การแก้แค้น ดังนั้นมันหนีไม่พ้นในเรื่องของเลิฟซีน ซึ่งแต่ละเลิฟซีนมันก็มีความสวยงาม ดูให้งามมันก็งาม ภาคนี้สำหรับคุณบุญเลื่องจะได้เห็นมากขึ้นจากภาคที่แล้วที่จะมีแค่ถูน้ำแข็ง ก็รู้สึกตื่นเต้น เพราะนี่ก็เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิต แล้วก็เป็นอีโรติกที่เราเองก็ไม่เคยเล่นมาก่อน แต่สุดท้ายยังไงมันก็คืองาน แล้วก็มาถึงจุดนี้แล้วเราก็อยากให้ออกมาดี และอยากให้ภาพออกมาสวย ซึ่งภาพทั้งหมดหม่อมก็เป็นคนจัดให้ทั้งหมด ซึ่งที่ได้ดูแล้วก็ยอมรับค่ะว่าแรงที่สุดในชีวิต ก็ยังไม่เคยแสดงอะไรที่แรงขนาดนี้มาก่อน ถ้าไม่ใช่หม่อมก็คงจะไม่กล้าเล่น เพราะหม่อมทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ความโป๊ มันเป็นความสวยงามจริงๆ” “นั่งลงซิจัน นับแต่นี้ต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของจันแต่ผู้เดียว” น้าวาด (บงกช คงมาลัย) - สตรีผู้ยึดมั่นในความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษอันยิ่งใหญ่ เธอถูกหล่อหลอมในกรอบจารีตประเพณีอันละเอียดประณีตบรรจงแห่งกุลสตรีสยามอย่างสมบูรณ์แบบ แม่วาดงามทั้งกาย วาจา และใจ สมกับคำว่าผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แต่ในส่วนลึกของเธอนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณแห่งความเป็นสตรีเพศ เธอมีความปรารถนาอันซ่อนเร้นและบูชารักแท้เยี่ยงมนุษย์ปุถุชน แต่ด้วยความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ทำให้ชีวิตของเธอต้องพบกับความทรมานอย่างแสนสาหัสที่ไม่สามารถที่จะแสดงออกและปริปากได้แม้แต่คำเดียว “ในภาคนี้ก็จะเป็นเรื่องของบทสรุปต่างๆ ที่ทุกคนคิดว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ในภาคปฐมบท ก็ไปดูได้ในภาคปัจฉิมบทนี้จะมีคำตอบให้หมดเลย เพราะว่าทุกอย่างทุกกระทำที่เริ่มต้นในภาคแรกมีผลกับภาคที่สองอย่างมาก เพราะหม่อมเขาจะเล่าตั้งแต่ต้นจนจบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านวิสนันท์ก็เพราะความโลภ ทำให้ทุกคนต้องกลายเป็นความทุกข์ สุดท้ายแล้วมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นสิ่งที่โกหกหมดเลย เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องของกรรม การทำกรรมร่วมกันก็จะได้ผลอย่างนี้ ทำให้ตั๊กมองเห็นว่าหม่อมเขากระโดดข้ามสิ่งที่เขาจะเผยแพร่ในเรื่องของธรรมะกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ได้ในแบบที่เป็นภาพยนตร์ แล้วพวกเราก็จะเห็นเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่อยากให้พลาดชมกันค่ะ มาดูกันเยอะๆ ขอบคุณมากๆ ค่ะ ที่ทุกคนได้ชมภาคแรกกัน แล้วทุกคนก็จะได้รู้ทุกคำตอบกับสิ่งที่คุณได้ดูไปในภาคสองนี้ ตั๊กเชื่อว่าทุกคนต้องอยากดูภาคสองค่ะ” “มึงอย่าหวังนะไอ้จัน ที่จะได้แตะแม้แต่ปลายตีนกู... ไม่ต้องมาขู่ กูไม่กลัวมึงหรอกไอ้จัญไร” คุณแก้ว (โช นิชิโนะ) - หรือวิไลเลข วิสนันท์ เป็นสตรีที่ตกอยู่ในชะตากรรมอันโหดร้ายโดยไม่รู้ตัว การเกิดมาเป็นธิดาสาวคนเดียวในตระกูลและเป็นที่รักยิ่งของบิดาผู้มีทั้งอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง ทำให้เธอยึดมั่นในอัตตาแห่งตนและถอดนิสัยมาจากหลวงวิสนันท์เดชาผู้บิดาราวกับพิมพ์เดียวกันไม่เว้นแม้แต่ในเรื่องกามราคะ จะได้นิสัยแม่วาดผู้เป็นมารดาบ้างก็ในเรื่องความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว มองดูเผินๆ เธอเป็นสตรีที่ถือตัวเย่อหยิ่ง ชอบดูถูกคนและให้ร้ายคนอื่นเต็มไปด้วยความริษยาแม้แต่เงาของตัวเอง หากเธอได้รักชอบใครก็จะลุ่มหลงทุ่มเทโดยไม่คำนึงถึงถึงเหตุการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น “คุณแก้วกับดิฉันจะแตกต่างกันมากเลยค่ะ อย่างเวลาที่คุณแก้วโมโหหรือไม่แฮปปี้เนี่ย ทำให้เค้าโกรธมากๆ จนทำร้ายคนอื่นได้เลย แต่ตัวดิฉันไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่ว่าเข้าใจว่าความโกรธของแก้วนั้นมาจากความมั่นใจของแก้วเอง แต่ว่านิสัยของดิฉันนะคะ ถ้ามีอะไรที่ไม่พอใจ จะพูดกันก่อน เข้าใจกันก่อน แล้วก็หยุดปัญหาค่ะ ไม่มีการทำร้ายกันค่ะ แต่มีข้อหนึ่งที่เห็นด้วยกับคุณแก้ว คือคุณแก้วกำลังหาความรัก หาคนที่รักเค้าจริง อันนี้ไม่น่าเป็นเค้าคนเดียว น่าจะเป็นเรื่องจริงสำหรับตัวดิฉันและคนทั้งโลกเลยค่ะ เรื่องซีนอีโรติกเนี่ย ดิฉันคิดว่ามันเป็นความแตกต่างทางประเพณีและวัฒธรรมของไทยและญี่ปุ่นนะคะ เพราะที่ญี่ปุ่นเวลาถ่ายซีนอีโรติกจะเป็นเรื่องธรรมดามากค่ะ แต่ว่าที่เมืองไทยอาจจะไม่ค่อยมีเท่ากับญี่ปุ่น ก็รู้สึกแปลกใจว่าคนที่เล่นด้วยบางซีนจะค่อนข้างเขินอาย แต่ตัวดิฉันถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่ว่าก็แฮปปี้มากที่ทุกคนเกรงใจและก็ดูแลดิฉันดีมากในซีนเหล่านี้ค่ะ เนื้อหาในเรื่องนี้ก็สามารถดูได้ว่ามนุษย์เรามันจะมีหลายอารมณ์ทั้งเศร้า แฮปปี้ พอใจ มั่นใจ เห็นแก่ตัว บางทีแฮปปี้แป๊ปเดียวปุ๊บชีวิตก็อาจจะเปลี่ยนไปเหมือนลงนรกเลย เป็นสัจธรรมของชีวิต ใครทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น เป็นธรรมชาติในชีวิตคนเราค่ะ”  “ฉันเองก็เข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องยากที่ใครก็ตามในโลกนี้จะทำใจได้ง่ายๆ ถ้าได้พบกับชะตากรรมในชีวิตเยี่ยงเธอ ซึ่งอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับความเข้มแข็ง และความอดทนที่จะพาเราฝ่ามรสุมชีวิตในครั้งนี้ไปได้อย่างรอดปลอดภัย” ไฮซินธ์ (สาวิกา ไชยเดช) - สาวน้อยวัย 16 จากหัวเมืองทางภาคใต้ผู้เป็นนางในดวงใจของจัน ดาราตั้งแต่แรกพบประสบหน้า เธอมีร่างสูงระหง ดวงหน้างามคมขำราวกับเทพธิดาและมีอะไรในดวงหน้านั้นคล้ายมารดาของเขาเป็นอย่างยิ่ง นัยน์ตาโศกแต่รอยยิ้มอันสดใสของเธอก็ทำให้โลกทั้งใบพลอยมีความสุขไปกับเธอด้วย ไฮซินธ์และจันเรียนภาษาอังกฤษภาคค่ำที่โรงเรียนครูสาลี่ และสานสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ ก่อนเหตุการณ์ร้ายจะทำให้ทั้งคู่พรากจากกันโดยไม่ทันตั้งตัว “กี้คิดว่าตัวละครทุกตัวของเรื่องนี้มันมีเสน่ห์ทุกตัวเลย ตัวละครของกี้เองเนี่ยหม่อมก็บอกว่า กี้เนี่ยเป็นรับเชิญพิเศษนะ คือบทที่เราเล่นมันมีสองตัวนะแต่จะแวบไปแวบมาอะไรอย่างนี้ แต่สองตัวนี้เนี่ยเป็นตัวหลักของเรื่องที่เป็นปม เป็นผู้หญิงที่จันรักมากที่สุด พูดแล้วก็ขนลุก ที่ยากก็คือเราจะต้องเล่นสองตัวนี้ให้มันแตกต่างกันนะ แล้วบนแผ่นฟิล์มด้วย หม่อมว่ามันเป็นอะไรที่ท้าทายกับการเป็นนักแสดง กี้ก็คิดว่าต้องเล่นให้ดีที่สุด เพราะว่าบทนี้มันเป็นบทที่สำคัญมากๆ เรื่องนี้มันเป็นหนังที่มีอารมณ์และมุมมองที่หลากหลายของแต่ละคน ถ้าลองมาดูเรื่องนี้มันจะมีอะไรมากมายให้เห็นชีวิตมนุษย์มันไม่มีความแน่นอนเลยค่ะ มันมีทั้งความรัก ความแค้น ความใคร่ปะปนกันอยู่หลายๆ อย่างค่ะ มันให้อารมณ์หลากหลาย ได้ทั้งสาระและบันเทิงจริงๆ ค่ะ” “นี่มันอะไรกัน คุณแม่ไม่น่าเล่นบ้าๆ แบบนี้เลย แม่ไม่ต้องมาพูดอะไรอีกต่อไป ผมจะไม่ฟังอีกต่อไปแล้ว...” คุณขจร (ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) - สุภาพบุรุษนักเรียนนายร้อย บุตรชายคนเดียวของคุณบุญเลื่อง เขาเป็นนักเรียนนายร้อยที่สมเป็นชายชาติทหารที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติตลอดจนชาติตระกูล เป็นคนสุภาพ สุขุมนุ่มลึก และเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งออกจะดูเหมือนไว้ตัวแต่ก็ไม่เย่อหยิ่งทะนงตนแต่อย่างใด ““ในภาคปัจฉิมบทนี้มีความเข้มข้นขึ้นจากภาคปฐมบทแน่นอน จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างของบ้านวิสนันท์ เราไม่บอกว่าเป็นอะไรคุณต้องไปดูกันเอง และไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแค่ในบ้าน แต่มีการเปลี่ยนแปลงของตัวละครทุกตัวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปฐมบท คิดว่าทุกคนที่ได้ไปดูภาคแรกแล้วจะพลาดภาคนี้ไม่ได้แน่นอน เพราะว่ามันคือภาคต่อที่คุณต้องดูแล้วคุณจะเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นผลที่ตามมามันคืออะไร ผมไม่อยากให้มองภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นภาพยนตร์โป๊เปลือย แต่ว่ามันคือภาพยนตร์ที่น่าจะส่อให้เห็นและจะสื่อให้เห็นถึงความจริงในสังคมไทยที่มีมาเนิ่นนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เรื่องของการปกครอง เรื่องของการใช้ชีวิตของคนในสมัยก่อน  เรื่องของครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันอันดับหนึ่ง แล้วก็เรื่องความรักและเซ็กส์ที่เป็นเรื่องที่มีอยู่ทุกสมัย แต่ว่าพอกาลเวลาเปลี่ยนไป มันแค่เปลี่ยนรูปแบบเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพูดมา ในปัจจุบันก็ยังมีอยู่ แล้วคุณจะได้มุมมองในเรื่องของความรักอีกมุมมองหนึ่งเลยว่าคำว่าเซ็กส์ไม่ใช่แค่สนุกสนาน ไม่ใช่แค่ความรัก แต่มันคือเกมการเมือง มันคือเกมในการปกครองคนในบ้านได้เลยซึ่งเราอาจจะไม่คิดว่าสมัยก่อนมี และผมเชื่อว่าคุณผู้ชมจะได้รับรู้ถึงความตั้งใจของนักแสดงทุกคน รวมถึงความสวยงามของฉาก ความสวยงามของภาพ ความสวยงามของอารมณ์ ของนักแสดง และท้ายที่สุดอยากให้ทุกคนได้ดื่มด่ำกับ ‘ความเป็นจันดารา’ แล้วคุณจะเข้าใจถ้าได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ” “อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป อย่าเอามาคิดให้รกสมอง จริงหรือไม่จริง ยายว่าหนูจันเจ้าขาของยายอยู่ที่นี่ให้สบายใจ สบายกายเถอะ แล้วเรายายหลานค่อยมาคิดหาหนทางแก้แค้นไอ้หลวงจัญไรนั่นให้สาสมจะดีกว่า ดีหรือไม่ดีล่ะหนูจันเจ้าขาของยาย” คุณท้าวพิจิตรรักษา (รัดเกล้า อามระดิษ) - คุณป้าของดารา พิจิตรวานิชแม่ของจัน เป็นผู้อาวุโสมากที่สุดในบ้านพิจิตรวานิชเป็นคนรักเกียรติภูมิของวงศ์ตระกูลอย่างหาที่สุดมิได้ จนสามารถกระทำการต่างๆ โดยไม่สนใจความถูกผิดเพื่อรักษาผลประโยชน์และทรัพย์สมบัติความร่ำรวยของตระกูลตนเองไว้ เป็นผู้หญิงแก่ที่หลงอำนาจและสร้างปมปัญหาต่างๆ ไว้มากมาย จนก่อให้เกิดความหายนะต่อคนรอบข้างได้อย่างน่าสะพรึงกลัว “สารภาพตามตรงเลยว่ายาก เพราะจริงๆ เป็นคนรู้สึกอะไรก็จะทำออกไปตรงๆ  ถ้าไม่ชอบก็คือจบ คนที่โกหกแม้กระทั่งตัวเองแล้วจะมีความสุขอยู่ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการที่เรามารับบทนี้รู้สึกยากมาก แต่เราก็ต้องคิดถึงเป้าหมายสูงสุดของตัวละครตัวนี้นั้นคือ จุดยึดเหนี่ยวของเรา ตัวเราเองพอได้ทำความเข้าใจกับตัวละครตัวนี้แล้วรู้สึกเห็นใจคุณท้าวมากๆและด้วยความที่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ต้องรักษาเกียรติยศและทรัพย์สมบัติของวงศ์ตระกูลไว้ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเองเลย แต่เราทำเพื่อรักษาและสืบทอดต่อให้ลูกหลานเพื่อให้วงศ์ตระกูลนี้อยู่ได้ ถ้าเรามองตัวคุณท้าวในมุมนี้เราจะเห็นว่าการกระทำของคุณท้าวไม่ผิดเลยเพราะเรารู้ถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของตัวละครตัวนี้ ถ้ามองเบื้องหลังละครแต่ละตัวมองไปถึงภูมิหลัง มองไปถึงกรรมพันธุ์ว่าผู้ให้กำเนิดแต่ละคนคือใคร มองไปถึงสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมาว่าเป็นบ้านแบบไหน พบเจอผู้ใหญ่คนที่เลี้ยงเขามาเป็นแบบไหน หรือแม้แต่สถานการณ์ที่เขาบีบบังคับต้องทำ เราจะพบว่าตัวละครแต่ละตัวแทบจะไม่มีใครผิดเลย ทุกคนทุกเหตุการณ์ที่ทำลงไปเพราะมีเหตุผล เมื่อเราเข้าใจในเหตุผลของเขา เขาก็เป็นมนุษย์ปถุชนทั่วไป และตัวละครก็จะเป็นบทเรียนในสังคมได้เป็นอย่างดี คิดว่าคนดูแล้วจะเข้าใจ อยากให้ดูแล้วเก็บไปคิดว่าคนทุกคนมีข้อด้อยข้อบกพร่องข้อเสียอยู่ในแต่ละคน และในขณะเดียวกันก็มีข้อดี ไม่มีใครหรอกจะเลวไปซะทั้งหมด แล้วไม่มีใครหรอกดีไปซะทั้งหมด ถ้าเราดูแล้วเรารู้สึกว่านี่แหละคือบทเรียนของเรา ถ้าเราไม่อยากเป็นแบบนั้นในบั้นปลายชีวิต เราก็ต้องอย่าทำแบบตัวละครตัวนั้น” “คุณจัน คุณมั่นใจแล้วหรือที่จะยอมรับความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับพ่อของคุณได้ ไม่ว่าเรื่องนั้นมันจะทำให้คุณเจ็บปวดทรมานใจสักปานใดก็ตาม” “ร้อยตำรวจเอกเรืองยศ” (เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์) - นายตำรวจหนุ่มตงฉินรุ่นใหม่ไฟแรงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์แห่งการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ผู้ดำเนินคดีข่มขืนและฆาตกรรมอันเป็นปมปริศนา เขามาจากครอบครัวที่มีชาติตระกูลสูงในวงสังคม เขาจึงรักเกียรติยศและความยุติธรรมเหนือสิ่งอื่นใด ฉะนั้นเมื่อเขาต้องเผชิญกับอิทธิพลมืดอันทุจริตในเมืองพิจิตร เขาจึงไม่อาจรับสภาพนั้นได้จนตัดสินใจลาออกจากราชการทั้งๆ ที่รักในการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเต็มเปี่ยม “การแสดงในเรื่องนี้ค่อนข้างจะละเอียดในการตีความ คือผมได้มีโอกาสเรียนกับหม่อมน้อย และได้คุยกับหม่อมว่าผมอยากร่วมงานกับหม่อมน้อยสักเรื่องหนึ่ง เป็นตัวประกอบก็ยังดี หม่อมก็เลยบรรจงมอบบทร้อยตำรวจเอกเรืองยศให้ ผมว่าความยากของการแสดงเรื่องนี้มันอยู่ที่ว่าเราเล่นกับอาจารย์ เป็นภาพยนตร์ที่อาจารย์กำกับ คือหม่อมเป็นคนที่ค่อนข้างมีความละเอียดสูงในเรื่องของการแสดง การตีความ ผมที่ออกในจอไม่กี่นาทีแต่ใช้เวลาการซ้อมนานเป็นเดือน มีการซ้อมกันก่อนในห้องซ้อมเหมือนละครเวที มีการซ้อม นั่งตีความบท การแสดง ความคุ้นเคยกับนักแสดงรอบข้างทั้งหมด ผมว่าตัวละครตัวนี้ก็เป็นอีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นอีกบทบาทที่ไม่เคยเล่น เป็นบทบาทของคนที่ผิดหวัง เก็บตัวเอง ซ่อนบาดแผล มีแผลเป็นอยู่ในใจ มันเป็นความเป็นจริงของมนุษย์ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการจะสื่อให้เห็นถึงกิเลส ตัณหา ราคะ ของความเป็นคน แต่ในตัณหาราคะในแต่ละช่วงของภาพยนตร์จะซ่อนเรื่องราวแง่คิดหลายๆ มุม ทั้งในเรื่องของการเก็บเรื่องไว้กับตัวเองก็เป็นทุกข์เอง ผมว่ามันตรงกับเรื่องของสัจธรรม ตัวเราเองเป็นคนกำหนดทุกอย่าง เหมือนตัวของจัน ดาราตัวเขาเป็นตัวกำหนดชีวิตเขาเอง เพราะเขาไปกำความขมขื่น ความแค้นเอาไว้ แล้วพยายามที่จะแก้แค้น ซึ่งสุดท้ายแล้วคนดูจะได้รู้ต้นเหตุของทุกเรื่อง เราสามารถที่จะปล่อยวางแต่ละเรื่องได้หรือไม่ ถ้าปล่อยวางได้ ไม่ยึดติดกับมัน มนุษย์โลกเราจะมีความสุขมากกว่านี้เยอะ”

เกร็ดภาพยนตร์

1)       ภาพยนตร์เรื่อง “จันดารา ปฐมบท” (2555) และ “จันดารา ปัจฉิมบท” (2556) ดัดแปลงจากนวนิยายสุดคลาสสิก “เรื่องของจัน ดารา” ของนักประพันธ์ชั้นครู “อุษณา เพลิงธรรม” (ประมูล อุณหธูป) (2463-2530) ตีพิมพ์ เป็นตอนๆ ครั้งแรกใน “สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์” (2507-2509) 2)       ต่อมาได้พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกโดย “สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น” (2509) และหลังจากนั้นตลอดเกือบ 50 ปีที่ผ่านมาก็ถูกพิมพ์รวมเล่มเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันเป็นครั้งที่ 13 โดย “สำนักพิมพ์มติชน” (เม.ย. 2555) 3)       สู่การเขียนบทและตีความใหม่สุดเข้มข้นโดยผู้กำกับฯ ฝีมือละเมียด “หม่อมน้อย - ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” เป็นผลงานลำดับที่ 11 ถัดจากภาพยนตร์ขึ้นหิ้งอย่าง เพลิงพิศวาส (2527), ช่างมันฉันไม่แคร์ (2529), ฉันผู้ชายนะยะ (2530), นางนวล (2530), เผื่อใจไว้ให้กันสักหน่อย (2532), ความรักไม่มีชื่อ (2533), มหัศจรรย์แห่งรัก (2538), อันดากับฟ้าใส (2540), ชั่วฟ้าดินสลาย (2553), อุโมงค์ผาเมือง (2554) 4)       “จันดารา” เวอร์ชั่นหม่อมน้อยใน พ.ศ. นี้ ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งที่ 3 ถัดจาก 2 ครั้งแรก คือ -          ครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2520) สร้างโดย เทพกรภาพยนตร์ / อำนวยการสร้างโดย กิติมา เศรษฐภักดี / กำกับโดย รัตน์ เศรษฐภักดี / เขียนบทโดย ส. อาสนจินดา / กำกับภาพโดย อดุลย์ เศรษฐภักดี / นำแสดงโดย สมบูรณ์ สุขีนัย (จัน), อรัญญา นามวงศ์ (บุญเลื่อง), ศิริขวัญ นันทศิริ (แก้ว), ภิญโญ ปานนุ้ย (เคน) เข้าฉายเมื่อ 11 มี.ค. 2520 ที่โรงเพชรรามา และโรงเพชรเอ็มไพร์ -          ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2544) สร้างโดย ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ / กำกับโดย นนทรีย์ นิมิบุตร / เขียนบทโดย ศิรภัค เผ่าบุญเกิด, นนทรีย์ นิมิบุตร / นำแสดงโดย สันติสุข พรหมศิริ (คุณหลวง), สุวินิต ปัญจมะวัต-เอกรัตน์ สารสุข (จัน), วิภาวี เจริญปุระ (น้าวาด), คริสตี้ ชุง (บุญเลื่อง), ภัทรวรินทร์ ทิมกุล (แก้ว), เคน (ครรชิต ถ้ำทอง) เข้าฉายเมื่อ 28 ก.ย. 2544 5)       “จันดารา” เวอร์ชั่นหม่อมน้อยจะถูกสร้างเป็นสองภาค คือ “จันดารา ปฐมบท” (6 ก.ย. 54) และ “จันดารา ปัจฉิมบท” (7 ก.พ. 56) เพื่อความสมบูรณ์แบบของเนื้อหาและสาระบันเทิงอย่างเต็มอิ่ม 6)       พลิกบทบาทประชันฝีมือด้วยทีมนักแสดงแถวหน้าของเมืองไทยไม่ว่าจะเป็น  มาริโอ้ เมาเร่อ (จัน ดารา), ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต (เคน กระทิงทอง), ศักราช ฤกษ์ธำรงค์ (หลวงวิสนันท์เดชา), บงกช คงมาลัย (น้าวาด), รฐา โพธิ์งาม (คุณบุญเลื่อง), โช นิชิโนะ (คุณแก้ว), สาวิกา ไชยเดช (ดารา / ไฮซินธ์), รัดเกล้า อามระดิษ (คุณท้าวพิจิตรรักษา), ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา (ขจร), เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ (ร้อยตำรวจเอกเรืองยศ) ร่วมด้วยนักแสดงสมทบและรับเชิญอีกมากมายที่จะมาเพิ่มสีสันให้กับภาพยนตร์ในภาคนี้ 7)       “จันดารา” ทั้งสองภาคนี้เซ็ตฉากถ่ายทำอย่างงดงามในทุกๆ โลเกชั่นไม่ว่าจะเป็น บ้านสังคหวังตาล บ้านโป่ง จ.ราชบุรี / หอวัฒนธรรมไทยวน (ไท-ยวน) อำเภอเสาไห้ สระบุรี / โฮมพุเตย, น้ำตกเจ็ดสาวน้อย จ.กาญจนบุรี / ลานพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5, ถนนราชดำเนิน หน้าวังปารุสกวัน, สถานีดับเพลิงบางรัก, ตึกพัสดุการรถไฟ, หัวลำโพง กรุงเทพมหานคร 8)       รวมพลคนเบื้องหลังมืออาชีพทุกๆ ด้านที่จะมาสร้างสรรค์ให้ “จันดารา” เวอร์ชั่นนี้ตระการตาเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบงานสร้างสุดวิจิตรในทุกฉากโดย “พัฒน์ฑริก มีสายญาติ” (อุโมงค์ผาเมือง), การกำกับภาพสุดงดงามในทุกเฟรมภาพของ “พนม พรมชาติ” (ชั่วฟ้าดินสลาย, อุโมงค์ผาเมือง ฯลฯ), งานออกแบบเครื่องแต่งกายสุดประณีตของ “อธิษฐ์  ฐิรกิตสัฒน์” (ซีอุย, ต้มยำกุ้ง, Me, Myself ขอให้รักจงเจริญ), การเมคอัพสุดบรรจงในทุกคาแร็คเตอร์โดย “มนตรี วัดละเอียด” (สุริโยไท, โหมโรง, ชั่วฟ้าดินสลาย, อุโมงค์ผาเมือง ฯลฯ) และดนตรีประกอบสุดตรึงใจโดย “ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์” (นางนาก, จัน ดารา-2544, โอเคเบตง, โหมโรง, เดอะ เลตเตอร์ จดหมายรัก, ก้านกล้วย, ปืนใหญ่จอมสลัด, อุโมงค์ผาเมือง, คน-โลก-จิต ฯลฯ) 9)       “เพลงเมื่อไหร่จะให้พบ” ประพันธ์คำร้องโดย “แก้ว อัจริยะกุล” / ทำนองโดย “หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์” / ต้นฉบับขับร้องโดย “มัณฑนา โมรากุล” ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) ประจำปี พ.ศ. 2552 โดยภาพยนตร์ปี พ.ศ. 2555 นี้ จะขับร้องโดย “รฐา โพธิ์งาม” และ “ศักราช ฤกษ์ธำรงค์” สองนักแสดงใน “จันดารา ปฐมบท” อย่างแสนไพเราะ 10)   “จันดารา ปฐมบท” เดินสายฉายทั่วเอเชียไปแล้วที่ สิงคโปร์ (11 ต.ค.), ฮ่องกง (29 พ.ย.), ไต้หวัน (30 พ.ย.), และอีกหลายประเทศที่ซื้อไปฉายแล้วอย่าง เกาหลีใต้ และ ฟิลิปปินส์ 11)   DVD จันดารา ปฐมบท” จะออกมาให้ผู้ชมได้หวนระลึกความทรงจำและซึมซับทุกความรู้สึกกันอีกครั้งในวันที่ 13 ธ.ค. นี้ ก่อนที่จะไปพบกับบทสรุปของภาพยนตร์อย่างสมบูรณ์แบบทุกอารมณ์ใน “จันดารา ปัจฉิมบท”  พร้อมฉาย 7 ก.พ. 56 12)   นอกจากเรื่องราวเข้มข้นน่าติดตามและการเชือดเฉือนบทบาทของทีมนักแสดงอย่างสุดประทับใจแล้ว ใน “จันดารา ปัจฉิมบท” ยังคงสร้างสรรค์หลากหลายฉากใหญ่อย่างตระการตาพร้อมด้วยเครื่องแต่งกายและการเมคอัพจัดเต็มอย่างสมบูรณ์แบบไม่ว่าจะเป็นฉากสงครามโลกครั้งที่ 2, ฉากภายในบ้านวิสนันท์และพิจิตรวานิช, ฉากสำนักโคมเขียวโคมแดง, ฉากกระท่อมกลางป่าลึก, ฉากโรงงานพิจิตรวานิช, ฉากงานแต่งงาน รวมถึงฉากอีโรติกสุดงดงามที่หลายคนจับตามอง

คลังภาพยนตร์หม่อมน้อย

-          เพลิงพิศวาส (2527) ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขาดาราประกอบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย หงษ์ไทย) -          ช่างมันฉันไม่แคร์ (Damn it! Who care - 2529) – ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม / ได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม / ได้รับการคัดเลือกไปฉายโชว์ในงาน London Films Festival และ Berlin Films Festival -          ฉันผู้ชายนะยะ (Boy in the Band - 2530) – ได้ฉายใน Gay Film Festival ที่ Los Angeles สหรัฐอเมริกา ปี 2532 -          นางนวล (The Seagull - 2530) - ได้รับรางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยมแห่งเอเชียในปี 2531 ใน Asian Films Festival ที่ Taiwan และยังเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับการเสนอชื่อรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย -          เผื่อใจไว้ให้กันสักหน่อย (2532) -          ความรักไม่มีชื่อ (2533) -          มหัศจรรย์แห่งรัก (2538) – ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขาดารานำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย หงษ์ไทย), ดาราประกอบฝ่ายชายยอดเยี่ยม (วิลลี่ แมคอินทอช), ดาราประกอบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม (วราพรรณ หงุ่ยตระกูล), กำกับฝ่ายศิลป์ยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม -          อันดากับฟ้าใส (2540) – ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขาดาราประกอบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย หงษ์ไทย), ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม -           ชั่วฟ้าดินสลาย (2553) – ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม(อนันดา เอเวอริงแฮม), ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 20 / ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับ, บทภาพยนตร์, นักแสดงนำชาย, นักแสดงนำหญิง รางวัลคมชัดลึกอวอร์ดครั้งที่ 8 / ผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม, ผู้แสดงนำหญิง, ยอดเยี่ยม, กำกับศิลป์, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 19 -           อุโมงค์ผาเมือง (2554) – เทคนิคการสร้างภาพพิเศษ, ออกแบบเครื่องแต่งกาย รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 21 / ผู้แสดงสมทบหญิง (รัดเกล้า อามระดิษ), กำกับศิลป์ รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 20