HIGHLIGHT CONTENT

ทีมผู้สร้าง “Disney’s Planes”

  • 10,354
  • 25 ก.ย. 2013

มันจะบินได้จริงหรือ? ทีมผู้สร้างเรียกใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินมาติดปีกให้กับ “Disney’s Planes”

การทำให้ “Disney’s Planes” เหินฟ้านั้นจำเป็นต้องอาศัยการผสมผสานของการค้นคว้า การร่วมมือและการทำงานหนัก “เรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเมื่อล้ออยู่บนพื้น ตัวละครก็จะให้ความรู้สึกสมจริง” ฮอลบอก “แต่พอพวกเขาบินขึ้นไปแล้ว พอเราต้องทำให้บางสิ่งบางอย่างหมุนตัวในพื้นที่สามมิติ มันก็เป็นเรื่องยากขึ้นมากครับ ตอนแรก พวกเขาดูเหมือนของเล่นที่ถูกห้อยอยู่กลางอากาศเลย”

ทีมผู้สร้างได้ให้เจสัน แม็คคินลีย์ (“Red Tails”) มาทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินของเรื่อง แม็คคินลีย์ ผู้สร้าง ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับซีรีส์ “Dogfights” สำหรับฮิสทอรี แชนแนล มีความชำนาญในการออกแบบเอฟเฟ็กต์การบินสำหรับจอแก้วและจอเงิน “ในทุกฉากการบิน มันมีท้องฟ้ากว้างใหญ่เสมอครับ” แม็คคินลีย์กล่าว “คุณบินด้วยความเร็วประมาณ 300-400 ไมล์ต่อชั่วโมง แล้วท้องฟ้าที่คุณต้องใช้ก็กว้างใหญ่ไพศาล เราก็เลยอยากนำเสนอความรู้สึกที่กว้างใหญ่ของพื้นที่และความเร็วนั้นกับผู้ชมครับ”

แม็คคินลีย์ ผู้ที่ในตอนแรกได้รับมอบหมายให้สนับสนุนทีมงานตั้งแต่ขั้นตอนการวาดสตอรีบอร์ดไปจนถึงช่วงพรีวิชวลไลเซชัน สุดท้ายแล้วเขาก็ได้รับหน้าที่ในการสร้างให้ฉากการบินดูสมจริงและเจ๋ง อย่างที่ฮอลบอก “เจสันช่วยให้ทีมงานทำฉากพวกนี้ให้ดูสมจริง ฉากของเครื่องบินที่เคลื่อนตัวผ่านอากาศ น้ำหนักของเครื่องบินตอนเลี้ยว การลงจอดและการขึ้นบิน ทุกอย่างเจ๋งมาก เราทึ่งกับสิ่งที่เจสันสามารถใส่เข้าไปในซีเควนซ์เหล่านี้ได้ครับ”

กลยุทธสำคัญของแม็คคินลีย์สะท้อนถึงคติการทำงานที่ซื่อตรงต่อวัตถุจริงๆ ของลาสเซ็ทเตอร์ ทั้งขนาดและความเร็วจริงๆ ของมัน “เครื่องบินจะต้องมีขนาดเท่าของจริง ฉากจะต้องมีขนาดเท่าของจริง และคุณก็ต้องให้เครื่องบินบินด้วยความเร็วเท่าที่มันบินได้จริงๆ” เขากล่าว “ดวงตาของมนุษย์จะรับรู้การเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี เราต่างก็ได้เห็นนกบินหรือเคยขว้างลูกบอลมาแล้ว ในสมองของเรา เราได้สร้างคลังการเคลื่อนไหว และรู้ว่าการเคลื่อนไหวเหล่านั้นควรจะมีลักษณะอย่างไร ทันทีที่คุณเบนหนีจากกฎฟิสิกส์ ทุกคนก็สามารถบอกได้ว่ามันดูยังไงชอบกลน่ะครับ”

ก่อนหน้าที่จะร่วมงานกับทีมงานเบื้องหลัง “Disney’s Planes” แม็คคินลีย์ได้ทำการค้นคว้าอย่างมากเพื่อทำความเข้าใจกับศักยภาพของเครื่องบินแต่ละประเภท ทั้งอัตราการหมุน อัตราการเหวี่ยง และความเร็วสูงสุดของมัน “เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องรับรู้ถึงขีดจำกัดของเครื่องบินแต่ละแบบ” เขากล่าว “เอล ชูมีขนาดใหญ่กว่าดัสตี้ การหมุนของเขาจะมีเอกลักษณ์ เราไม่อยากให้เครื่องบินหมุนและเหวี่ยงตัวเร็วเกินไป ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็จะดูเหมือนของปลอม เหมือนโมเดลที่แขวนบนเส้นลวดน่ะครับ”

แม็คคินลีย์ได้ใช้ความรู้นี้กับช็อตการบินเกือบ 800 ช็อตในภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่างไรก็ดี ซีเควนซ์โปรดของเขาคือฉากการเข้าสู่โลกการแข่งขันของดัสตี้ในตอนที่เขาผ่านเข้ารอบการทดสอบเวลานอร์ธ อเมริกัน วิงส์ อะราวน์ เดอะ โกลบ “นี่เป็นช่วงเวลาที่เขาเปลี่ยนแปลงครับ” แม็คคินลีย์กล่าว “เขาก้าวจากการเป็นเครื่องบินพ่นยาฆ่าแมลงไปเป็นเครื่องบินแข่งจริงๆ เราอยากทำให้มันเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ และเราก็ลงเอยด้วยซีเควนซ์ที่มีช็อต 50-60 ช็อตครับ”

ความชำนาญของแม็คคินลีย์ยังส่งอิทธิพลต่อลักษณะที่ฉากถูกสร้างขึ้นสำหรับฉากการบินหรือแม้กระทั่งการวางตำแหน่งกล้อง โธมัส ลีวิทท์ นักวาดภาพพรีวิชวลกลางอากาศ กล่าวว่าฉากพวกนั้นสำคัญต่อการบินที่สมจริงอย่างมาก “เราตระหนักว่าถ้าเราไม่มีโฟร์กราวน์ มิดกราวน์และแบ็คกราวน์ที่ห่างไกล การบินที่สมจริงก็คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ครับ”

ส่วนใหญ่แล้ว วิธีการแก้ปัญหาจะเป็นการขยายฉากเหล่านั้นเพื่อให้เครื่องบินสามารถบินด้วยความเร็วจริงๆ ได้ ลีวิทท์กล่าวเสริมว่า ท้ายที่สุดแล้ว ฉากพวกนี้ก็เป็นประโยชน์ในแง่ของการวางตำแหน่งกล้อง เนื่องด้วยแม้กระทั่งภาพยนตร์อนิเมชันก็จะต้องวางตำแหน่งกล้องในที่ที่สมจริงและสมเหตุสมผล “เราอาจจะวางกล้องบนไซโลบนพื้น ติดมันไว้กับปีกเครื่องบินหรือบนเครื่องบินที่อาจจะบินไปคู่กัน มันเหมือนการออกแบบท่าเต้นที่ซับซ้อน เพราะเราต้องกำหนดตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวละครและกล้องในซีเควนซ์การบินครับ”

ทีมผู้สร้างกล่าวว่า หนึ่งในแง่มุมที่ยากที่สุดในการสร้างความสมจริงให้กับฉากการบินคือการตอบสนองความต้องการของเรื่องราวให้ได้ “ตัวละครของเราพูดคุยกันระหว่างบิน” ลีวิทท์กล่าว “บทสนทนาจะเกี่ยวกับการออกท่าทาง ซึ่งก็คงจะโอเค แต่สำหรับเครื่องบินที่บินด้วยความเร็วจริงๆ การออกท่าทางธรรมดาๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงเส้นทางการบินทั้งหมดของเขา เราก็เลยต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาสมดุลที่เหมาะสมครับ”

ผู้ที่ช่วยรับประกันความสมจริงของการบินคือฌอน เบาติสต้า ผู้เป็นนักบินผู้ได้รับประกาศนียบัตรตั้งแต่สมัยไฮสคูล และได้ขับเครื่องบินมากมาย ตั้งแต่เครื่องเซสนาและไปเปอร์ ไปจนถึง F4, F16 และเครื่องบินพาณิชย์ 747 และเขาก็มีชั่วโมงบินอีกหลายพันชั่วโมงตลอดอาชีพนักบินของเขา “ผมสามารถตอบคำถามเชิงเทคนิคต่างๆ ได้เช่น ‘คุณจะเพิ่มแรงม้าให้กับเครื่องบินพ่นยาฆ่าแมลงที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบพร็อพได้ยังไง’ น่ะครับ”

เบาติสต้าได้แสดงให้ทีมงานรู้ถึงวิธีการยกระดับการแข่งขันของดัสตี้ผ่านทางการเคลื่อนไหวพิเศษที่เขาจะต้องฝึกฝนให้ได้ก่อนที่จะเข้าสู่แวดวงการแข่ง เขาได้ถ่ายทอดความชำนาญด้านการบินให้กับทีมงานในเรื่องของการสร้างลุคให้กับเครื่องบินต่างๆ และฉากการบิน รวมถึงได้พาสมาชิกบางคนในกองถ่ายไปบินเพื่อค้นคว้าข้อมูลด้วย นอกจากนั้น เขายังช่วยทำให้ไดอะล็อคบางส่วนสมจริงขึ้นด้วย “เราจะออกไปรับประทานอาหารเที่ยงกันแล้วพวกเขาก็จะเปิดเทปบันทึกเสียงแล้วขอให้ผมพูดเหมือนนักบินเครือ่งบินทหารหรือผู้ควบคุมการบิน คนพวกนี้ไม่ได้พูดด้วยศัพท์เฉพาะธรรมดาๆ มันจะเป็นรหัสลับที่เข้าใจยากกว่าครับ แต่การใส่เอาของจริงเข้าไปทำให้มันรู้สึกว่าใช่ครับ”

ทีมผู้สร้างเลือกที่จะบันทึกภาพเครื่องบินจริงๆ เพื่อเพิ่มระดับความสมจริงให้กับฉากการบิน “เราได้บันทึกภาพเครื่องบินพ่นยาฆ่าแมลงสำหรับดัสตี้ รวมถึงเครื่องบินสองปีเก่าแก่ เครื่องบินสองเครื่องยนต์หรือกระทั่งเครื่องบินนาวี F-18” แม็คคินลีย์กล่าว เขากล่าวเสริมด้วยอีกว่า การได้เห็นเครื่องบินบินเข้าใกล้ด้วยความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมงระหว่างการบันทึกภาพเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นจริงๆ

การรังสรรค์ดนตรี มาร์ค แมนซินา คอมโพสเซอร์เจ้าของสามรางวัลแกรมมี แต่งดนตรีประกอบการโบยบิน

มาร์ค แมนซินา คอมโพสเซอร์เจ้าของรางวัล ได้รับรางวัลแกรมมีสาขาอัลบัมซาวน์แทร็คยอดเยี่ยม (ร่วมกับฟิล คอลลินส์) สำหรับผลงานของเขาในภาพยนตร์ดิสนีย์ปี 1999 เรื่อง “Tarzan” ได้ทำหน้าที่อำนวยการสร้างและแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง “Disney’s Planes” ดนตรีของเรื่องนี้สะท้อนถึงตัวละครหลากหลายและฉากทั่วโลกที่ปรากฏในเรื่องราว

“ธีมทั้งหมดมาจากแบ็คกราวน์และโลเกชันของตัวละครครับ” แมนซินากล่าว “ดัสตี้เป็นตัวละครธรรมดาๆ ชาวอเมริกันของเรา สคิปเปอร์เป็นฮีโรทหารรุ่นเก่า ส่วนริปสลิงเกอร์ก็เจ๋งเกินกว่าจะเข้าเรียนครับ”

แมนซินาได้สร้างเพลงธีมขึ้นมาโดยใช้เครื่องดนตรีหลากหลายประเภท ออร์เคสตรา 80 ชิ้นรวมถึงเครื่องสายหลายชิ้น ตั้งแต่กีตาร์ไฟฟ้าและกีตาร์อะคูสติก ไปจนถึงซิตาร์ ดนตรีประกอบของเรื่องมีทั้งวงดนตรีมารายคี ผสมกับแซมบ้า ดนตรีเทคโน โพลก้า อาเรีย และเฮฟวี เมทัล นอกจากนี้ เขายังได้ใช้คณะนักร้องประสานเสียงชายล้วน 22 ชีวิตอีกด้วย “แน่นอนครับว่าเรามีดนตรีจากหลากหลายชาติด้วย ทั้งอังกฤษ อินเดีย เม็กซิกัน และ ฯลฯ”

ทีมผู้สร้างได้เลือกวงดนตรีร็อคให้เปิดเรื่องด้วยแทร็ค “Nothing Can Stop Me Now” ซึ่งบรรยายถึงความปรารถนาของดัสตี้ที่จะเป็นเครื่องบินแข่ง แทร็คร็อคร่วมสมัยเพลงนี้มีเสียงกีตาร์พลิ้วไหวที่ออกแบบมาเพื่อผลักดันผู้ชมให้อินกับเรื่องราว มาร์ค โฮลแมน เป็นผู้แต่งและร้องเพลงนี้ ซึ่งอำนวยการสร้างโดยผู้อำนวยการสร้างและนักผสมเสียงในตำนาน เอ็ด เชอร์นีย์ ตัวเพลงเองถูกใช้เป็นเสียงแบ็คกราวน์ และทำนองของเพลงนี้ยังถูกใช้เป็นเพลงช่วงเอนด์เครดิตเพลงแรกอีกด้วย

แมนซินากล่าวว่า ตอนไคลแมกซ์ที่เป็นบทสรุปของเรื่องนำเสนอการเล่าเรื่องด้วยดนตรีที่เข้มข้นนานเก้านาทีที่เป็นความท้าทาย แต่ก็ช่วยทีมผู้สร้างให้เผยถึงฉากสุดท้ายที่น่าประทับใจของการเดินทางสุดท้าทายของดัสตี้ได้

นอกจากนี้ “Disney’s Planes” ยังมีเพลงออริจินอล “You Don’t Stop – NYC” ที่เขียนโดยอาลี “ดี” ธีโอดอร์และร้องโดยคริส คลาสสิกและอลานา ดี. และ “Fly” ที่เขียนโดยจอน สตีเวนส์และจอห์น ฟิลด์ และร้องโดยจอน สตีเวนส์จากเดอะ เด๊ด เดซีส์

ดนตรีจาก “Disney’s Planes” จะจัดจำหน่ายโดยวอลท์ ดิสนีย์ เรคคอร์ดส์ ในวันที่ 6 สิงหาคม และประกอบไปด้วยแทร็คดังต่อไปนี้

1.     Nothing Can Stop Me Now* ร้องโดยมาร์ค โฮลแมน

2.     You Don't Stop – NYC** ร้องโดยคริส คลาสสิกและอลานา ดี

3.     Fly Performed ร้องโดยสตีเวนส์ จากเดอะ เด๊ด เดซีส

4.     Planes ดนตรีบรรเลง

5.     Crop Duster ดนตรีบรรเลง

6.     Last Contestant ดนตรีบรรเลง

7.     Hello Lincoln/Sixth Place ดนตรีบรรเลง

8.     Show Me What You Got ดนตรีบรรเลง

9.     Dusty Steps Into History ดนตรีบรรเลง

10.  Start Your Engines ดนตรีบรรเลง

11.  Leg 2/Bulldog Thanks Dusty ดนตรีบรรเลง

12.  Skipper Tries to Fly ดนตรีบรรเลง

13.  Dusty & Ishani ดนตรีบรรเลง

14.  The Tunnel ดนตรีบรรเลง

15.  Running on Fumes ดนตรีบรรเลง

16. Get Above the Storm ดนตรีบรรเลง

17.  Dusty Has to Ditch ดนตรีบรรเลง

18.  Skipper’s Story ดนตรีบรรเลง

19.  You’re a Racer ดนตรีบรรเลง

20.  Leg 7 ดนตรีบรรเลง

21.  Skipper to the Rescue ดนตรีบรรเลง

22.  Dusty Soars ดนตรีบรรเลง

23.  1st Place ดนตรีบรรเลง

24.  A True Victory ดนตรีบรรเลง

25.  Honorary Jolly Wrench ดนตรีบรรเลง

26.  Skipper’s Theme (Volo Pro Veritas) ดนตรีบรรเลง

27.  Love Machine ร้องโดยคาร์ลอส อลาซราควีและแอนโตนิโอ โซล

28. Ein Crop Duster Can Race (Bonus Song) ร้องโดยเดฟ วิทเทนเบิร์ก

29. Armadillo ดนตรีบรรเลง

 ประวัตินักพากย์

เดน คุ้ก (พากย์เสียง ดัสตี้) ได้รักษาชื่อเสียงของตัวเองในฐานะหนึ่งในนักแสดงสแตนด์อัพ คอเมดี ที่มากความสามารถที่สุด พร้อมกับสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะนักแสดงผู้มีเสน่ห์และความสามารถหลากหลายในโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินมากมาย

คุ้กเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงของเขาในรายการพิเศษทางคอเมดี เซ็นทรัลและเอชบีโอ และจากอัลบัมคอเมดีที่ประสบความสำเร็จของเขา “Harmful If Swallowed,” “Retaliation,” “Vicious Circle,” “Rough Around The Edges: Live From Madison Square Garden,” “ISolated Incident” และ “Dane Cook: I Did My Best - Greatest Hits” จุดขายสแตนด์อัพ คอเมดีและทัศนคติแบบหนุ่มข้างบ้านที่เข้าถึได้ง่าย ที่เป็นการผสมผสานคอเมดีแบบใช้ร่างกาย การเล่นคำที่เฉียบคมและการสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมทุกวัย ในปี 2006 “Retaliation” กลายเป็นอัลบัมคอเมดีที่ติดชาร์ทอันดับสูงสุดในรอบ 28 ปี และทำยอดขายถึงระดับดับเบิล แพลตินัม ทำให้เขาเทียบชั้นกับนักแสดงตลกที่มีอัลบัมคอเมดีขายดีทั้งหลาย อาทิ บิล คอสบี้, จอร์จ คาร์ลินและสตีฟ มาร์ติน หลังจากเซ็นสัญญาร่วมงานกับเอชบีโอในปี 2006 เขาก็ได้สร้าง กำกับและนำแสดงในซีรีส์สารคดีคอเมดีเก้าตอนทางเอชบีโอในชื่อ “Tourgasm” และได้เขียนบท ควบคุมงานสร้างและนำแสดงใน “Vicious Circle” ซึ่งเป็นอีเวนต์สแตนด์อัพที่มีความยาวขนาดภาพยนตร์

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้รับบทรับเชิญใน “Louie” ประกบลูอี้ ซี.เค. ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึงการแสดงนำใน  “My Best Friend’s Girl” ประกบเคท ฮัดสัน, “Dan in Real Life” ประกบสตีฟ คาเรลและ “Mr. Brooks” ประกบเควิน คอสท์เนอร์

ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส ที่ซึ่งเขายังคงพัฒนาวัตถุดิบคอเมดีใหม่ๆ และโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินอย่างต่อเนื่อง

สเตซี่ คี้ช (พากย์เสียง สคิปเปอร์) ประสบความสำเร็จในการแสดงบทบาทที่ยอดเยี่ยมที่สุดในละครเวทีคลาสสิกและละครเวทีร่วมสมัย และเขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ตีความเชคสเปียร์ยุคบุกเบิกของชาวอเมริกันอีกด้วย การแสดงในบทกษัตริย์เลียร์กับคณะเชคสเปียร์ เธียเตอร์ คัมปะนีในวอชิงตัน, ดี.ซี. ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลาม เขาได้รับสามรางวัลเฮเลน เฮย์ส อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีท่แล้ว เขาและสต็อคการ์ด แชนนิง ได้รับบทที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมในละครโดยจอน โรบิน ไบท์ซเรื่อง “Other Desert Cities” โดยบูธ เธียเตอร์ บนเวทีบรอดเวย์ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาคมนักวิจารณ์เอาเตอร์จากการแสดงของเขาในละครโดยลินคอล์น เซ็นเตอร์ นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัล 2011 ออดี้ อวอร์ดสาขาผลงานดั้งเดิมยอดเยี่ยมสำหรับนิยายทางวิทยุโดยไมค์ แฮมเมอร์เรื่อง “The Little Death” ซึ่งเขากลับมารับบทไมค์ แฮมเมอร์อีกครั้ง และเขายังควบหน้าที่แต่งดนตรีประกอบของเรื่องอีกด้วย

นอกจากนี้ คี้ชที่อาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดของผู้ชมทั่วโลกจากบทนักสืบดุดัน ไมค์ แฮมเมอร์ ยังเป็นที่รู้จักจากบทเคน ทีทัสในซิทคอมโดยฟ็อกซ์เรื่อง “Titus,” บทผู้คุมเฮนรี โป๊ปในซีรีส์ฮิตเรื่อง “Prison Break” และโรเบิร์ต “ป็อปส์” เลียร์รีในซีรีส์เอฟเอ็กซ์เรื่อง “Lights Out” คี้ชได้แสดงในซีรีส์ฮิตทางซีบีเอสเรื่อง “Two and a Half Men” ในปี 2012 เขาได้แสดงในซีรีส์คอเมดียอดนิยมทางเอชบีโอเรื่อง “Bored to Death”

ในปีนี้ ผลงานของเขารวมถึงบทบาทสำคัญในจอแก้วและจอเงิน ซึ่งรวมถึง “Nebraska” (คริสต์มาสปี 2013) ที่กำกับโดยอเล็กซานเดอร์ เพย์น ผู้กำกับเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด และนำแสดงโดยบรูซ เดมและวิล ฟอร์เต้ เขาได้รับบทคามีโอในภาพยนตร์โดยแฟรงค์ มิลเลอร์เรื่อง “Sin City: A Dame to Kill For” (คริสต์มาสปี 2013) ที่กำกับโดยโรเบิร์ต โรดริเกซ นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ เขายังได้รับบทรับเชิญในซีรีส์ “30 Rock,” “1600 Penn,” “The Neighbors” และ “Anger Management” และยังคงพากย์เสียงในซีรีส์ทางซีเอ็นบีซีเรื่อง “American Greed” ที่ตอนนี้แพร่ภาพซีซันที่เจ็ด “Anything for Money”  เพลงออริจินอลของเขา ถูกเปิดในซีรีส์เรื่องนี้ด้วย

เขาเริ่มต้นอาชีพนักแสดงด้วยการแสดงในเทศกาลนิวยอร์ก เชคสเปียร์ในปี 1964 ในบทมาร์เซลลัสและเพลเยอร์ คิงใน “Hamlet” ที่กำกับโดยโจเซฟ แป็ปป์ ประกบจูลี แฮร์ริสในบทโอฟีเลีย เขาเริ่มมีชื่อเสียงในละครออฟบรอดเวย์เสียดสีการเมืองปี 1967 เรื่อง “MacBird” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโอบี้ อวอร์ดครั้งแรกจากทั้งหมดสามครั้ง เขาได้รับบทนำในละครเรื่อง “Henry 5,” “Hamlet” (สามครั้ง), “Coriolanus,” “Richard 3,” “Macbeth” และ “King Lear” ซึ่งโรเบิร์ต ฟอลส์นำมาดัดแปลงให้ทันสมัยขึ้นเพื่อแสดงที่กู๊ดแมน เธียเตอร์ในชิคาโก ในปี 2014 เขาจะกลับมาสู่เชคสเปียร์ เธียเตอร์ในวอชิงตัน, ดี.ซี. ในบทฟอลสตาฟในทั้งสองตอนของละครเรื่อง “Henry IV” ที่กำกับโดยไมเคิล คาห์น เขากำลังใช้เวลาห้าสัปดาห์ที่โรงละครซิดนีย์ โอเปรา เฮาส์ในออสเตรเลีย เพื่อรับบทลีแมน ไวเอธอีกครั้งในละครบรอดเวย์ยอดนิยมเรื่อง “Other Desert Cities” ที่เขียนบทโดยจอน โรบิน ไบท์ซ กำกับโดยโจ แมนเทลโลและร่วมแสดงโดยราเชล กริฟฟิธส์, จูดิธ ไลท์และทอม ซาโดว์สกี้

คี้ชได้รับทุนฟูลไบรท์เพื่อศึกษาที่ลอนดอน อคาเดมี ออฟ มิวสิค แอนด์ ดรามาติค อาร์ตและเขาก็ได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์คลีย์และเยล ดรามา สคูล เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้รับการแต่งตั้งให้รับตำแหน่งศาสตราจารย์อาวุโสของมหาวิทยาลัยเมสัน ที่เขาสอนการแสดงผ่านทางสไคป์

คี้ชแต่งงานกับนักออกแบบตกแต่งภายในและครูสอนโยคะ มัลโกเซีย มานาน 26 ปีแล้ว พวกเขามีลูกสองคน แชนนอน ลูกชายวัย 24 สำเร็จการศึกษาจากเอ็นวายยู และแครอไลนา ลูกสาววัย 2 ปี ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเป็ปเปอร์ดีน

 

แบรด การ์เร็ตต์ (พากย์เสียง ชัค) อายุเพียงแค่ 23 ปีเท่านั้น ในตอนที่เขาได้ออกรายการ “The Tonight Show with Johnny Carson” เป็นครั้งแรก ซึ่งทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงตลกที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ออกรายการดังกล่าว เมื่อเส้นทางอาชีพของการ์เร็ตต์เริ่มสว่างไสวขึ้น เขาก็ได้แสดงตามเวทีระดับชาติหลายแห่งและได้แสดงเปิดให้กับนักร้องในตำนานอย่างแฟรงค์ ซินาตรา, ไดอานา รอส, ลิซา มินเนลลีและแซมมี เดวิสจูเนียร์

เขาอาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทโรเบิร์ต บาโรนในซีรีส์ซีบีเอสรางวัลเอ็มมีเรื่อง “Everybody Loves Raymond” ซึ่งทำให้เขาได้รับสามรางวัลเอ็มมีเป็นการส่วนตัว เขารับบท แจ็คกี้ กลีสันในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “Gleason” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีและแซ็ก อวอร์ด นอกเหนือจากนั้น เขายังได้แสดงละครบรอดเวย์โดยนีล ไซมอนเรื่อง “The Odd Couple” ประกบแมทธิว โบรเดอริคอีกด้วย

ผลงานภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันของการ์เร็ตต์ได้แก่ “Music and Lyrics,” “Suicide Kings,” “The Pacifier” และภาพยนตร์โดยวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง “Sweet and Lowdown” เขาได้แสดงในผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกโดยเดวิด เชสเรื่อง “Not Fade Away” และภาพยนตร์ปีนี้เรื่อง ”Burt Wonderstone” ด้านอนิเมชัน เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของการ์เร็ตต์ได้ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์ร่วมสมัยคลาสสิกเรื่อง “Casper,” “Ratatouille” และ “Tangled” เขาได้ร่วมแสดงในซีรีส์เอบีซีเรื่อง “How to Live with Your Parents for the Rest of Your Life”

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้เปิดคลับคอเมดีของตัวเองที่เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ในลาสเวกัส โดยเขาตั้งความหวังว่าคลับจะเป็นที่ที่ทั้งนักแสดงตลกในตำนานและนักแสดงตลกรุ่นใหม่เรียกว่าบ้านในลาสเวกัส

เทอรี่ แฮทเชอร์ (พากย์เสียง ด็อตตี้) มีผลงานการแสดงที่น่าจดจำทั้งในจอแก้ว จอเงินและละครเวทีตั้งแต่ปี 1990 การแสดงในบทซูซาน เมเยอร์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของเธอในซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Desperate Housewives” ทำให้เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำปี 2005 (สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม มิวสิคัลหรือคอเมดี จอแก้ว), รางวัลแซ็ก อวอร์ด (สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดี), ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำปี 2006, รางวัลเทเลวิชัน คริติกส์ อวอร์ดปี 2005 และรางวัลเอ็มมี อวอร์ดปี 2005 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในคอเมดี บทแม่ม่ายลูกติดผู้ตามหารักในย่านวิสเทอเรีย เลน ที่บางครั้งก็โสมม แต่ก็น่าสนใจเสมอ ส่งให้แฮทเชอร์กลายเป็นนักแสดงตลกหญิงที่ร้อนแรงที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน

หลังจากได้แสดงในบทโลอิสในซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Lois and Clark” เธอก็มักพบว่าตัวเองเป็นแบบอย่างให้กับหญิงสาวที่ทำงานสื่อสารมวลชนและแฟนๆ ของ Superman ที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอในภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ เกสท์เรื่อง “The Big Picture” ยังคงเป็นหนึ่งในไฮไลท์ในอาชีพนักแสดงของเธอ ร่วมกับบทบาทใน “Soapdish,” “Spy Kids,” “Tomorrow Never Dies” และการพากย์เสียงแม่สามคนในภาพยนตร์อนิเมชันที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์โดยเฮนรี เซลิคเรื่อง “Caroline” ความปรารถนาที่จะท้าทายตัวเองและสัมผัสประสบการณ์ในโลกใบนี้อย่างไม่กลัวเกรงอะไรนำไปสู่การรับบทแซลลี โบว์ลในการแสดงละครเรื่อง “Cabaret” ภายใต้การกำกับของแซม เมนเดสในปี 1999 ซึ่งทำให้เธอได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและการยืนปรบมือทั้งในลอสแองเจลิสและบอสตัน ความชำนาญด้านการแสดงตลกของเธอเป็นที่ยกย่องเมื่อเธอได้รับหน้าที่พิธีกรรายการ “Saturday Night Live” ในปี 1995 และการแสดงสเก็ตช์อย่างน้อยที่สุดสองครั้งของเธอก็ได้รวมอยู่ในไฮไลท์ “Best of SNL” ด้วย

ในปี 2006 เธอได้เขียนหนังสือเล่มแรก ซึ่งนำเสนอมุมมองน่าขบขันและสร้างแรงบันดาลใจที่มีต่อผู้หญิงที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างชีวิตครอบครัว อาชีพการงานและตัวเอง ในชื่อ “Burnt Toast and Other Philosophies of Life” หนังสือเล่มนี้ติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์นานถึงสี่สัปดาห์

แฮทเชอร์ชื่นชอบการเขียนบทความและการเขียนบล็อกให้กับนิตยสารกลาเมอร์ ยูเค, นิวส์วีคและ ฯลฯ เธอเลี้ยงดูลูกสาววัยรุ่น ที่ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอ รวมถึงสัตว์ที่เธอเก็บมาเลี้ยงอีกเจ็ดตัว เธอได้เข้าร่วมการแข่งขันไตรกีฬาและการระดมทุนเพื่อการกุศลด้ว เธอได้เดินทางไปห้าในเจ็ดทวีป ทั้งเป็นการส่วนตัวและเพื่อกิจการทางการกุศล และเธอก็ตั้งตารอที่จะได้ไปสำรวจอีกสองทวีปที่เหลือเร็วๆ นี้

เธอมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนองค์กรการกุศลมากมายตลอดกว่า 20 ปีในฮอลลีวูด ซึ่งรวมถึงมูลนิธิอาวีวา, การค้นคว้าและระดมทุนสำหรับเอดส์ แอนด์ แคนเซอร์, ฟีดดิ้ง อเมริกา, คีพปิ้ง เมโมรี อไลฟ์, สตาร์ไลท์ สตาร์ไบรท์, เมค อะ วิช, ทีเอส อัลลิแอนซ์, สเต็ป อัพ, คริสซาลิสและเป็นผู้สนับสนุนสมาคมจูเวนิลล์ อาร์ธริทิส รวมถึงองค์กรการกุศลทั้งระดับประเทศและระดับชาติเกี่ยวกับผู้หญิงและเด็กอีกมากมาย เธอมองว่าเป็นเรื่องโชคดีที่สามารถใช้ชื่อเสียงของเธอเพื่อตอบแทนสังคมได้อย่างทรงพลัง

ในบรรดาความสำเร็จด้านป๊อปคัลเจอร์ที่เธอได้รับ แฮทเชอร์เป็นนักแสดงที่มีภาพถูกดาวน์โหลดมากที่สุดทางอินเทอร์เน็ตในปีที่เธอโพสต์ท่าตอนสวมผ้าคลุม Superman เพียงอย่างเดียว โดยไม่สวมเสื้อผ้าอื่น!

จูเลีย หลุยส์-ดรายฟัส (พากย์เสียง โรเชลล์) ได้รับชื่อเสียงทั่วโลกและได้รับการยกย่องจากบทอีเลน เบเนสในซีรีส์ฮิตเอ็นบีซีเรื่อง “Seinfeld,” บทคริสติน แคมป์เบลในซีรีส์คอเมดีฮิตทางซีบีเอสเรื่อง “The New Adventures of Old Christine” และบทเซลินา เมเยอร์ในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Veep” เธอได้รับการเสนอชื่อชิง 13 รางวัลเอ็มมี อวอร์ด ได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลลูกโลกทองคำ และคว้ารางวัลมาได้หนึ่งรางวัล ได้รับห้ารางวัลแซ็ก อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล 1 ครั้ง และสี่รางวัลอเมริกัน คอเมดี อวอร์ด และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแปดครั้ง

หลุยส์-ดรายฟัสได้แสดงและอำนวยการสร้าง “Veep” รายการคอเมดีครึ่งชั่วโมง ที่กำกับโดยอาร์มันโด้ เอียนนุชชี ซีซันที่สองของรายการนี้เริ่มแพร่ภาพในเดือนเมษายน

หลุยส์-ดรายฟัสได้แสดงในภาพยนตร์ฟ็อกซ์เสิร์ชไลท์โดยนิโคล โฮลอฟเซเนอร์ ประกบเจมส์ แกนดอลฟินี, แคทเธอรีน คีนเนอร์และโทนี คอลเล็ตต์ คอเมดีเรื่องนี้ ที่เขียนบทและกำกับโดยโฮลอฟเซเนอร์ บอกเล่าเรื่องราวของอีฟ ที่รับบทโดยหลุยส์-ดรายฟัส ขณะที่เธอพยายามสับรางความสัมพันธ์และสงสัยว่าอดีตแฟนเก่าเฮงซวยของเพื่อนใหม่คนโปรดของเธอจะนำความสุขมาให้เธอได้รึเปล่า

ในเดือนธันวาคม หลุยส์-ดรายฟัสได้เปิดตัว “Picture Paris” ภาพยนตร์ขนาดสั้นที่เขียนบทและกำกับโดยแบรด ฮอล และร่วมแสดงโดยอีริค เอลมอสนีโน ผู้ได้รับรางวัลซีซาร์ อวอร์ด ทางเอชบีโอ ภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องของคุณแม่ย่านชานเมือง (หลุยส์-ดรายฟัส) ผู้วางแผนการเดินทางที่เปลี่ยนชีวิตตัวเองในปารีส เพื่อชดเชยกับความเหงาที่ต้องจากลูกไป เมื่อแผนการเธอผิดพลาด เธอก็พบว่าตัวเองสงสัยว่าความรู้สึกเร่าร้อน การแก้แค้น ความรักและปารีสเองจะเป็นไปได้ในชีวิตประจำวันของเรารึเปล่า ในปีนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์บีเอฟไอ เทศกาลภาพยนตร์ไทรเบกา เทศกาลภาพยนตร์ซานตา บาร์บารา และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปาล์ม สปริงส์ รวมถึงเทศกาลภาพยนตร์อื่นๆ อีกทั่วโลก

ผลงานจอแก้วของหลุยส์-ดรายฟัสรวมถึงการปรากฏตัวหลายครั้งในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Curb Your Enthusiasm” ซึ่งร่วมสร้างโดยแลร์รี เดวิดจาก “Seinfeld,” บทประจำในซีรีส์โดยแมทท์ โกรเอนนิงเรื่อง “The Simpsons” ทางฟ็อกซ์, บทประจำในซีรีส์ดังทางฟ็อกซ์ปี 2003 เรื่อง  “Arrested Development,” ซิทคอมเรียลไทม์ปี 2002 ทางเอ็นบีซีเรื่อง “Watching Ellie” และภาพยนตร์อนิเมชันทางทีเอ็นทีเรื่อง “Animal Farm” ซึ่งเธอได้พากย์เสียงร่วมกับเอียน โฮล์ม, เคลซีย์ แกรมเมอร์และแพทริค สจวร์ต เธอได้สร้างชื่อเสียงในจอแก้วเป็นครั้งแรกจากการแสดงนานสามปี (1982-1985) ในรายการ “Saturday Night Live” ประกบบิลลี คริสตัล, คริสโตเฟอร์ เกสท์และเอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ หลังจากนั้น เธอก็ได้เป็นพิธีกรรายการนี้สองครั้ง และกลายเป็นอดีตนักแสดงหญิงของรายการคนแรกที่ได้กลับมารับหน้าที่พิธีกร

ผลงานภาพยนตร์ของเธอรวมถึงการได้ร่วมพากย์เสียงในภาพยนตร์โดยดิสนีย์/พิกซาร์เรื่อง “A Bug’s Life,” ภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง “Hannah and Her Sisters,” ภาพยนตร์โดยอัลเลนเรื่อง “Deconstructing Harry,” ภาพยนตร์โดยร็อบ ไรเนอร์เรื่อง “North,” ภาพยนตร์โดยอีวาน ไรท์แมนเรื่อง “Fathers’ Day” และ “Jack the Bear”

หลุยส์-ดรายฟัส เป็นผู้ปกปักษ์รักษาสิ่งแวดล้อม ผู้มุ่งมั่นและแน่วแน่ เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกสภารักษาทรัพยากรธรรมชาติ (เอ็นอาร์ดีซี) รวมถึงเป็นหนึ่งในสมาชิกบอร์ดผู้อำนวยการฮีล เดอะ เบย์และเป็นหนึ่งในบอร์ดกิตติมศักดิ์ของฮีล ดิ โอเชียน

เธอศึกษาด้านการละครจากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น ที่เธอได้รับปริญญาสาขาศิลปศาสตร์ในปี 2007 ระหว่างศึกษา เธอเป็นสมาชิกของคณะแพทริคัล เธียเตอร์ คัมปะนีและคณะตลกเซคคันด์ ซิตี้ ที่โด่งดังของชิคาโก

ปรียันก้า โชปรา (พากย์เสียง อิชานิ) มิสเวิลด์ นักแสดง นักมนุษยธรรม ผู้อนุรักษ์ธรรมชาติและแบรนด์ แอมบาสเดอร์ เป็นบุคคลมากความสามารถ ผู้เป็นที่รู้จักและยกย่องมากที่สุดคนหนึ่งในแวดวงภาพยนตร์อินเดีย

เธอเข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรกตอนอายุได้ 17 ปี ด้วยตำแหน่งมิสอินเดียและมิสเวิลด์ นับตั้งแต่เธอเข้าสู่วงการบอลลีวูด เธอก็ได้รับบทโด่งดังในภาพยนตร์สำคัญๆ หลายเรื่อง และปัจจุบัน เธอก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีความสามารถสูงสุดด้วยผลงานการแสดงที่น่าชื่นชมมากมาย

ในขณะที่เธอประสบความสำเร็จในแวดวงการแสดง เธอก็พร้อมที่จะสำรวจงานดนตรี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เธอชื่นชอบ ปี 2011 เธอได้เซ็นสัญญากับ 2101/เดซีฮิทส์!/อินเตอร์สโคป เรคคอร์ดส์ และเริ่มบันทึกเสียงอัลบัมแรกของเธอในอเมริกาทันที ซิงเกิลเดบิวของเธอในชื่อ “In My City” ที่ฟีเจอริง วิลล์.ไอ.แอม และอำนวยการสร้างโดยเรด วันและไบรอัน เคนเนดี้ วางแผงในวันที่ 2 ตุลาคม ปี 2012

จอห์น คลีส (พากย์เสียง บุลด็อก) เกิดและเติบโตในเวสตัน-ซูเปอร์-แมร์ อย่างไรก็ดี เขาก็ได้ไปศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ที่เคมบริดจ์ หลังจากการพูดคุยในห้องแล็บเคมี เขาก็เปลี่ยนไปศึกษาด้านกฎหมาย หากแต่ความสำเร็จจากเทศกาล 1963 เคมบริดจ์ ฟุทไลท์ เรวิว ซึ่งไปเปิดการแสดงบนเวทีเวสต์เอนด์และบรอดเวย์ ทำให้เขาไม่ต้องไปประกอบอาชีพทางด้านกฎหมาย

เขาโด่งดังในอังกฤษเป็นครั้งแรกจาก “The Frost Report” ในปี 1966 และในปี 1969 เขาก็ได้ร่วมสร้าง “Monty Python’s Flying Circus” ทีมงานชุดนี้ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมทั่วโลกด้วยซีรีส์คัลท์สี่เรื่องและภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสี่เรื่อง ซึ่งรวมถึง “And Now For Something Completely Different” (1971), “Monty Python and the Holy Grail” (1974), “The Life of Brian” (1979) และ “The Meaning of Life” (1983)

หลังจากแยกจากคณะ Python เขาก็ได้ไปสร้างบทบาซิล ฟอว์ลตี้ ผู้จัดการโรงแรมจอมเฮี้ยวใน “Fawlty Towers” ในฐานะหนึ่งในซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดเท่าที่เคยสร้างมา ทั้งสิบสองเอพิโซดของซีรีส์ “Fawlty Towers” ได้ถูกฉายซ้ำทางบีบีซีหลายครั้ง

ในปี 1988 เขาได้แสดงและร่วมเขียนบท “A Fish Called Wanda” เขาได้กลับมาร่วมงานกับนักแสดงจาก “Wanda” อีกครั้งในปี 1996 เพื่อสร้าง “Fierce Creatures” ภาพยนตร์เกี่ยวกับสวนสัตว์ ที่ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกในปี 1997

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาในฐานะนักแสดงได้แก่ “The Great Muppet Caper” (1980), “Time Bandits” (1980), “Privates on Parade” (1982), “Silverado (1984), “Clockwise” (1986), Terry Jones’ “Erik the Viking,” Eric Idle’s “Splitting Heirs” (1992), Mary Shelley’s “Frankenstein” (1994), “The Jungle Book” (1995), “The Wind in the Willows” (1996), “The Out-of-Towners” (1999) และ “Rat Race” (2001) นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในแฟรนไชส์ James Bond และ Harry Potter อีกด้วย

เขาได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดจากการแสดงรับเชิญในซีรีส์คอเมดีเรื่อง “Cheers” และได้รับการเสนอชื่อชิงเอ็มมี อวอร์ดอีกครั้งจากการแสดงรับเชิญใน “3rd Rock from the Sun”

สิ่งที่หลายคนไม่ค่อยรู้คือคลีสได้ร่วมเขียน (กับโรบิน สกินเนอร์) หนังสือเบสต์เซลเลอร์สองเล่มเกี่ยวกับจิตวิทยา “Families and How to Survive Them” และ “Life and How to Survive It” นอกจากนี้ เขายังร่วมก่อตั้ง วิดีโอ อาร์ตส์ในปี 1972 ซึ่งกลายเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ฝึกฝนด้านการจัดการและการขายที่ใหญ่ที่สุดนอกอเมริกา วิดีโอ อาร์ตส์ถูกขายกิจการปี 1991

เซดริค เดอะ เอนเตอร์เทนเนอร์ (พากย์เสียง ลีดบอททอม) นักแสดง/นักแสดงตลกมากเสน่ห์ เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมในภาพยนตร์ยอดนิยมหลายเรื่อง เช่น “Barbershop,” “Be Cool” ประกบจอห์น ทราโวลต้า, “Madagascar,” “Intolerable Cruelty” ประกบจอร์จ คลูนีย์, “Johnson Family Vacation” (ภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศปี 2004 ซึ่งเซดริคควบหน้าที่นักแสดงและผู้อำนวยการสร้าง) และ “The Original Kings of Comedy” (สารคดีที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทางเอ็มทีวี ที่กำกับโดยสไปค์ ลี)

เซดริคได้ร่วมแสดงกับมาร์ลอน วายันส์ในภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง  “A Haunted House” เขาได้แสดงประกบจูเลีย โรเบิร์ตส์และทอม แฮงค์ใน “Larry Crowne” และได้แสดงใน “Cadillac Records” ประกบเอเดรียน โบรดี้และบียอนเซ โนว์เลส ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “Street Kings” ประกบคีอานู รีฟส์, “Welcome Home Roscoe Jenkins” ประกบมาร์ติน ลอว์เรนซ์, “Talk to Me” ประกบดอน ชีเดิล,; “Code Name: The Cleaner” ประกบลูซี หลิว, “The Honeymooners” ในบทราล์ฟ แครมเดน ตัวละครที่โด่งดังของแจ็คกี้ กลีสัน (ที่ได้รับการยกย่องจากโรเจอร์ อีเบิร์ท), “Lemony Snicket’s A Series of Unfortunate Events” ประกบจิม แคร์รีย์, “Man of the House” ประกบทอมมี ลี โจนส์และ “Barbershop 2,” “Big Momma’s House,” “Kingdom Come” ประกบวู้ปปี้ โกลด์เบิร์ก, “Serving Sara” ประกบแมทธิว เพอร์รี, “Madagascar 2,” “Charlotte’s Web,” “Dr. Dolittle 2” และ “Ice Age”

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่สำคัญในอาชีพนักแสดงของเขาคือในวันที่ 20 มีนาคม ปี 2013 เซดริคได้รับเลือกให้เป็นพิธีกรคนใหม่ของรายการ “Who Wants to Be a Millionaire” ในซีซันที่ 12 ของรายการนี้ที่แพร่ภาพไปทั่วประเทศ โดยเขาได้ทำหน้าที่แทนเมเรดิธ เวียรา ผู้เริ่มต้นรายการเกมโชว์นี้เวอร์ชันธรรมดาในปี 2002

เสน่ห์สากล ความสามารถหลากหลายและความสำเร็จด้านหน้าที่การงานของเขาครอบคลุมไปถึงจอแก้ว การแสดงสดและภาพยนตร์ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2006 “Cedric the Entertainer: Taking You Higher” รายการคอเมดีพิเศษทางเอชบีโอครั้งแรกของเซดริค เป็นรายการพิเศษที่มีเรตติ้งสูงสุดของสถานีในปีนั้น ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2008 เขาได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ด้วยผลงานมาสเตอร์พีซของเดวิด มาเม็ตเรื่อง “American Buffalo”

ในปี 2012 เซดริคได้พากย์เสียงตัวลีเมอร์ มอริซในภาพยนตร์ดรีมเวิร์คส์เรื่อง “Madagascar 3: Europe’s Most Wanted” นอกจากนั้น เขาได้แสดงประกบเจสัน บิ๊กส์ในดรามาการเมืองเรื่อง “Grass Roots” ที่กำกับโดยสตีเวน จิลเลนฮัล เขาได้รับบทเล็กๆ ประกบคริสตินา ริชชีในโรแมนติกคอเมดีเรื่อง “All's Faire in Love: Romance Has a Renaissance” ในเดือนมิถุนายน ปี 2012 ซีรีส์คอเมดีเรื่องใหม่ของเซดริค “The Soul Man” ได้เปิดตัว ซีรีส์สปินออฟจาก “Hot in Cleveland” สร้างขึ้นจากตัวละครพิลึก บาทหลวงรอยซ์ “เดอะ วอยซ์” บัลเลนไทน์ อดีตนักร้อง R&B ที่ผันตัวไปเป็นบาทหลวง นักแสดงตลกหญิงยอดนิยม ไนซี แนช ได้ร่วมแสดงในซิทคอมเรื่องใหม่นี้ด้วย ในบทโลลลี ภรรยาของเขา “The Soul Man” สร้างโดยเซดริคและซูซานน์ มาร์ติน (“Hot in Cleveland”) ปัจจุบัน ซีรีส์นี้กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีซันที่สอง และแพร่ภาพในวันพุธ เวลา 23.00 น. หรือ 22.00 น. ทางทีวี แลนด์

รางวัลด้านอาชีพที่โดดเด่นของเขาได้แก่รางวัลแอฟทรา อวอร์ด ออฟ เอ็กเซลเลนท์ อิน เทเลวิชัน โปรแกรมมิงสำหรับซีรีส์ฟ็อกซ์ของเขาเรื่อง “Cedric the Entertainer Presents,” สี่รางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเดมีจากบทโค้ชเซดริค โรบินสันผู้น่ารักในซีรีส์เรตติ้งอันดับหนึ่งทางวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง “The Steve Harvey Show” ซึ่งแพร่ภาพหกซีซัน หนังสือคอเมดีเรื่องแรกของเขา “Grown-Ass Man” วางแผงในเดือนมกราคม ปี 2002 และทำยอดขายถล่มทลายทั่วประเทศ ในปี 2001 ผู้ชมกว่า 144 ล้านคนได้เห็นเซดริคในโฆษณาบัด ไลท์ ที่เป็นโฆษณาอันดับหนึ่งระหว่างการแพร่สัญญาณซูเปอร์ โบว์ล (ยูเอสเอ ทูเดย์ยกย่องเขาว่าเป็น “ผู้เล่นที่ทรงคุณค่าที่สุดของเมดิสัน อะเวนิว” และในปี 1994 เขาก็ได้รับรางวัลเดอะ ริชาร์ด พรีออร์ คอมิก ออฟ เดอะ เยียร์ อวอร์ดจากแบล็ค เอนเตอร์เทนเมนต์ เทเลวิชัน จากผลงานยอดเยี่ยมของเขาในฐานะพิธีกรของ Def Comedy Jam และ Comic View (1994-95) ทางเบ็ท

เซดริค ที่ตอนนี้ดูแลอะ เบิร์ด แอนด์ อะ แบร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทโปรดักชันของตัวเอง ได้พัฒนาและอำนวยการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยมี “Johnson Family Vacation” เป็นเรื่องแรก ในปี 2009 เขาได้เปิดตัวผลงานกำกับเรื่องแรกด้วยภาพยนตร์ล้อเลียนการเต้น “Dance Fu” ที่นำแสดงโดยนักแสดงตลกดาวรุ่งเคล มิทเชลล์และได้วางจำหน่ายในรูปแบบดีวีดีในเดือนตุลาคม ปี 2011

ปี 2011 เขาได้เปิดตัวไลน์หมวกดีไซเนอร์ ฮูเซ็ด ที่เป็นธุรกิจอีกอย่างหนึ่งสำหรับดาราตลกผู้สร้างสรรค์และมีงานชุมคนนี้

เซดริค ผู้ใจบุญ ได้ก่อตั้งมูลนิธิ เดอะ เซดริค ดิ เอนเตอร์เทนเนอร์ ชาริเทเบิล ฟาวน์เดชัน ซึ่งให้ทุนการศึกษาระดับวิทยาลัยและโครงการเพื่อยกระดับชีวิตของเยาวชนภายในเมืองและครอบครัวของพวกเขาในเซนต์หลุยส์ บ้านเกิดของเขาในรัฐมิสซูรี เขาได้ให้ทุนการศึกษากว่า 200 ครั้งและได้ให้เงินสนับสนุนมากมายผ่านทางมูลนิธิของเขา และเขาก็วางแผนที่จะขยายองค์กรของเขาไปทั่วประเทศอีกด้วย

คาร์ลอส อลาซราควี (พากย์เสียง เอล ชูปาคาบรา) ไม่ได้เป็นเพียงผู้รับบทรองเจมส์ การ์เซียในซีรีส์คอเมดี เซ็นทรัลเรื่อง “Reno 911!” เท่านั้น เขายังเป็นนักแสดงสแตนด์อัพ คอเมดีมานานกว่า 25 ปีและเป็นหนึ่งในนักพากย์ระดับแนวหน้าของแอลเอมากว่า 18 ปี ด้วยผลงานการพากย์เสียงร็อคโก้และสปังค์กี้ในซีรีส์นิคเคลโลเดียนเรื่อง “Rocko’s Modern Life,” บทมิสเตอร์วี้ดในซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง “The Family Guy,” บทลาซโลในซีรีส์ทางการ์ตูน เน็ตเวิร์คเรื่อง “Camp Lazlo,” บทเบนใน “Justice League Doom” รวมถึงบทกิดเก็ท สุนัขชิวาวา ทาโก้เบลด้วย นอกจากนี้ เขายังได้พากย์เสียงเนสเตอร์ เพนกวินเชื้อสายลาตินใน “Happy Feet” และ “Happy Feet 2” ล่าสุด เขาได้พากย์เสียง ลิงบารันจีใน “Dehli Safari” (เวอร์ชันภาษาอังกฤษ) นอกจากนี้ เขายังได้พากย์เสียงคิงแม็กนัสในภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง “Sophia the First” และซิกมันด์ในตอนไพล็อตของซีรีส์ใหม่เรื่อง “Beverly Hills Chihuahua”

เขามีผลงานเป็นรายการคอเมดีพิเศษครึ่งชั่วโมงทางคอเมดี เซ็นทรัล รวมถึงรายการโทรทัศน์ที่แพร่ภาพทั่วประเทศอีกมากมาย ซึ่งรวมถึงการออกรายการ “Late Late Show with Craig Ferguson” ด้วย

ในปลายปี 2008 เขาได้ร่วมมือกับเซดริค ยาร์บรูห์ เพื่อนร่วมแสดงของเขาจาก “Reno 911!” แสดงตามวิทยาลัย และในตอนนี้ พวกเขาก็กลายเป็นหนึ่งในคณะแสดงที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในประเทศ

เขาได้ผลิตซีรีส์การ์ตูนทางเว็บของตัวเองทาง Mondomedia.com ในชื่อ “Off the Curb” ซึ่งได้แสดงสดต่อหน้าผู้ชมในยูทูป เลานจ์ในงานซานดิเอโก้ คอมิก-คอนในปีนี้นอกจากนี้ เขายังประสบความสำเร็จในการสร้างอีเวนต์ร็อคโก้ส์ โมเดิร์น ไลฟ์ที่ดาวน์ทาวน์ อินดีเพนเดนท์ เธียเตอร์ในแอลเอ ร่วมกับผู้สร้างโจ เมอร์เรย์ การแสดงนี้ขายบัตรหมดในหนึ่งสัปดาห์

 

โรเจอร์ เคร็ก สมิธ (พากย์เสียง ริปสลิงเกอร์) นักพากย์เสียงได้มีผลงานพากย์เสียงในโปรเจ็กต์หลายร้อยเรื่องในสื่อบันเทิงทุกประเภทในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์อนิเมชัน การ์ตูน วิดีโอเกม การบรรยายซีรีส์โทรทัศน์ คลิปประชาสัมพันธ์และโฆษณาวิทยุ/โทรทัศน์นับไม่ถ้วน ผลงานที่โดดเด่นที่สุดส่วนหนึ่งของเขาได้แก่บทเม่นโซนิคในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์โดยวอลท์ ดิสนีย์ อนิเมชัน สตูดิโอส์เรื่อง “Wreck-It Ralph,” บทโธมัส (และตัวละครอื่นๆ อีกหลายสิบตัว) จากซีรีส์อนิเมชันรางวัลเอ็มมีทางการ์ตูน เน็ตเวิร์คเรื่อง “Regular Show,” บทกัปตันอเมริกัน/สตีฟ โรเจอร์สจากซีรีส์อนิเมชันจากมาร์เวล/ดิสนีย์ เอ็กซ์ดีเรื่อง “Avengers Assemble,” ออกอากาศทาง KROQ FM 106.7 ที่โด่งดังระดับโลกในลอสแองเจลิส, บทกัปตันมาร์เวลจากซีรีส์อนิเมชันมาร์เวล/ดิสนีย์ เอ็กซ์ดีเรื่อง “The Avenger’s: Earth’s Mightiest Heroes,” บทฟอร์จจากซีรีส์มาร์เวล “Wolverine and The X-Men,” กัปตันอเมริกาจากซีรีส์อนิเมชันโดยมาร์เวล/ดิสนีย์ เอ็กซ์ดีเรื่อง “Ultimate Spider-Man,” บทเจ้าชาวฟิลลิปในภาพยนตร์อนิเมชันดิสนีย์เรื่อง “Disney Princess Enchanted Tales: Follow Your Dreams,” บทโบลท์และสโตนในภาพยนตร์อนิมชันดิสนีย์เรื่อง “Tinker Bell and the Lost Treasure” และเขายังได้พากย์เสียงในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Unstoppable,” “Our Family Wedding,” “Jennifer’s Body,” “Baby Mama” และ “Jumper”

ในโลกวิดีโอเกม เขาได้พากย์เสียงเม่นโซนิค, โกลเดน ทิคเก็ตใน “Kinect: Disneyland Adventures” และคริส เรดฟิลด์จากแฟรชนไชส์ “Resident Evil” นอกจากนี้ เขายังพากย์เสียงเอซิโอ ออดิโทเร ดา ฟิเรนเซจากแฟรนไชส์ “Assassin’s Creed” ที่ทำยอดขายกว่า 25 ล้านก็อปปี้ทั่วโลกอีกด้วย

เขาได้บรรยายเสียงซีรีส์เรียลลิตี้ยอดนิยมทางทีแอลซี “Say Yes to the Dress” ตั้งแต่ที่มันเปิดตัวในปี 2007 รวมถึงซีรีส์สปินออฟ “Say Yes to the Dress: Atlanta” และ “Say Yes to the Dress: Bridesmaids” นอกจากนั้น เขายังได้บรรยายเสียงซีรีส์ยอดนิยมเกี่ยวกับการพัฒนาบ้าน “Yard Crashers,” “House Crashers,” “Bath Crashers” และ “Kitchen Crashers” ทางดีไอวาย เน็ตเวิร์คอีกด้ว

สมิธ ผู้เป็นคนตลกตั้งแต่เด็ก ได้รับการขนานนามว่าเป็นตัวตลกประจำชั้นเรียนในเกรดแปดและได้ศึกษาละครมิวสิคัลในช่วงวัยรุ่น เขาได้รับปริญญาด้านการเขียนบทจากมหาวิทยาลัยแชปแมนและได้ทำงานเป็นนักแสดงสแตนด์อัพ คอเมดีเต็มตัว หลังจากที่ได้สร้างตัวละครมากมายบนเวทีสแตนด์อัพ ท้ายที่สุด เขาก็ได้ขยับจากคลับคอเมดีไปยังบูธบันทึกเสียงและแวดวงพากย์เสียง

สมิธใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโอเรนจ์, แคลิฟอร์เนีย กับสุนัขพันธุ์ปั๊ก ดัชชุนและแมวอ้วนตัวหนึ่ง

แอนโธนี เอ็ดเวิร์ดส์ (พากย์เสียง เอคโค) อาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทดร.มาร์ค กรีนในซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง “ER” บทคุณหมอห้องฉุกเฉินงานชุมผู้มุ่งมั่นกับงาน ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลเอ็มมี อวอร์ด และทำให้เขาได้รับสามรางวัลแซ็ก อวอร์ดและหนึ่งรางวัลลูกโลกทองคำ เขาได้กลับสู่จอแก้วอีกครั้งในปี 2013 ด้วยดรามาผจญภัยทางเอบีซีเรื่อง “Zero Hour”

เขาได้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ชีวประวัติทางเอชบีโอเรื่อง “Temple Grandin” ที่ได้รับหลายรางวัลเอ็มมีและลูกโลกทองคำ โปรเจ็กต์ที่เขาอำนวยการสร้างเรื่องอื่นๆ ได้แก่ “Don't Go Breaking My Heart” และ “Borderline” ที่นำแสดงโดยเชอร์รี สปริงฟิลด์ เขาจะทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างให้กับสารคดีเรื่อง  “Searching for Home: Coming Back from War” ซึ่งเล่าเรื่องของการทำตัวให้เคยชินกับการกลับเข้าสังคมอีกครั้งของอดีตทหารผ่านศึก

เขาได้แสดงในภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง รวมถึงบทบาทที่น่าจดจำ กู๊ส ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง “Top Gun” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยเดวิด ฟินเชอร์เรื่อง “Zodiac,” “Motherhood,” “Flipped,” ภาพยนตร์โดยพี่น้องโปลิชเรื่อง “Northfork,” “Thunderbirds,” “Playing by Heart,” “The Client,” “Miracle Mile,” “Mr. North,” “Hawks,” “The Sure Thing,” “Gotcha,” “Revenge of the Nerds,” “Heart Like a Wheel” และ “Fast Times at Ridgemont High” หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงในภาพยนตร์โดยไมเคิล โปลิชเรื่อง “Big Sur” ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์

เขาได้เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วย “Charley’s Ghost Story” ซึ่งเป็นการนำเรื่องของมาร์ค ทเวนมาปรับให้ทันสมัยขึ้น ที่นำแสดงโดยชีค มารินและลินดา ฟิออเรนติโน นอกจากนี้ เขายังได้กำกับหลายเอพิโซดของซีรีส์ “ER” อีกด้วย

ผลงานจอแก้วของเขาได้แก่บทประจำ ทนายความที่ไม่มีอาการภูมิแพ้ ที่ถูกบีบให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในฟองสบู่ในซีรีส์ดังเรื่อง “Northern Exposure” นอกจากนั้น เขาได้แสดงประกบริชาร์ด เครนนา, แพ็ตตี้ ดุ๊คและเฮเลน ฮันท์ ในซีรีส์เรื่อง “It Takes Two” เขาได้ร่วมแสดงในรายการพิเศษทางโชว์ไทม์ “Sexual Healing” (ได้รับการเสนอชื่อชิงเคเบิล เอซ) รวมถึงภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “El Diablo,” “Hometown Boy Makes Good,” “Going for the Gold: The Bill Johnson Story,” “High School USA” และ “The Killing of Randy Webster”

เอ็ดเวิร์ดส์ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรการกุศล ชูโฟร์แอฟริกา (shoe4africa.org) ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่สร้างโรงพยาบาลรัฐบาลสำหรับเด็กในเคนยา เขาเป็นนักวิ่งตัวยงและมีใบอนุญาตขับเครื่องบิน เขาเป็นชาวแคลิฟอร์เนียและใช้ชีวิตในนิวยอร์ก ซิตี้กับภรรยาของเขา เฌอนีน โลเบล และลูกๆ สี่คนของพวกเขา คุณสามารถติดตามทวิตเตอร์ของเขาได้ทาง http://twitter.com/anthonyedwards

วัล คิลเมอร์ (พากย์เสียง บราโว) เป็นหนึ่งในนักแสดงที่มากความสามารถที่สุดในรุ่นของเขา ตั้งแต่ผลงานล่าสุดของเขาในบทเจ้าหน้าที่ทหารในภาพยนตร์โดยเดวิด มาเม็ตเรื่อง “Spartan” ไปจนถึงผลงานของเขาในภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์ สโตนเรื่อง “The Doors” และภาพยนตร์โดยไมเคิล แมนน์เรื่อง “Heat” รวมถึงผลงานเริ่มแรกของเขาใน “Top Gun” คิลเมอร์ได้ร่วมงานกับผู้กำกับและนักแสดงที่ได้รับการยกย่องมากมาย นอกจากนั้น เขายังมีผลงานภาพยนตร์ใหม่อีกสองเรื่องที่น่าประทับใจได้แก่ ภาพยนตร์โดยมิลเลนเนียมเรื่อง “Bad Lieutenant” ประกบนิโคลัส เคจและกำกับโดยเวอร์เนอร์ เฮอร์ซ็อก และ “Streets of Blood” ประกบชารอน สโตนและเคอร์ติส “ฟิฟตี้ เซนต์” แจ็คสัน เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่โดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลาเรื่อง “Twixt Now and Sunrise”

ปัจจุบัน คิลเมอร์กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา “Citizen Twain” การแสดงเดี่ยวเกี่ยวกับมาร์ค ทเวน ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเล่าเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ละครเรื่องนี้ ที่เขียนบทโดยคิลเมอร์ ได้บอกเล่าการเดินทางของซามวล แอล. คลีเมนส์ ผู้เขียนในฐานะมาร์ค ทเวน เพื่อการยอมรับ การให้อภัย และการรู้แจ้ง ผ่านทางงานเขียนของเขา และการมองพิจารณาตัวเองและการหมั้นหมายที่ได้แรงบันดาลใจจากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแมรี เบเกอร์ เอ็ดดี้ งานเขียนของเอ็ดดี้ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงบั้นปลายชีวิตของคลีเมนส์ ได้เป็นตัวกระตุ้นให้เขาเกิดแรงบันดาลใจในการค้นหาตัวตนที่ดีที่สุดของเขา คลิเมอร์ได้จัดเวิร์คช็อปในสถานที่ต่างๆ ซึ่งรวมถึงวัลลีย์ เพอร์ฟอร์มิง อาร์ตส์ เซ็นเตอร์ในนอร์ธริดจ์, แคลิฟอร์เนีย, เดอะ วีลี เธียเตอร์ในดัลลัสและเคิร์ค ดักลาส เธียเตอร์ในลอสแองเจลิส

ผลงานล่าสุดเรื่องอื่นๆของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยริค โรแมน วอห์เรื่อง “Felon” ประกบสตีเฟน ดอร์ฟ์, “Déjà Vu” แอ็กชันทริลเลอร์ที่อำนวยการสร้างโดยเจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์สำหรับทัชสโตน พิคเจอร์ส ซึ่งคิลเมอร์แสดงประกบเดนเซล วอชิงตันและจิม คาวีเซลและ “Kiss, Kiss Bang, Bang” ที่เขียนบทและกำกับโดยเชน แบล็ค และร่วมแสดงโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์

คิลเมอร์ ผู้เป็นนักเรียนที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่ได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาแผนกการละครที่จูเลียร์ด ได้เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยคอเมดีเรื่อง “Top Secret” ตามด้วยผลงานเรื่อง “Real Genius” และการแสดงแจ้งเกิดของเขาในบทไอซ์แมนในภาพยนตร์โดยโทนี สก็อตเรื่อง “Top Gun” ประกบทอม ครูซ บทบาทอื่นๆ ที่น่าจดจำของเขาได้แก่จิม มอร์ริสันในภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์ สโตนเรื่อง “The Doors,” บทนำใน “Batman Forever,” บทด็อค ฮอลลิเดย์ใน “Tombstone” และไซมอน เทมพลาร์ใน “The Saint” ผลงานแสดงนำเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยไมเคิล แมนน์เรื่อง “Heat” ประกบโรเบิร์ต เดอ นีโรและอัล ปาชิโน, “True Romance” ที่กำกับโดยโทนี สก็อต, ภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง “Willow,” “At First Sight” และ “Thunderheart” คิลเมอร์ได้รับรางวัล 2003 ปริซึม อวอร์ดจากผลงานของเขาใน “The Salton Sea” และเขาก็ได้แสดงในอีพิค 3D เรื่อง “Wings of Courage” รวมถึงได้พากย์เสียงโมเสสในภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง “The Prince of Egypt” ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขายังรวมถึงภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์ สโตนเรื่อง “Alexander,” ภาพยนตร์โดยเรนนี ฮาร์ลินเรื่อง “Mindhunters,” ภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง “Delgo,” ภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง “The Missing” และ “Wonderland” นอกจากนี้ เขายังได้แสดงใน “MacGruber” คอเมดีที่สร้างจากสเก็ตช์ที่ล้อเลียน “MacGyver” ของ SNL อีกด้วย

ระหว่างการถ่ายทำ “Wonderland” เขาเริ่มต้นโปรเจ็กต์ถ่ายภาพที่กลายเป็นหนังสือภาพเบื้องหลังงานถ่ายทำ ภาพถ่ายเหล่านี้ ที่ตีพิมพ์โดยพ็อกเก็ต บุ๊ค ได้ถูกจัดแสดงในเมืองต่างๆ ทั่วอเมริกา

ระหว่างที่เขาศึกษาที่จูเลียร์ด เขาได้ร่วมเขียนบทละครเวทีเรื่อง “How it all Began” ที่สร้างจากเรื่องจริงของชาวเยอรมันตะวันตกหัวก้าวหน้า ละครเวทีเรื่องนี้กำกับโดยเดส แม็คแอนนัฟฟ์และอำนวยการสร้างโดยโจเซฟ แป็ปป์สำหรับพับลิค เธียเตอร์ เขาเปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในละครปี 1983 เรื่อง “Slab Boys” ประกบฌอน เพนน์และเควิน เบคอน นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในละครโปรดักชันของเดอลากูร์โดยแป็ปป์เรื่อง “Henry IV: Part One,” “As You Like It,” บทนำใน “Hamlet” และ “‘Tis Pity She’s A Whore” ที่พับลิค เธียเตอร์ โดยแป็ปป์เช่นกัน เขาได้แสดงในละครมิวสิคัลที่อำนวยการสร้างโดยแม็กซ์ อาซาเรียเรื่อง “The Ten Commandments” ในบทโมเสสที่โกดัก เธียเตอร์ในลอสแองเจลิส ในปี 2005 เขาได้แสดงละครเวสต์เอนด์ในลอนดอน ที่เพลย์เฮาส์ เธียเตอร์ในละครที่ดัดแปลงโดยแอนดรูว์ แรทเทนเบอรีเรื่อง “The Postman Always Rings Twice” ในบทแฟรงค์ เชมเบอร์ส ชายพเนจร ที่รับบทโดยแจ็ค นิโคลสันในเวอร์ชันภาพยนตร์ปี 1981

ซินแบด (พากย์เสียง โรเปอร์) นักแสดงและนักแสดงตลก ได้เปิดตัวในแวดวงคอเมดีด้วยสไตล์คอเมดี “ตีหัวเข้าบ้าน” ที่ทำให้ผู้ชมหัวเราะมากว่าสองทศวรรษ ซินแบด ผู้ได้รับการยกย่องจากคอเมดี เซ็นทรัลให้เป็นหนึ่งในร้อยนักแสดงสแตนด์อัพ คอเมดียอดเยี่ยมตลอกาล ได้บอกเล่าเรื่องราว โดยที่อารมณ์ขันของเขาเกิดจากประสบการณ์ของเขาเอง ซินแบด เป็นลูกชายของนักเทศน์ เขาตัดสินใจที่จะรักษามุขตลกของเขาให้ขาวสะอาดหลังจากที่พ่อของเขาได้เข้าชมหนึ่งในการแสดงครั้งแรกๆ ของเขา

ซินแบดเป็นที่รู้จักทั่วโลกจากการแสดงในภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง “Jingle All the Way” ประกบอาร์โนลด์ ชวอร์ซเนกเกอร์, “Houseguest” ที่ร่วมแสดงโดยฟิล ฮาร์ทแมน ผู้ล่วงลับ และผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา “Necessary Roughness” เขาได้แสดงในซิทคอมเรื่อง “A Different World” และซีรีส์ของเขาเองเรื่อง “The Sinbad Show” ซินแบด ผู้ได้รับเลือกจากควินซี โจนส์ ผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงบันเทิง ได้เป็นพิธีกรรายการทอล์คโชว์ช่วงดึกทางยูพีเอ็น “Vibe” และได้เป็นแขกรับเชิญในซีรีส์ออริจินอลทางโชว์ไทม์เรื่อง  “Resurrection Blvd” รายการคอเมดีพิเศษทางเอชบีโอที่เรตติ้งสูงของเขารวมถึง  “Brain Damaged” (1991), “Afros & Bellbottoms” (1993), “Son of a Preacher Man” (1996) และ “Nuthin but the Funk” (1998) เขาได้แสดงในซีรีส์ทางเอฟเอ็กซ์เรื่อง “It’s Always Sunny in Philadelphia” และรายการพิเศษทางคอเมดี เซ็นทรัลของเขา “Where U Been?” ที่แพร่ภาพในปี 2010 โดยได้รับเรตติ้งสูงอย่างล้นหลาม นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมออกรายการ “Celebrity Apprentice” ทางเอ็นบีซีอีกด้วย

ซินแบด ที่เป็นเนิร์ดแบบแอบซุ่ม ได้ทำหน้าที่ดูแลเทคโนโลยีระหว่างการทำงานให้กับลูกค้าหลายเจ้าเช่นอินเทล คอร์ปอเรชัน, เบรคอะเวย์ เทคโนโลยีส์, แอปเปิลและไมโครซอฟท์ ในฐานะคนกลางของโซลูชันด้านเทคโนโลยีที่ให้ความสำคัญกับชุมชน ซินแบดเชื่อว่าไม่ควรมีใครล้าหลังด้านการฝึกฝนและการศึกษา เขาทำหน้าที่โฆษกให้กับเนชันแนล แอ็กชัน เคาน์ซิล ฟอร์ ไมนอริตี้ส์ อิน เอ็นจิเนียริง (เอ็นเอซีเอ็มอี) ที่กระตุ้นให้ชนกลุ่มน้อยศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อเป็นเกียรติกับพ่อแม่ของเขา โดนัลด์และหลุยส์ แอดคินส์ เขาได้ตั้งทุนการศึกษาในนามของพวกเขาที่มอร์เฮาส์ คอลเลจในแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย นักแสดง/นักแสดงตลกผู้นี้แสดงความชื่นชมที่มีต่อทหารผู้รับใช้ประเทศ ด้วยการมีส่วนร่วมในการทัวร์ยูเอสโอและการแสดงที่ยูเอสโอ ออฟ แฮมป์ตัน โร้ดส์ 2006 แพทริโอติค เฟสติวัล

ซินแบด ผู้ครั้งหนึ่งเคยเล่นบาสเก็ตบอลให้กับมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ กล่าวว่าเขาได้เรียนรู้ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับคอเมดี จากการเล่นบาสเก็ตบอล นักแสดงตลกผู้นี้เชื่อว่า คอเมดีและบาสเก็ตบอลมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เหมือนกัน รวมถึงแง่มุมแข่งขันที่สอนให้คุณไม่ยอมแพ้ด้วย

กาเบรียล อิเกลเซียส (พากย์เสียง เน็ดและเซ็ด) ถูกพูดถึงว่าเป็นนักแสดงพรสวรรค์ผู้มีไหวพริบและเสน่ห์ดึงดูด ผู้สามารถนำเสนอประสบการณ์น่าขบขันที่โดดเด่นอย่างสม่ำเสมอได้ การแสดงไฮอ็อกเทนของเขาได้รับความนิยมอย่างสูง จากการผสมผสานการเล่าเรื่อง การล้อเลียน ตัวละครและซาวน์เอฟเฟ็กต์ ที่ทำให้ประสบการณ์ส่วนตัวของเขามีชีวิตขึ้นมา สไตล์คอเมดีที่มีชีวิตชีวาและมีเอกลักษณ์ของเขาทำให้เขาได้รับความนิยมจากแฟนๆ ทุกเพศทุกวัย

“Hot & Fluffy” และ “I’m Not Fat...I’m Fluffy” ซึ่งเป็นดีวีดีพิเศษสองชุดแรกของอิเกลเซียส มียอดขายกว่าหนึ่งล้านก็อปปี้ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความต้องการมหาศาลนี้ อิเกลเซียสจึงได้บันทึกภาพดีวีดีพิเศษหนึ่งชั่วโมงของคอเมดีเซ็นทรัลชุดที่สามในชื่อ “Aloha Fluffy” เพื่อออกอากาศทางคอเมดี เซ็นทรัลในฤดูใบไม้ผลิปี 2013

“Gabriel Iglesias Presents Stand-Up Revolution” ได้เปิดตัวทางคอเมดี เซ็นทรัลในเดือนตุลาคม ปี 2011 และเป็นหนึ่งในซีรีส์สแตนด์อัพ ที่มีเรตติ้งสูงสุดทางสถานี ซีรีส์นี้นำแสดงโดยอิเกลเซียส ที่เป็นพิธีกรและแสดงตลกเดี่ยว รวมถึงนักแสดงตลกที่มีพรสวรรค์ ที่เขาคัดเลือกด้วยตัวเองอีกหลายคน ซีซันที่สองของ “Stand-Up Revolution” ที่เป็นที่รอคอย ถูกบันทึกเทปในฟอร์ท โลเดอร์เดลและเปิดตัวทางคอเมดี เซ็นทรัลในฤดูใบไม้ร่วงปี 2012 เขาได้รับการเสนอชื่อชิง 2012 อัลมา อวอร์ดในสาขาการออกรายการหรือการแสดงในรายการเรียลลิตี้ วาไรตี้หรือคอเมดียอดนิยม

ผลงานจอแก้วมากมายของเขารวมถึงซีรีส์ทางการ์ตูน เน็ตเวิร์คเรื่อง “The Annoying Orange,” “The Tonight Show with Jay Leno,” “Conan,” “Jimmy Kimmel Live,” “The Family Guy” ทางฟ็อกซ์ ทีวี, “Good Morning America” และ “The Late Late Show with Craig Ferguson” เขาได้เป็นพิธีกรร่วมของซีรีส์เรตติ้งสูงทางยูทูปโดยเรย์ วิลเลียม จอห์นสันเรื่อง “=3” และ “Epic Meal Time” นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในภาพยนตร์ยอดนิยมโดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง  “Magic Mike” อีกด้วย เขาได้รับความนิยมอย่างสูงจากการแสดงในจัสต์ ฟอร์ ลัฟส์ คอเมดี เฟสติวัลในมอนทรีอัลและโตรอนโต ในปี 2009 และ 2010 เขาได้รับเลือกให้แสดงในแอมแมน จอร์แดน คอเมดี เฟสติวัล ซึ่งเป็นงานเทศกาลคอเมดีครั้งแรกในโลกอาหรับ เขาได้จัดการแสดงที่บัตรขายหมดเกลี้ยงทั่วโลก และการแสดงทัวร์ล่าสุดของเขาก็อยู่ในอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย (เพิร์ธ, บริสเบน, เมลเบิร์นและซิดนีย์), ยุโรป (เนเธอร์แลนด์, เบลเยียม, เดนมาร์ค, สวีเดนและนอร์เวย์), อังกฤษ (ลอนดอนและนอตติ้งแฮม), สิงคโปร์, ซาอุดิอาระเบีย (ริยาดห์, โคบาร์), กาตาร์ (โดฮา) และสหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ (ดูไบ)

เบรนท์ มัสเบอร์เกอร์ (พากย์เสียง เบรนท์ มัสแตงเบอร์เกอร์) หนึ่งในผู้ประกาศข่าวที่มีพรสวรรค์และมากความสามารถที่สุดในวงการ ได้เข้าทำงานกับเอบีซี สปอร์ตส์ในปี 1990 นับตั้งแต่ได้เข้าทำงานกับเอบีซี เขาก็ได้รายงานข่าวการแข่งขันลิตเติล ลีก เวิลด์ ซีรีส์, บาสเก็ตบอลระดับมหาวิทยาลัย, เอ็นบีเอ, ฟุตบอลระดับมหาวิทยาลัย, เมเจอร์ ลีก บาสเก็ตบอล, เกมเพลย์ออฟเอ็นเอฟแอลและช่วงครึ่งเวลาของมันเดย์ ไนท์ ฟุตบอล และเขาก็ได้เป็นพิธีกรรายการข่าวเกี่ยวกับการแข่งขันพีจีเอ, สเก็ตน้ำแข็งและการแข่งขันกรีฑาลู่และลานทั่วโลกของสถานีอีกด้วย

เอบีซีได้ประกาศถึงการเข้าทำงานของมัสเบอร์เกอร์ที่เอบีซีว่า “เรายินดีที่ได้ต้อนรับเบรนท์ มัสเบอร์เกอร์ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมผู้ประกาศข่าวที่เราเชื่อว่าเก่งที่สุดในแวดวงโทรทัศน์ เขาได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถมหาศาลในกีฬาหลากหลาย ซึ่งทำให้เขาเหมาะกับการรักษาและยกระดับการนำเสนอรายการต่างๆ ที่กำลังเติบโตของเอบีซี สปอร์ตส์”

ก่อนหน้าการเข้าทำงานที่เอบีซี สปอร์ตส์ เขาเป็นสมาชิกของทีมผู้ประกาศข่าวทางซีบีเอส สปอร์ตส์ตั้งแต่ปี 1975 เขาได้รายงานข่าวช่วงก่อนการแข่งขัน “The NFL Today” รวมถึงได้ทำหน้าที่รายงานข่าวในช่วงครึ่งเวลาและท้ายการถ่ายทอดการแข่งขันเนชันแนล ฟุตบอล ลีกด้วย นอกจากนั้น เขายังเป็นผู้รายงานสดการแข่งขันเอ็นซีเอเอ ไฟนอล โฟร์ บาสเก็ตบอล ทัวร์นาเมนต์อีกด้วย เขาได้เป็นพิธีกรรายการ “CBS Sports Saturday/Sunday,” รายการแข่งขันยูเอส โอเพน เทนนิส แชมเปียนชิพ, เนชันแนล บาสเก็ตบอล แอสโซซิเอชันไฟนอลส์,มาสเตอร์ส ทัวร์นาเมนต์และแพน อเมริกัน เกมส์อีกด้วย

ระหว่างศึกษาที่เมดิล สคูล ออฟ เจอร์แนลลิซึมแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น มัสเบอร์เกอร์ก็เปลี่ยนใจไปศึกษาที่ชิคาโก อเมริกัน ที่ซึ่งเขากลายเป็นนักเขียนข่าวกีฬาที่ได้รับรางวัล อาชีพนักข่าวของเขาเริ่มต้นในตอนที่เขาได้เข้าทำงานกับดับบลิวบีบีเอ็ม เรดิโอในชิคาโกในปี 1968 ในฐานะผู้อำนวยการข่าวกีฬา หลังจากนั้น เขาก็ได้รับตำแหน่งเดียวกันนี้สำหรับดับบลิวบีบีเอ็ม ทีวี ก่อนที่เขาจะย้ายไปลอสแองเจลิสเพื่อร่วมประกาศข่าวให้กับข่าวช่วงกลางคืนสำหรับเคเอ็นเอ็กซ์ที ทีวี เขาและอาร์ลีน ภรรยาของเขามีลูกชายสองคน

ประวัติทีมผู้สร้าง

เคลย์ ฮอล (ผู้กำกับ/เรื่องราวดั้งเดิมโดย) เกิดในเมืองเบอร์แบงค์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ภายใต้การสอนของ “ชายชราเก้าคน” ของดิสนีย์ ซึ่งรวมถึงแฟรงค์ โธมัส, โอลลี จอห์นสตัน, มาร์ค เดวิสและเคน แอนเดอร์สัน ได้รับทุนการศึกษาจากดิสนีย์ให้ศึกษาในหลักสูตรอนิเมชันตัวละครที่แคลิฟอร์เนีย อินสติติวท์ ออฟ ดิ อาร์ตส์ หลังจากสำเร็จการศึกษาจากแคลอาร์ตส์ เขาก็ได้รับเลือกจากวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ให้ทำงานในภาพยนตร์สั้นเรื่อง “Sport Goofy” หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำงานซีรีส์อนิเมชันโดยแอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง “Family Dog”

ฮอล ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเอ็มมีจากผลงานของเขาในซีรีส์อนิเมชันยอดนิยม “King of the Hill” ได้กำกับ “Natural Born Kissers” เอพิโซดยอดนิยมของซีรีส์ “The Simpsons” ด้วย ผลงานซีรีส์อนิเมชันเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “Father of the Pride” ในตำแหน่งหัวหน้าผู้กำกับและ “A Wish for Wings That Work” ในฐานะอนิเมเตอร์ผู้กำกับ นอกเหนือจากนั้น เขายังได้ทำงานในมิวสิค วิดีโอเพลง “Harlem Shuffle” ของโรลลิง สโตนส์อีกด้วย

เขากลับไปวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์อีกครั้งเพื่อกำกับ “Tinker Bell and the Lost Treasure” ให้กับดิสนีย์ตูน สตูดิโอส์ ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งภายใต้วอลท์ ดิสนีย์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ ภายใต้การนำของจอห์น ลาสเซ็ทเตอร์

ฮอล ผู้ชื่นชอบเรื่องการบินมาโดยตลอด มาจากตระกูลนักบิน และเขาก็เริ่มต้นวาดรูปเครื่องบินตั้งแต่อายุน้อย พ่อและปู่ของเขาเป็นนักบินทั้งคู่ โดยพ่อของเขาเป็นนักบินให้กับกองทัพเรือ เขาเคยบินเครื่องบินหลายสิบลำ ตั้งแต่เครื่องบินทิ้งระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่สองไปจนถึงเฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้ยุคเวียดนาม นอกจากนี้ เขายังเป็นอดีตนักแข่งมอเตอร์ครอสและยังคงมีความสุขกับการได้ซิ่งเมื่อมีเวลาว่างด้วย เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับภรรยาและลูกชายสองคน

เทรซี่ บัลธาซอร์-ฟลินน์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เกิดและเติบโตทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย การทำงานในแวดวงบันเทิงของเธอเริ่มต้นจากการทำหน้าที่นักวาดภาพแบ็คกราวน์ที่โซนี พิคเจอร์ส ที่ซึ่งเธอได้ทำงานในการ์ตูนเช้าวันเสาร์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Extreme Ghostbusters” หลังจากนั้น เธอก็ได้ขยับไปทำงานในตำแหน่งด้านการจัดการในงาน CG ของสตูดิโอ ซึ่งรวมถึงซีรีส์อนิเมชันยอดนิยมเรื่อง “Roughnecks: Starship Troopers Chronicles”

หลังจากนั้น เธอก็ได้เข้าทำงานกับวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ ที่ซึ่งตำแหน่งแรกของเธอคือผู้จัดการงานสร้างดิจิตอล ที่มีหน้าที่ดูแลผู้กำกับฝ่ายเทคนิคและนักวาดภาพ CG ในภาพยนตร์อนิเมชันหลายเรื่องเช่น “Return to Never Land,” “Bambi II” และ “The Little Mermaid: Ariel’s Beginning”

เมื่อหน้าที่รับผิดชอบของเธอมากขึ้น เธอก็ได้ไต่ระดับไปสู่ตำแหน่งผู้บริหารอย่างรวดเร็วเพื่อดูแลงานสร้างให้กับดิสนีย์ตูน สตูดิโอส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวอลท์ ดิสนีย์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ ภายใต้การนำของจอห์น ลาสเซ็ทเตอร์ ในฐานะผู้กำกับฝ่ายงานสร้างบัลธาซอร์-ฟลินน์ เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ริเริ่มแฟรนไชส์ภาพยนตร์ยอดนิยม Disney Fairies เธอมีส่วนสำคัญในการช่วยทำให้ดิสนีย์ตูน สตูดิโอส์ เติบโตขึ้น เธอใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับสามีและลูกชายสองคน

จอห์น ลาสเซ็ทเตอร์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง/เรื่องราวดั้งเดิมโดย) เป็นผู้กำกับที่เคยได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดมาแล้วสองครั้งและทำการดูแลภาพยนตร์ทุกเรื่องรวมถึงโปรเจ็กต์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ของวอลท์ ดิสนีย์และพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์ ลาสเซ็ทเตอร์ได้เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกในปี 1995 ด้วย “Toy Story” ภาพยนตร์ CG อนิเมชันขนาดยาวเรื่องแรก และนับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “A Bug’s Life,” “Toy Story 2” และ “Cars” เขาหวนคืนสู่เบาะคนขับอีกครั้งในปี 2011 ด้วยการกำกับ “Cars 2”

ผลงานควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ของเขาได้แก่  “Monsters, Inc.,” “Finding Nemo,” “The Incredibles,” “Ratatouille,” “WALL•E,” “Bolt,” “Up,” “Brave,” “Monsters University” รวมถึงภาพยนตร์วอลท์ ดิสนีย์ อนิเมชัน สตูดิโอเรื่องล่าสุด “Frozen” อีกด้วย  นอกจากนี้ ลาสเซ็ทเตอร์ยังทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์ดิสนีย์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เรื่อง “The Princess and the Frog” และ “Tangled” รวมไปถึงภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมและเพลงประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยมของพิกซาร์เรื่อง “Toy Story 3” ซึ่งสร้างขึ้นจากเรื่องราวโดยลาสเซ็ทเตอร์, แอนดรูว์ สแตนตันและลี อังค์ริช

ลาสเซ็ทเตอร์ได้เขียนบท กำกับและสร้างอนิเมชันให้กับภาพยนตร์ขนาดสั้นช่วงเริ่มแรกหลายเรื่องให้กับพิกซาร์ ซึ่งรวมถึง “Luxo Jr.,” “Red’s Dream,” “Tin Toy” และ “Knickknack” “Luxo Jr.” เป็นภาพยนตร์ CG อนิเมชันสามมิติเรื่องแรกที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเมื่อมันได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในสาขาภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นยอดเยี่ยมในปี 1986, “Tin Toy” เป็นภาพยนตร์ CG อนิเมชันสามมิติเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เมื่อมันได้รับรางวัลภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นยอดเยี่ยมในปี 1988 นอกจากนี้ เขายังได้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างหรือผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นหลายเรื่องหลังจากนั้นของสตูดิโอ ได้แก่ “Boundin’,” “One Man Band,” “Lifted,” “Presto,” “Partly Cloudy,” “Day & Night” และ “Geri’s Game” (1997) และ “For the Birds” (2000) ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด

ภายใต้การดูแลของเขา ภาพยนตร์อนิเมชันและภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นของพิกซาร์ได้รับรางวัลเกียรติยศจากนักวิจารณ์และจากวงการภาพยนตร์มากมาย เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขาความสำเร็จพิเศษในปี 1995 จากความเป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน “Toy Story” นอกจากนี้ เขาและทีมงานเขียนบท “Toy Story” ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ภาพยนตร์อนิเมชันได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในสาขานี้

ในปี 2009 เขาได้รับรางวัลสิงโตทองคำสาขาความสำเร็จแห่งชีวิตจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 66 ในปีถัดมา เขากลายเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อนิเมชันคนแรกที่ได้รับรางวัลเดวิด โอ. เซลส์นิค อชีฟเมนต์ อวอร์ด สาขาภาพยนตร์จากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา รางวัลอื่นๆ ของลาสเซ็ทเตอร์ได้แก่รางวัลคุณูปการโดดเด่นที่มีต่อภาพยนตร์ในปี 2004 จากสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์, ปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์จากสถาบันภาพยนตร์อเมริกันและ 2008 วินเซอร์ แม็คเคย์ อวอร์ดจากอาซิฟา-ฮอลลีวูดจากความสำเร็จในการทำงานและคุณูปการที่เขามีต่อศิลปะอนิเมชัน

ก่อนหน้าการก่อตั้งพิกซาร์ขึ้นในปี 1986 ลาสเซ็ทเตอร์เป็นสมาชิกแผนกคอมพิวเตอร์ในลูคัสฟิล์ม ลิมิเต็ด ที่ซึ่งเขาได้ออกแบบและสร้างอนิเมชันให้กับ “The Adventures of Andre and Wally B.” ตัวละคร CG สามมิติตัวแรกและ ตัวละครอัศวินกระจกแก้ว CG ในภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยสตีเวน สปีลเบิร์กในปี 1985 เรื่อง “Young Sherlock Holmes”

ลาสเซ็ทเตอร์ได้เข้าศึกษาหลักสูตรอนิเมชันตัวละครที่แคลอาร์ต และได้รับปริญญาตรีสาขาภาพยนตร์จากที่นั่นในปี 1979 ลาสเซ็ทเตอร์เป็นคนเดียวที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดนักศึกษาสาขาอนิเมชันสองครั้งจากผลงานเรื่อง “Lady and the Lamp” (1979) และ “Nitemare” (1980) ลาสเซ็ทเตอร์ได้รับรางวัลเป็นครั้งแรกเมื่ออายุห้าขวบ เมื่อเขาได้รับเงินรางวัล 15 เหรียญจากโมเดล โกรเซอรี มาร์เก็ตในวิทเทียร์, แคลิฟอร์เนีย จากภาพวาดระบายสีคนขี่ม้าไร้หัว

เจฟฟรีย์ เอ็ม. โฮเวิร์ด (เรื่องราวดั้งเดิมโดย/บทภาพยนตร์โดย) เป็นหนึ่งในมือเขียนบทของดิสนีย์ตูน สตูดิโอส์ ที่ซึ่งเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของทีมครีเอทีฟอาวุโส เขาทำงานกับดิสนีย์ตั้งแต่ปี 1998 ในตำแหน่งมือเขียนบทและผู้บริหารฝ่ายครีเอทีฟในภาพยนตร์อนิเมชันหลายเรื่อง

ผลงานเขียนบทของเขารวมถึงเรื่องราวและบทภาพยนตร์สำหรับ “Tinker Bell,” เรื่องราวสำหรับ “Tinker Bell and the Great Fairy Rescue” และเรื่องราวและบทภาพยนตร์สำหรับ “Pixie Hollow Games” นอกจากนี้ เขายังมีส่วนร่วมในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “Disney Princess Enchanted Tales” และ “Secret of the Wings” อีกด้วย

ในฐานะผู้กำกับฝ่ายครีเอทีฟของดิสนีย์ตูน สตูดิโอส์ เขาได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาโปรเจ็กต์กว่า 70 เรื่อง เขาได้ดูแลการพัฒนาเรื่องราวและงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Mickey's Twice Upon a Christmas” และ “Bambi II” และมีส่วนร่วมในการสร้างเรื่องราวสำหรับ “Brother Bear II” และ “The Three Musketeers”

ก่อนหน้าที่จะเข้าทำงานกับดิสนีย์ เขาได้ทำงานพัฒนาไลฟ์แอ็กชันให้กับเด็บรา ฮิล โปรดักชันส์ และทำหน้าที่ผู้ช่วยของฮิลในภาพยนตร์เรื่อง “Escape from L.A.,” “The Replacement Killers” และ “Crazy in Alabama”

เขาเกิดในแคลิฟอร์เนีย ในฐานทัพอากาศแฮมิลตัน นอกซานฟรานซิสโก และเติบโตขึ้นในเมืองอัลเลนทาวน์ รัฐเพนซิลวาเนีย เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซิราคิวส์ในปี 1991 ก่อนที่จะย้ายไปลอสแองเจลิสในปี 1995 เขาได้ทำงานให้กับสถานีโทรทัศน์เล็กๆ ในอัลเลนทาวน์ (ที่เขาทำทุกอย่างตั้งแต่ควบคุมกล้องให้กับกีฬาท้องถิ่นไปจนถึงการเป็นนักข่าวหน้ากล้องให้กับนิตยสารข่าว) และทำงานวิดีโอให้กับบริษัทต่างๆ ในเวอร์จิเนีย เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับภรรยาและสุนัขดัชชุนหนึ่งตัว

ผลงานดนตรีประกอบภาพยนตร์ของมาร์ค แมนซินา (คอมโพสเซอร์) ครอบคลุมแทบจะทุกแนว ตั้งแต่ดรามา แอ็กชัน คอเมดี ลุ้นระทึกและพีเรียดอีพิค รางวัลที่เขาได้รับรวมถึงสามรางวัลแกรมมี, หนึ่งรางวัลอเมริกัน มิวสิค อวอร์ด, รางวัลอิวอร์ โนเวลโล อวอร์ดของอังกฤษและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี

เขาเกิดในซานตา มอนิกา เขาเริ่มต้นฝึกฝนด้านดนตรีตั้งแต่ยังเล็กๆ โดยโฟกัสไปที่กีตาร์คลาสสิก เปียโนคลาสสิกและการเรียบเรียงเพลง ผลงานของเขามักจะนำเสนอการเล่นเปียโน กีตาร์ เบส เพอร์คัสชันและกลองของเขาเอง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่เกิดจากคอลเล็กชันส่วนตัวของเครื่องดนตรีดั้งเดิมแบบเฉพาะตัวจากทั่วโลกของเขา

ผลงานล่าสุดของเขารวมถึงการแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง “August Rush” เรื่องราวของอัจฉริยะทางดนตรีที่ตามหาพ่อแม่ ซึ่งจบลงด้วยคอนเสิร์ตในเซ็นทรัล ปาร์ค ที่แสดงเพลง “Rhapsody No. 1 in C Major” ของแมนซินา นอกจากนั้น เขายังได้แต่งดนตรีประกอบ “Camille” โรแมนติกแฟนตาซีที่นำแสดงโดยเซียนนา มิลเลอร์, ภาพยนตร์โดยอังตวน ฟูกัวเรื่อง Shooter และเขาก็ได้ร่วมแต่งดนตรีประกอบซีรีส์ดรามาไพรม์ไทม์ของซีบีเอสเรื่อง “Criminal Minds” และได้ร่วมแต่งทำนองประกอบโลโก้ใหม่ของวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สด้วย

โปรเจ็กต์อื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์รางวัลออสการ์เรื่อง “Training Day” ที่เขาได้สร้างดนตรีประกอบยอดเยี่ยมที่ขยายขอบเขตของดนตรีประกอบดรามาเฉียบคมเรื่องนี้ และมักถูกใช้เป็นแทร็คชั่วคราว ในขณะที่ผลงานแจ้งเกิดของเขาใน “Speed” ได้ส่งอิทธิพลต่อภาพยนตร์แอ็กชันหลังจากนั้น ส่วนหนึ่งของผลงานที่เขาชื่นชอบมากที่สุดได้แก่ “Twister,” “Bad Boys,” “Tarzan” และ “Moll Flanders”

นอกเหนือจากผลงานของเขาในฐานะคอมโพสเซอร์จอแก้วและจอเงิน เขายังมีผลงานเป็นละครบรอดเวย์ ที่เขาได้ร่วมแต่งเพลง อำนวยการสร้างและเรียบเรียงดนตรีประกอบมิวสิคัลเรื่อง “The Lion King” อีกด้วย ในฐานะผู้อำนวยการสร้างดนตรีสำหรับละครเวที เขาได้ร่วมมือกับเลโบ เอ็มและผู้กำกับจูลี เทย์เมอร์การสร้างบรรยากาศมิวสิคัลที่โดดเด่นของละครเวทีรางวัลโทนีเรื่องนี้ด้วย เขายังคงต่อยอดคอลเล็กชันเครื่องดนตรีและผลงานดนตรีของเขาอย่างต่อเนื่อง สตูดิโอส์ของเขาตั้งอยู่ที่คาร์เมล-บาย-เดอะ-ซี