HIGHLIGHT CONTENT

ข้อมูล "Hope Springs"

  • 6,378
  • 20 ส.ค. 2012

Hope Springs

ประเภท Romantic / Comedy
กำหนดฉาย 30 สิงหาคม 2012
บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
อำนวยการสร้าง เคลลี่ โคน็อป (50/50, Juno, Whip It, Young Adult)
กำกับ เดวิด แฟรงค์เกล (The Devil Wears Prada, Marley & Me)
เขียนบท วาเนสซ่า เทย์เลอร์ (ซีรี่ย์ Everwood, Game of Thrones)
นำแสดง เมอรีล สตรีพ (The Devil Wears Prada, It's Complicated, Julie & Julia) ทอมมี่ ลี โจนส์ (MIB 1-3, Captain America: The First Avenger) สตีฟ คาร์เรล (Crazy Stupid Love, Date Night, Dan in Real Life) อลิซาเบธ ชู (Piranha, Hollow Man, Leaving Las Vegas)

เนื้อเรื่อง

ผลงานจากผู้กำกับ The Devil Wears Prada ที่ครั้งนี้กลับไปร่วมงานกับนักแสดงเจ้าของสามรางวัลออสการ์ เมอรีล สตรีพ กับหนังรักปนตลกรุ่นเก๋า โดย สตรีพ รับบทเป็น เคย์ ภรรยาของ อาร์โนลด์ (ทอมมี่ ลี โจนส์) ที่อยู่กินกันมา 31 ปี แต่แล้วพวกเขาก็พบว่าชีวิตคู่กำลังอยู่ในช่วงจืดชืดอย่างหนัก เธอได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือกูรูด้านความสัมพันธ์ ที่เขียนโดย ดร.เบอร์นี ฟิลด์ (สตีฟ คาร์เรล) เคย์ จึงลากสามีไปหาเขาเพื่อขอคำปรึกษา ซึ่งคำแนะนำของ ดร.เบอร์นี ก็ทำให้ทั้งคู่ได้เผชิญหน้ากับความต้องการลึกๆ ที่ช่วยเติมไฟรักให้กับชีวิตคู่อีกครั้ง Hope Spring เป็นผลงานจากผู้สร้าง 50/50, Juno และ Whip It กำกับโดย เดวิด แฟรงค์เกล (The Devil Wears Prada, Marley & Me) และเขียนบทโดย วาเนสซ่า เทย์เลอร์ (ซีรี่ย์ Everwood, Game of Thrones) นำแสดงโดยนักแสดงแถวหน้าอย่าง เมอรีล สตรีพ (The Devil Wears Prada, It's Complicated, Julie & Julia), ทอมมี่ ลี โจนส์ (MIB 1-3, Captain America: The First Avenger), สตีฟ คาร์เรล (Crazy Stupid Love, Date Night, Dan in Real Life) และ อลิซาเบธ ชู (Piranha, Hollow Man, Leaving Las Vegas)

จุดเริ่มต้นการสร้าง

Hope Springs เป็นเรื่องของคู่สามี-ภรรยา ที่สูญเสียความตื่นเต้นในชีวิตคู่ไป โดย เมอรีล สตรีพ นักแสดงเจ้าของสามรางวัลออสการ์ ก็ได้เล่าพูดตัวละครที่เธอแสดงว่า "เคย์ ต้องการที่จะเชื่อมความสัมพันธ์กับ อาร์โนลด์ สามีของเธออีกครั้ง เธอต้องการที่จะกลับไปรู้สึกเหมือนวันวาน ใกล้ชิดกับเขา และทำให้เขากลับมาสนใจในตัวเธออีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็คงคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณถามเขาว่าตอนนี้สถานะชีวิตคู่ของพวกเขาอยู่ตรงจุดไหน เขาคงตอบว่า "ไม่รู้สิ อยู่กลางๆล่ะมั้ง" ทอมมี่ ลี โจนส์ นักแสดงที่ได้ออสการ์จาก The Fugitive และแสดงนำในหนังบล็อคบัสเตอร์ MIB ทั้งสามภาค รับบทเป็นสามีในเรื่อง ก็พูดถึงตัวละครของเขาว่า "อาร์โนลด์ เป็นคนที่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ เขายอมรับในเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง เขาไม่ได้คิดถึงสถานะในชีวิตคู่ของเขา เขาเป็นคนประเภทที่ว่าไม่อยากพูดถึงสิ่งที่มี ตราบใดที่มันไม่ได้สร้างปัญหาในการดำเนินชีวิต" วาเนสซ่า เทย์เลอร์ เขียนบทเรื่อง Hope Springs ซึ่งก็กลายเป็น 1 ใน 40 บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ที่ยังไม่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ประจำปี 2009 โดยเธอเผยว่าได้รับแรงบันดาลใจจากคำถามที่เกิดขึ้นในใจของตัวเอง "ฉันคิดถึงเรื่องชีวิตคู่ และแนวทางที่พวกเขาใช้สร้างแรงใจและความรัก สำหรับการแต่งงานที่ยาวนาน ฉันศึกษาบทความเกี่ยวกับการปรึกษาชีวิตคู่ และฉันก็สงสัยว่าคุณจะเติมไฟรักได้ยังไง ถ้าเกิดมันมีไม่มากตั้งแต่เริ่มแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมมองของผู้หญิง ถ้าคุณไม่มีความมั่นใจในตัวเอง คุณต้องใช้ความกล้าแค่ไหนในการก้าวออกมาแล้วบอกว่า "ชีวิตแต่งงานของเราไม่มีปัญหา แต่มันยังไม่ดีพอ ฉันต้องการมากกว่านี้ ฉันสมควรได้รับมากกว่านี้" สตีฟ คาร์เรล นักแสดงตลกที่เข้ามารับบทเป็น ดร.เบอร์นี ฟิลด์ ที่ให้คำปรึกษาเรื่องชีวิตคู่ และเป็นความหวังสุดท้ายของ เคย์ ในการรักษาการแต่งงาน ก็ได้ให้ทัศนะว่า "ผมคิดว่าหลายคนคงมีมุมมองเรื่องความสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าสถานะมันจะอยู่ตรงไหน และต้องไปอีกแค่ไหนเพื่อให้สำเร็จ ผมคิดว่านั่นคือเสน่ห์และอารมณ์ขันของหนัง ผู้คนจะเข้าใจว่า เคย์ และ อาร์โนลด์ กำลังเผชิญหน้ากับอะไร พวกเขาจะเชื่อมถึงและหัวเราะไปกับมัน" ผู้อำนวยการสร้าง นาธาน คาเฮน ได้อ่านบทภาพยนตร์ของ วาเนสซ่า เทย์เลอร์ เป็นครั้งแรก และพบว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของ เคย์ และ อาร์โนลด์ "มันมีความท้าทายเสมอกับชีวิตหลังแต่งงาน Hope Springs จะแสดงให้คุณเห็นว่าความสุขมันหายไปได้เร็วแค่ไหน และมันยากยิ่งกว่าในการสร้างมันขึ้นมาอีกครั้ง ผมต้องการสร้างมันให้เป็นหนังทันที เพราะประเด็นนี้เข้าถึงกับคนทั่วโลก" หน้าที่ในการเข้ามากำกับหนังก็คือ เดวิด แฟรงค์เกล ซึ่งเป็นการกลับไปร่วมงานกับ สตรีพ อีกครั้งนับตั้งแต่หนังสุดฮิต Devil Wears Prada โดยผู้อำนวยการสร้าง ท็อดด์ แบล็ค ก็ได้พูดถึงตัวผู้กำกับว่า "เดวิด เข้าใจว่านี่เป็นเรื่องราวที่มีความเป็นสากลและสื่อได้ถึงคนทั้งโลก มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักษาสมดุลระหว่างอารมณ์และความสมจริง คุณทำให้มันใหญ่หรือเล็กเกินไปไม่ได้ แต่ เดวิด เข้าใจถึงการทำให้ทุกช่วงเวลามีความสำคัญ และสะท้อนไปถึงคนในทุกระดับ" แบล็ค พูดถึงการเลือกผู้กำกับต่อว่า "เพราะว่า Hope Springs เป็นวัตถุดิบที่มีความเป็นส่วนตัวและใกล้ชิด เมอรีล จึงคิดว่าเธอต้องการผู้กำกับที่ตัวเองรู้สึกสบายใจด้วยในการทำงานร่วมกัน และการได้ เดวิด เข้ามาร่วมงานก็ถือว่าลงตัวที่สุด เขาเข้าใจทั้งในด้านอารมณ์และเนื้อหา" สตรีพ พูดถึงผู้ตัวกำกับว่า "สิ่งที่ผู้กำกับที่มีความสามารถอย่าง เดวิด ทำก็คือ การทำให้คุณรู้สึกว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ และก็ทุกอย่างที่คุณทำไม่นับเป็นความผิดพลาด คุณสามารถทดลองอะไรก็ตามต่อหน้าเขาได้ คุณสามารถสร้างตัวละครที่คุณรู้สึกว่าสมจริงขึ้นมา และแตกต่างจากที่คุณเคยทำมาก่อนได้ เขาให้อำนาจและอิสระในการแสดงของคุณอย่างเต็มที่" ทางด้าน สตีฟ คาร์เรล ก็ได้พูดถึงผู้กำกับว่า "เดวิด สามารถดันคุณให้ไปอีกเส้นทางหนึ่งถ้าเขาคิดว่ามันจำเป็น แต่เขาก็เชื่อมั่นในตัวของพวกเรา ในการที่จะเข้าไปสำรวจตัวละครด้วยตัวเอง เขาใจดีและชอบช่วยเหลือ ซึ่งมันก็เป็นองค์ประกอบที่ช่วยเปิดทัศนคติสำหรับตัวละครที่คุณแสดง" เดวิด แฟรงค์เกล เผยว่าการมีทั้ง เมอรีล สตรีพ, ทอมมี่ ลี โจนส์ และ สตีฟ คาร์เรล เข้ามารับบทเป็นสามตัวละครสำคัญ คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในการเล่าเรื่อง "พวกเขาคือนักแสดงที่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้อย่างรวดเร็ว พวกเขารู้สึกถูกชะตากับอีกฝ่ายทันที ทั้งๆที่ไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน และยังเข้าใจตัวละครมากกว่าผมและคนอื่นๆ ความตั้งใจของพวกเขาทำให้งานของผมง่ายไปเลย"

คัดเลือกนักแสดง

เมอรีล สตรีพ ที่รับบทเป็น เคย์ พูดถึงเส้นทางในตัวละครของเธอว่า "เธอต้องการสลัดเอาความรู้สึกปัจจุบันออกไป เธอต้องการที่จะเชื่อมถึง อาร์โนลด์ ในรูปแบบที่เคยเป็นมาในช่วงปีแรกๆ เธอออกตามหาวิธีและคำตอบ และก็พบมันในหนังสือของ ดร. ฟิลด์ ซึ่งจุดประกาบให้เธอใช้เงินเก็บของตัวเองจองตั๋วเครื่องบิน และลาก อาร์โนลด์ ไปขอคำปรึกษาชีวิตคู่ที่ เกรท โฮป สปริงส์ ในรัฐเมน" ผู้อำนวยการสร้าง นาธาน คาเฮน ก็พูดถึงการได้นักแสดงหญิงที่เก่งที่สุดในฮอลลิวู้ดเข้ามาแสดงว่า "ตั้งแต่เริ่มแรกพวกเราทุกคนต้องการแค่ เมอรีล สตรีพ เข้ามารับบท หรือไม่งั้นเราก็จะไม่สร้างเลย ซึ่ง เมอรีล ก็ทำเหมือนกับหนังทุกเรื่องของเธอ นั่นก็คือการสวมวิญญาณเป็นตัวละครนั้น และเธอก็ทำได้เหมือนกับว่าไม่ต้องพยายามเลย ถึงแม้ความจริงแล้วมันต้องมีการเตรียมตัวอย่างหนักในแต่ละบทที่เธอแสดง" ผู้กำกับ เดวิด แฟรงค์เกล เล่าต่อว่า ในขณะเดียวกัน อาร์โนลด์ ก็มองปัญหาจากอีกด้านหนึ่ง เขาอธิบายว่า "เคย์ กังวลว่าเธอจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออย่างจืดชืดและเย็นเป็นน้ำแข็ง แต่ อาร์โนลด์ ก็กลับกังวลว่ าถ้าเกิดมีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาก็อาจสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป เขากลัวว่าเมื่อมีคำถามทุกอย่างอาจไม่เหมือนเดิม มันมีประโยคหนึ่งที่เขาพูดในหนังว่า "ถ้าคุณเข้าไปปรึกษาแบบไม่แน่ใจถึงปัญหา คุณก็จะออกมาด้วยปัญหา เพราะคุณจะต้องพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา" นั่นทำให้เขาไม่อยากที่จะเสี่ยง" แฟรงค์เกล เผยว่า โจนส์ รับบทเป็นตัวละครที่แตกต่างจากตัวตนที่แท้จริง ซึ่งถือเป็นการแสดงความสามารถของนักแสดงคนนี้ "ในชีวิตจริง ทอมมี่ เป็นคนที่มีเสน่ห์ พลังงาน และเหมือนกับคาวบอยหลงยุค ในขณะที่ อาร์โนลด์ ไม่ใช่คนแบบนั้นเลย มันยอดเยี่ยมที่ได้เห็นเขาเปลี่ยนเป็นคนที่คุณเห็นใจ คุณจะได้เห็น อาร์โนลด์ เป็นชายสูงวัยทั่วไป และนั่นก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถของ ทอมมี่" ผู้อำนวยการสร้าง นาธาน คาเฮน พูดถึงการจับคู่ว่า "เคมีระหว่าง ทอมมี่ และ เมอรีล ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาทำได้ยังไง นอกเสียจากว่าพวกเขาคือสุดยอดนักแสดงแห่งยุค พวกเขาได้ถ่ายทอดความหลังที่คุณรู้สึกได้จากความรักของสามีและภรรยา ที่จางหายไปในระหว่างทางนานแล้ว คุณจะรู้สึกถึงได้ในความเงียบงันของทั้งคู่ และเมื่อพวกเขาเปิดใจคุยกัน คุณก็จะยิ่งรู้สึกว่าพวกเขารู้ทุกอย่างของกันและกัน ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์" สตีฟ คาร์เรล รับบทเป็น ดร. ฟิลด์ กูรูเรื่องความสัมพันธ์ ที่พยายามช่วยให้ เคย์ และ อาร์โนลด์ กลับมาจูนกันติดอีกครั้ง เขาพูดถึงตัวละครนี้ว่า "เขาเชี่ยวชาญในการบำบัดชีวิตคู่ เขาเป็นคนที่ฉลาด ฟังความคิดเห็นของคนอื่น ช่วยให้คนลากจุดต่อได้ด้วยตัวเอง เขาไม่ได้สั่งให้ใครทำโน้นทำนี่ เขาแค่ช่วยให้คู่รักเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ หรือสำรวจสิ่งที่จะช่วยในสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ" อีกหนึ่งผู้อำนวยการสร้าง ท็อดด์ แบล็ค ก็พูดถึง คาร์เรล ว่า "สตีฟ เป็นนักแสดงที่เก่งรอบด้าน ทุกคนรู้จักเขาจากการแสดงในซีรี่ย์ The Office หรือหนังตลกมากมาย แต่เมื่อคุณมองเขาจากอีกด้าน สิ่งที่เขาทำใน Little Miss Sunshine หรือ Dan in Real Life คุณก็จะพบว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีฝีมือ เขาได้นำมิติและความอบอุ่นเข้ามาใส่ในตัว ดร. ฟิลด์ ในแนวทางที่นักแสดงคนอื่นๆไม่สามารถทำได้" สำหรับฉากการปรึกษาชีวิตคู่ แฟรงค์เกล รู้สึกว่าแนวทางที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้มันสด ใหม่ สนุก และตลก ก็คือการหลีกเลี่ยงการซ้อมบท สำหรับ คาร์เรล มันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุด เขาเล่าถึงประสบการณ์ว่า "ลองคิดดูว่าคุณนั่งตรงข้ามกับ เมอรีล สตรีพ และ ทอมมี่ ลี โจนส์ กับบทสนทนาที่มีอยู่ด้วยกัน 9 หน้า คุณจะต้องพร้อมเมื่อเขาสั่งแอ็คชั่น มันมีองค์ประกอบของความกลัว ผมคิดว่า เดวิด อยากรู้ว่าผมจะตอบสนองกับสิ่งนี้ยังไง แต่มันก็สนุกดี ผมเข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ต้องการให้มีการซ้อมบท เขาต้องการให้มันสมจริงและจับต้องได้ เพราะบางครั้งเวลาที่คุณซ้อมบทมากเกินไป ถึงแม้ทุกอย่างที่ควรอยู่ก็จะอยู่ตรงนั้น แต่มันก็จะขาดจิตวิญญาณไปเสมอ"

เบื้องหลังการถ่ายทำ

เรื่องราวส่วนใหญ่ใน Hope Springs เกิดขึ้นในรัฐเมน และบางส่วนในโอมาฮ่า แต่หนังก็ไปถ่ายทำที่คอนเนคติกัตตลอดทั้งเรื่อง โดยสามอาทิตย์แรกทีมงานก็ไปถ่ายทำในชานเมืองของ เซ้าท์ นอร์วอร์ค โรงงานเก่าก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นซาวน์เสต็ทชั่วคราว โดยผู้ออกแบบงานสร้าง สจ๊วต เวิร์ธเซล ก็ใช้เป็นห้องทำงานและออฟฟิศของดร. ฟิลด์ หลังจากถ่ายทำฉากการบำบัดเสร็จแล้ว เมอรีล สตรีพ และ ทอมมี่ ลี โจนส์ ก็มุ่งหน้าไปถ่ายทำในฉากที่เป็นบ้านของพวกเขาในโอมาฮ่า และโรงแรมในเมนที่ถูกใช้เป็นที่พักระหว่างที่พวกเขาเข้าปรึกษา โดยหลายฉากก็ได้ถ่ายทอดความกระอักกระอ่วนของความพยายามใกล้ชิด ผู้กำกับ เดวิด แฟรงค์เกล อธิบายว่า "ฉากในห้องนอนเป็นอะไรที่ท้าทาย เพราะคุณต้องถ่ายทอดความใกล้ชิดและความเป็นส่วนตัวของคนสองคน ซึ่งในความเป็นจริงมันก็มีกล้องขนาดใหญ่ และทีมงานอีก 16 คนอยู่ในพื้นที่แคบๆ และยังมีผู้ชายถือไมค์บูมอยู่เหนือหัวคุณ มันไม่มีความเป็นส่วนตัวอะไรทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามนักแสดงที่ดีก็จะสามารถทำให้มันมีอารมณ์ร่วมได้" สโตนนิ่งตัน คอนเน็ตติกัต ก็กลายเป็นเมืองตัวแทนของ เกรท โฮป สปริงส์ ที่ ดร.ฟิลด์ ใช้เป็นสถานที่ประกอบอาชีพของเขา โดยมันตั้งอยู่ในทิศตะวันออกของคอนเนคติกัต ก่อนที่จะถึงเขตแดนโร้ด ไอแลนส์ โดย สโตนนิงตัน เป็นเมืองประมงที่มีแหลมยื่นออกไป ห่างไกลจากเส้นแบ่งเขตแดนหลายไมล์ ที่นี่ถือเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามกลางเมือง ด้วยความอุดมสมบูรณ์และวิวชายทะเลอันสวยงาม ทำให้มันเหมาะที่สุดสำหรับการเป็นตัวแทนของ เกรท โฮป สปริงส์ แฟรงค์เกล เล่าว่า "มันสมบูรณ์แบบ ถึงแม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่มันก็มีองค์ประกอบทุกอย่างที่เราต้องการ มีโรงแรมอยู่ใจกลางเมือง และมีบ้านที่เหมาะสมที่สุดในการเปลี่ยนให้เป็นร้านอาหารของ ดร. ฟิลด์" สำหรับ เวิร์ธเซล สโตนนิงตันก็ยังช่วยเล่าเรื่องทางภาพอีกด้วย "ผมต้องการให้มันมีความแตกต่างระหว่างบ้านที่ปลอดภัยในโอมาฮ่า และแทบชายฝั่งของรัฐเมน มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาในการอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ผมอยากทำให้มันแตกต่างกัน และสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่อยู๋ในความสัมพันธ์ลึกๆของ เคย์ และ อาร์โรลด์ ที่นี่คือเมืองเล็กๆ ไม่มีความลับระหว่างกัน เมื่อมาถึงทุกคนก็จะรู้ว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามา และก็มักมาเป็นคู่ เพราะพวกเขาทุกคนเข้ามารับการปรึกษาจาก ดร. ฟิลด์ ทั้งนั้น"

ประวัตินักแสดง

เมอรีล สตรีพ (รับบทเป็น เคย์) เมอริล สตรีพ เป็นได้รับรางวัลออสการ์ 3 ครั้ง และยังเป็นผู้ครองสถิติได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สูงสุดถึง 15 ครั้ง ผ่านการรับบทที่มีความหลากหลายและมีเส้นทางอาชีพที่โดดเด่นทั้งในแวดวงละครเวที ภาพยนตร์จอเงินและจอแก้ว สตรีพ เริ่มอาชีพของเธอบนละครเวทีหลังจากได้รับ MFA จาก Yale School of Drama ที่เธอเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติของโรงเรียนที่ได้รับรางวัล Carol Dye Acting Award ก่อนที่จะเริ่มเส้นทางในวงการหนังในบทเพื่อนของ เจน ฟอนด้า ในเรื่อง Julia ของผู้กำกับ เฟรด ซินเนแมน ก่อนที่จะได้แสดงคู่กับ โรเบิร์ต เดอ นีโร และ คริสโตเฟอร์ วอลเค่น ใน The Deer Hunter ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรก ต่อมาเธอก็มีผลงานใน Manhattan ของผู้กำกับ วู้ดดี้ อัลเลน และภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต เบนตัน เรื่อง Kramer vs. Kramer คู่กับ ดัสติน ฮอฟแมน ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรก ก่อนที่จะฝากการแสดงที่จับใจในบทนำเรื่อง Sophie’s Choice รวมถึงรับบทเป็น คาเรน ซิลวู้ด ในภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงของ ไมค์ นิโคล เรื่อง Silkwood และกลับมาร่วมงานอีกครั้งกับ โรเบิร์ต เดอ นีโร อีกครั้งในเรื่อง Falling in Love เธอยังแสดงนำในภาพยนตร์ออสการ์ประจำปี 1985 ของ ซิดนีย์ พอลแล็ค เรื่อง Out of Africa คู่กับ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด โดยผลงานเรื่องอื่นๆของเธอก็ยังมี Postcards from the Edge ของ ไมค์ นิโคล, Defending Your Life ของ อัลเบิร์ต บรูค, Death Becomes Her โรเบิร์ต เซเมคิส รวมถึง The River Wild ของ เคอร์ติส แฮนสัน ที่ถือเป็นหนังแอ็คชั่น/ผจญภัยเรื่องแรกของเธอ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของ สตรีพ ก็ยังมี The Manchurian Candidate, Lemony Snicket’s A Series of Unfortunate Events, Prime, A Prairie Home Companion ของผู้กำกับ โรเบิร์ต อัลท์แมน, Evening และ The Devil Wears Prada ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาดารานำหญิงยอดเยี่ยม รวมถึงยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ รางวัลแซ็กอวอร์ด และรางวัลบัฟต้า สตรีพ ยังร่วมแสดงกับ โรเบิร์ต เร็ดฟอร์ด และ ทอม ครูซ ในภาพยนตร์เรื่อง Lions for Lambs ซึ่ง เร็ดฟอร์ด เป็นคนกำกับ และเธอยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของนิวไลน์เรื่อง Rendition ประกบกับ รีส วิเธอร์สปูน และ เจค จิลเลนฮาล, Doubt ร่วมแสดงนำกับ ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน และ เอมี่ อดัมส์, รวมถึง Julie & Julia ที่ประกบบทกับ สแตนลี่ย์ ทุคชี่ และ เอมี่ อดัมส์ อีกครั้ง โดยล่าสุดเธอก็ได้รับรางวัลออสการ์เป็ฯครั้งที่สาม จากการรับบทเป็นนายกรัฐมนตรีหญิง มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ใน The Iron Lady ทอมมี่ ลี โจนส์ (รับบทเป็น อาร์โนลด์) ทอมมี่ ลี โจนส์เกิดที่ซานซาบา เท็กซัส สหรัฐอเมริกา เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ด้วยผลการเรียนระดับเกียรตินิยมในปี 1969 ซึ่งเขาเคยมีเพื่อนร่วมห้องชื่อ อัล กอร์ รองประธานาธิบดีของสหรัฐ และยังเป็นอดีตนักโปโลแชมเปี้ยนระดับมืออาชีพ หลังจากเรียนจบเขาขึ้นแสดงละครเวทีเรื่อง A Patriot for Me และได้แสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในปีต่อมา ในเรื่อง Love Story หลังจากนั้น โจนส์ ได้บทนำเป็นครั้งแรก ในหนังแคนาเดียนเรื่อง Eliza’s Horoscope ต่อมาเขาได้แสดงในหนังมินิซีรีส์ทางโทรทัศน์ เรื่อง The Amazing Howard Hughes ในบท โฮเวิร์ด ฮิวจ์ส ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ ต่อมาเขาได้แสดงใน เรื่อง The Executioner’s Song ในบทฆาตกรชื่อ แกรี่ กิลมอร์ ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมี เขามีผลงานทั้งในโทรทัศน์และภาพยนตร์ โดยผลงานทางโทรทัศน์ที่โดดเด่นที่สุดของเขา เป็นมินิซีรีส์เรื่อง Lonesome Dove ซึ่งทำให้เขาได้การเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่อีกครั้ง หลังจากที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากบทบาทการแสดงใน JFK ของผู้กำกับ โอลิเวอร์ สโตน เขาก็ได้รับรางวัลออสการ์จากการรับบทเป็น แซม เจอราร์ด ในเรื่อง The Fugitive ที่ร่วมแสดงกับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ผลงานต่อ ๆ มาของ โนส์ มีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Natural Born Killers บท ไท ค็อบบ์ ผู้เป็นฮีโร่เบสบอลในเรื่อง Cobb, บทนายทหารยศร้อยเอกผู้กำลังเผชิญปัญหาใน Blue Sky, ทนายความรัฐบาลกลาง ใน The Client และบทมือระเบิดโรคจิต ใน Blown Away เขายังมีผลงานฟอร์มยักษ์หลายเรื่องอย่างเรื่อง Batman Forever ในบท ทูเฟซ หรือแม้แต่ในบทชายชุดดำในเรื่อง Men in Black ที่ทำรายได้ถล่มทลายจนมีภาคต่ออย่าง Men in Black II และล่าสุดในปี 2012 กับ Men in Black III สตีฟ คาร์เรล (รับบทเป็น ดร. ฟิลด์) สตีฟ คาร์เรล เป็นนักแสดง ดาราตลก โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับและนักเขียนชาวอเมริกัน มีชื่อเสียงจากการรับบทในซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง The Daily Show with Jon Stewart ในช่วงปี 1999 ถึง 2004 และในซีรี่ย์ The Office ตั้งแต่ปี 2005 จนถึง 2012 โดยหลังจากขโมยซีนในหนังฮิตอย่าง Anchorman และ Little Miss Sunshine เขาก็แจ้งเกิดในจอเงินกับการแสดงนำในเรื่อง The 40-Year-Old Virgin หนังตลกที่ทำเงินไปมากกว่า 177 ล้านเหรียญทั่วโลก เขายังมีผลงานแสดงนำอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Evan Almighty ภาคต่อของ Bruce Almighty, Dan in Real Life หนังที่เขาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการแสดง, Get Smart หนังแอ็คชั่นสายลับ ที่เขาประกบคู่กับ แอน แฮทธาเวย์ โดยหนังทำเงินไปมากกว่า 130 ล้านเหรียญเฉพาะในอเมริกา, และ Date Night ที่เขาร่วมแสดงกับ ทีน่า เฟย์ โดยเขายังพากย์เสียงให้กับภาพยนตร์แอนิเมชั่นอย่าง Over the Hedge, Horton Hears a Who!, และ Despicable Me คาเรล เพิ่งมีผลงานล่าสุดในเรื่อง Crazy, Stupid, Love หนังโรแมนติก-คอมเมดี้ ที่เขาประกบกับ เอ็มม่า สโตน, จูลี่แอนน์ มัวร์ และ ไรอัน กอสลิ่ง และ Seeking a Friend for the End of the World หนังหายนะฟีลกู้ด ที่เขาร่วมแสดงกับ เคียร่า ไนท์ลี่ย์ โดย คาร์เรล ก็ยังได้รับการเสนอชื่อเป็น "ชาวอเมริกันผู้มีอารมณ์ขันมากที่สุด" จากนิตยสารไลฟ์ ประจำปีล่าสุดอีกด้วย

ผลงานผู้สร้าง

เดวิด แฟรงค์เกล (ผู้กำกับ) ผลงาน >>> The Devil Wears Prada, Marley & Me, The Big Year, Miami Rhapsody วาเนสซ่า เทย์เลอร์ (ผู้เขียนบท) ผลงาน >>> ซีรี่ย์ Everwood, Game of Thrones, Jack and Bobby เคลลี่ โคน็อป (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> 50/50, Juno, Whip It, Young Adult สจ๊วต เวิร์ธเซล (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ผลงาน >>> Hannah and Her Sisters, Enchanted, Marley and Me, Letters to Juliet แอน รอธ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ผลงาน >>> The Bird Cage, In and Out, Mamma Mia!, Julie and Julia, Rabbit Hole สตีเว่น ไวส์เบิร์ค (ผู้ตัดต่อภาพ) ผลงาน >>> Men in Black II, Harry Potter and the Prisoner of Azkaban, Morning Glory