HIGHLIGHT CONTENT

ข้อมูล Abraham Lincoln: Vampire Hunter

  • 10,210
  • 28 มิ.ย. 2012

ข้อมูล Abraham Lincoln: Vampire Hunter

ภาพยนตร์เรื่อง Abraham Lincoln: Vampire Hunter เป็นเรื่องราวการขุดสำรวจชีวิตลับของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้ยิ่งใหญ่ รวมถึงเรื่องราวของการก่อตั้งประเทศที่ไม่ถูกเปิดเผย ผู้สร้างภาพยนตร์แห่งจินตนาการ ทิม เบอร์ตัน และ ไทเมอร์ เบคแมมบีทอฟ (ผู้กำกับเรื่อง Wanted) ได้มอบความแปลกใหม่มาสู่ตำนานแห่งความกระหายเลือด ที่มีการเล่าขานกันของแวมไพร์ในแง่มุมของลินคอล์น ในฐานะที่เขาเป็นนักล่าอมตะผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ คำว่า อับราฮัม ลินคอล์น กับ นักล่าแวมไพร์ เป็นคำที่วางเทียบกันไว้อย่างไม่คาดคิดอย่างน่าประหลาด และเป็นไอเดียที่ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องรับมืออย่างเต็มขั้น ภาพยนตร์ของพวกเขาเป็นเรื่องราวของมนุษย์ และผู้นำที่เราได้ศึกษาเรื่องราวของเขามา รวมถึงเหตุการณ์ต้นเหตุที่สร้างคำนิยามให้เขาและประเทศชาติของเราที่ถักทอรวมกับเรื่องราวของแวมไพร์ที่มีฉากแอ็คชั่นและภาพที่โดดเด่น ในขณะเดียวกัน ABRAHAM LINCOLN: VAMPIRE HUNTER ก็นำเสนอผู้ปลดปล่อยในรูปแบบของซูเปอร์ฮีโร่คนแรกของประเทศ ผู้อำนวยการสร้าง ทิม เบอร์ตัน กล่าวว่า “ตลอดชีวิตของลินคอล์นสะท้อนถึงตำนานซูเปอร์ฮีโร่ในหนังสือการ์ตูนสุดคลาสสิค มันเป็นชีวิตที่คู่ขนานกันไป ช่วงกลางวันเขาเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ส่วนช่วงกลางคืนเขาคือนักล่าแวมไพร์” ความแตกต่างคือประเด็นหลักของลินคอล์นที่เราเห็นกันในภาพยนตร์ “เขาเป็นทั้งคนธรรมดาและไม่ธรรมดาในขณะเดียวกัน” ผู้กำกับไทเมอร์ เบคแมมบีทอฟกล่าว เซธ กราเฮม-สมิธ ผู้เขียนบทภาพยนตร์ที่ดัดแปลงเรื่องราวมาจากนิยายขายดีของเขาในชื่อเรื่องเดียวกันกล่าวเสริมว่า “ประวัติชีวิตของลินคอล์นเป็นเรื่องราวต้นกำเนิดของซูเปอร์ฮีโร่ที่เป็นต้นแบบ เขาใกล้เคียงกับซูเปอร์ฮีโร่ตัวจริงของประเทศนี้ที่เคยเห็นมา ลืมเลือนเรื่องแวมไพร์ไปได้เลย ลินคอล์นไม่มีทั้งครอบครัวและทรัพย์สินเงินทอง แม่ของเขาเสียชีวิตลงตอนที่เขาเป็นเด็ก อันที่จริงแล้วทุกคนที่เขารักต้องจบชีวิตลง เขาเป็นคนไร้การศึกษาที่มีความชาญฉลาดเป็นอาวุธ เขาได้กลายเป็นประธานาธิบดีและปกป้องประเทศชาติเอาไว้” ประเด็นเรื่องราวเหล่านี้กุมความสนใจของเบอร์ตัน คู่หูผู้อำนวยการสร้างของเขาอย่างจิม เลมลีย์ และ ไทเมอร์ เบคแมมบีทอฟเอาไว้ได้ ก่อนที่กราเฮม-สมิธจะเขียนนิยายของเขาเสร็จ เมื่อเบอร์ตันได้ยินชื่อเรื่องหนังสือ จินตนาการของเขาก็พุ่งพล่านขึ้นมา “ฟังดูเหมือนหนังที่ผมอยากไปดู” เบอร์ตันกล่าว “มันให้ความรู้สึกเหมือนหนังจะมีพลังจากความคลั่งภาพยนตร์ในช่วงวัยรุ่นของผม ซึ่งมีความแปลกหลายอย่าง และการผสมผสานเข้ากับหนังสยองขวัญ” ลมลีย์เคยร่วมสร้างภาพยนตร์กับเบอร์ตันและเบคแมมบีทอฟในภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “9” เขาเล่าว่าเซนส์การรับรู้ของเบอร์ตันเหมาะสมเข้ากับหนังเรื่องนี้มาก “สิ่งที่ทิมสร้างขึ้นมามันยอดเยี่ยมมาก เป็นการนำภาพและเรื่องราวธรรมดาๆ มาพลิกจินตนาการ และวาดมุมมองในแบบที่ไม่คาดฝัน” ภาพยนตร์เรื่อง ABRAHAM LINCOLN: VAMPIRE HUNTER เหมาะเข้ากับกรอบความคิดและความงามที่เบคแมมบีทอฟควบคุมเอาไว้ ก่อนหน้านี้ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวรัสเซียได้นั่งแท่นคุมภาพยนตร์บ็อกซ์ออฟฟิศเรื่องดังอย่าง “Wanted” โดยก่อนหน้านั้นมีเรื่อง “Night Watch” และ “Day Watch” ซึ่งทั้งสองเรื่องทำให้เกิดความสนใจเรื่องภาพของแวมไพร์ทั้งในโลกที่คุ้นเคยกันและความน่าอัศจรรย์ เหมือนกับเบอร์ตันและเบคแมมบีทอฟได้วาดสีสันลงบนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ เพื่อนำเสนอภาพที่มีความงดงามออกมา มันเป็นแนวคิดหลักและความชาญฉลาดของโปรเจ็กต์ที่ดึงความสนใจจากผู้สร้างภาพยนตร์ชาวรัสเซียไว้ได้ เขากล่าวว่า “ผมเปิดรับเรื่องราวทันที เพราะเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบ เรียบง่ายและทรงพลังมาก” ในช่วงแรกเบคแมมบีทอฟรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง จนกระทั่งเบอร์ตันโน้มน้าวให้เขามานั่งแท่นผู้กำกับภาพยนตร์ “ผมอยากดูหนังเรื่องนี้ในเวอร์ชันของไทเมอร์!” เบอร์ตันกล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่เพิ่มเข้ามาคือไทเมอร์มาจากอีกประเทศหนึ่ง เขาจึงเตรียมมุมมองแปลกๆ ไว้เพื่อตัวละครและเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์” ในส่วนของ “นักล่าแวมไพร์” ในภาพยนตร์ได้มอบความตื่นเต้น ความหวาดผวา และการแสดงที่เสี่ยงภัยมากมายเอาไว้ในภาพยนตร์ แต่ผู้สร้างภาพยนตร์ไม่เคยลืมเลยว่าต้องนำเสนอภาพลักษณ์ผู้แทนขวัญใจ รวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ อันเป็นอนุสรณ์ที่ก่อร่างสร้างประเทศของเราขึ้นมา และเป็นเรื่องที่มีการบอกเล่าเรื่องราวกันมาถึงทุกวันนี้ “ทุกอย่างต้องถูกนำเสนออย่างตรงไปตรงมา” กราเฮม-สมิธกล่าว “เราไม่เคยปกปิดอะไรผู้ชม ไม่เคยเลยสักครั้ง ทิม เบอร์ตันให้การสนับสนุนเราและรักษาจินตนาการนั้นเอาไว้” กราเฮม-สมิธเล่าถึงไอเดียสำหรับหนังสือของเขาที่ชื่อ Abraham Lincoln: Vampire Hunter ไว้ว่ามาจากการเฝ้าสังเกตการณ์ของเขาในช่วงออกเดินสายโปรโมทหนังสือเล่มก่อนของเขาที่ชื่อ Pride and Prejudice and Zombies เมื่อปี 2009 ซึ่งเป็นการเกี่ยวเนื่องกันอย่างไม่คาดฝันอีกเรื่องหนึ่งระหว่างเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง นักประพันธ์/ผู้เขียนบทภาพยนตร์เล่าว่า “ในปีนั้นเป็นช่วงครบรอบ 200 ปีของวันเกิดลินคอล์น และร้านหนังสือหลายแห่งที่สนับสนุนการออกทัวร์ของผมมีการจัดแสดง 2 อย่าง คือ หนังสือที่เกี่ยวกับชีวิตของลินคอล์น และมีการจัดแสดงหนังสือเกี่ยวกับแวมไพร์ อาทิเช่น Twilight และหนังสือ Sookie Stackhouse [ที่ “True Blood” ทางทีวีใช้อ้างอิง] มันทำให้ผมคิดถึงการผสมผสานสองสิ่งนั้นเข้ากัน” บรรดาแวมไพร์ของกราเฮม-สมิธแตกต่างอย่างสุดขั้วกับภาพสุดโรแมนติกที่ปรากฏอยู่บนหนังสือที่เขาเห็นบนจอ ปีศาจอมตะของถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เกียรติ28ตามแบบฉบับของแวมไพร์ในหนังเป็นอย่างมาก “แวมไพร์ในหนังของเราไม่มีความโรแมนติกหรือดูตลก และพวกมันดูไม่มีชีวิตชีวาอย่างแน่นอน” เขากล่าว “แวมไพร์ของเรามีความกระหายเลือดและเจ้าเล่ห์ น่าหวาดผวาที่สุด พวกมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างชีวิตประจำวัน มันทำงานเป็นช่างตีเหล็ก เภสัชกร และทำงานธนาคาร” ศัตรูคนสำคัญของเหล่าแวมไพร์คือบุคคลสำคัญที่เป็นที่รักยิ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้นำที่มีความสำคัญมากที่สุด เรื่องราวนี้ได้ครอบคลุมชีวิตของอับราฮัม ลินคอล์นช่วง 45 ปี ตั้งแต่ปี 1820 ถึง 1865 และมีการถ่ายทำที่เคนทัคกี้ อิลลินอยส์ หลุยส์เซียน่าและเมืองหลวงของประเทศ แล้วใครจะเดินตามรอยเท้านักแสดงที่ประสบความสำเร็จบางคน และรับบทแสดงเป็นผู้นำคนสำคัญและผู้ล่าสังหารแวมไพร์คนกล้าได้? นักแสดงที่ได้รับการยอมรับ คือ เบนจามิน วอล์คเกอร์ นักแสดงละครเวทีที่เคยผ่านประสบการณ์รับบทแสดงเป็น “ประธานาธิบดี” โดยบังเอิญ จากการรับบทแสดงนำในเรื่อง “Bloody Bloody Andrew Jackson” ที่เป็นการแสดงบรอดเวย์เมื่อปี 2010 “เบนถ่ายทอดลักษณะความเป็นมนุษย์และความโหดร้ายลงไป ซึ่งให้ความรู้สึกที่สมจริงมากมาสู่บทบาท” ทิม เบอร์ตันกล่าว จิม เลมลีย์ กล่าวเสริมว่า “เบนได้ถ่ายทอดความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญและอารมณ์ความตั้งใจไว้ในบทบาท” สิ่งที่สำคัญที่สุดต่อวอล์คเกอร์ ไม่ใช่โอกาสที่ได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ทำให้ลินคอล์นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังแสดงเกี่ยวเนื่องไปถึงความเป็นมนุษย์ด้วย “ความน่ากลัวในการรับบทแสดงเป็นผู้มีชื่อเสียง คือการแสดงให้ตัวละครเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ได้” นักแสดงกล่าว “เราต้องปล่อยให้ตัวละครมีความอ่อนแอหรือแม้แต่ดูงี่เง่า ทิมและไทเมอร์เปิดโอกาสให้แสดงอับราฮัมในแบบที่มีข้อบกพร่อง มีความสนุกสนาน และมีความขัดแย้งอยู่ในตัว “ในแง่ของความเป็นมนุษย์เป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สุด” เบอร์ตันเห็นด้วย “และตัวละครต้องมีอารมณ์ขันด้วย เพราะไม่มีนักล่าแวมไพร์คนไหนที่จะอยู่รอดต่อไปได้โดยที่ไม่อารมณ์ดี” วอล์คเกอร์สูง 6’3” เขาผ่านการฝึกฝนมาจากโรงเรียน Juilliard ซึ่งความสูงของเขาเหมาะจะแสดงเป็นลินคอล์นที่มีลักษณะผอมสูง แต่นักแสดงหนุ่มวัย 29 จะรับบทแสดงเป็นบุคคลสำคัญในช่วงยุคสงครามกลางเมืองที่มีใบหน้าชราตามที่ปรากฏบนหนังสือตามประวัติศาสตร์และบนธนบัตรของเราได้หรือไม่? เบคแมมบบีทอฟ เบอร์ตันและเลมลีย์ให้วอล์คเกอร์ทดสอบการแสดง ขณะเดียวกันนักแสดงชายก็ต้องมีการตกแต่งใบหน้าทำให้เขาดูมีอายุ 55 ปี เพื่อเป็นผู้ถ่ายทอด the Gettysburg Address ซึ่งเป็นสุนทรพจน์อันเลื่องลือแห่งประวัติศาสตร์ที่สุดออกไป วอล์คเกอร์มีความประทับใจมากกว่าผู้สร้างภาพยนตร์เสียอีก “ท่าทางที่ผมตอบรับคือ ‘โอ้ พระเจ้า นั่นเป็นอับราฮัม ลินคอล์นผู้กล่าวสุนทรพจน์ the Gettysburg Address!” เลมลีย์ร้องตะโกน สิ่งที่เห็นรอวอล์คเกอร์อยู่ลางๆ คือความจำเป็นในการลดน้ำหนัก 30 ปอนด์เพื่อให้ได้ลักษณะที่ผอมซูบแบบลินคอล์น รวมถึงต้องใช้เวลาฝึกฝนการใช้อาวุธอีกนับร้อยชั่วโมง เพื่อแปลงโฉมให้เขากลายเป็นนักล่าปีศาจที่ไม่มีวันตาย ก่อนที่วอล์คเกอร์จะมาเป็นอับราฮัมที่มีความสำคัญ เราได้พบกับตัวละครนี้ตอนเป็นเด็ก การเดินทางของเขาเริ่มขึ้นเมื่อแม่ของเขา แนนซี่ ป่วยด้วยโรคที่ไม่รู้แหล่งที่มา แต่อับราฮัมจำได้ว่ามันเกิดจากการที่แวมไพร์กัด แนนซี่เป็นผู้หญิงที่มีความฉลาดและจิตใจดี ทำให้เธอต้องพลัดพรากไปจากลูกด้วยความคิดว่า “กว่าที่ทุกคนจะเป็นอิสระได้ เราทุกคนต้องตกเป็นทาสมาก่อน” อับราฮัมไม่เคยลืมคำสอนเหล่านั้นที่กลายเป็นตัวกำหนดมุมมองเรื่องทาสในระยะอันใกล้ และไม่เคยลืมความชั่วร้ายอมตะนิรันดร์ที่ต้องรับผิดชอบสำหรับการตายของแม่อย่างแวมไพร์ (และนักธุรกิจในท้องถิ่น) ที่ชื่อ แจ็ค บาร์ทส รับบทแสดงโดย มาร์ตัน โซคัส ศัตรูที่อับราฮัมสาบานเอาไว้ว่าจะต้องไปล้างแค้นให้ได้ แต่การประชันหน้าครั้งแรกกับบาร์ทสต้องล้มเหลว และอับราฮัมก็เหลือทางออกในชีวิตเพียงน้อยนิด เขาได้รับการช่วยเหลือจาก เฮนรี่ ผู้มีเสน่ห์ที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหราและมีฉายาว่าเป็นเสือผู้หญิง รับบทแสดงโดยนักแสดงชายชาวอังกฤษ โดมินิค คูเปอร์ เขาไม่สนใจเรื่องภารกิจการล้างแค้นของอับราฮัมเลย ในทางกลับกันเขาแนะนำให้อับราฮัมคุมอารมณ์โกรธของตัวเอง เป็นคนเข้มแข็งขึ้นและต่อสู้เพื่อคุณงามความดีที่เหนือกว่าของมนุษยชาติ “มีทางออกเดียว” เฮนี่บอกอับราฮัม “จะเลือกสิ่งที่ไม่ธรรมดาหรือจะพอใจแค่การแก้แค้นทั่วๆ ไป” “เฮนรี่เห็นการกระหายความแค้นของชายหนุ่มเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ” คูเปอร์กล่าว “แต่เขามองว่าอับราฮัมมีศักยภาพยิ่งกว่านั้น และคิดว่าเขาจะช่วยให้อับราฮัมหลุดจากภารกิจที่คิดแต่เรื่องตัวเองได้” เฮนรี่สอนอับราฮัมทั้งเรื่องทางโลกและเรื่องความชาญฉลาดแห่งศิลปะด้านการไล่ล่าแวมไพร์ เพื่อให้เหนือชั้นยิ่งกว่าการล้างแค้น แต่ผู้สอนก็ไม่ได้เป็นผู้มีคุณธรรมแต่อย่างใดเลย “เฮนรี่เป็นนักล่าแวมไพร์ที่มีความถนัดด้านนี้สุดยอด แถมเขายังเป็นคนมีชั้นเชิงสุดๆ” คูเปอร์กล่าว “เขาสนุกกับชีวิตอย่างล้นเปี่ยม และมักไล่ล่าแวมไพร์อย่างสุดฝีมือ” แต่การรู้เห็นบางอย่างทำให้อับราฮัมเกิดข้อสงสัยในจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเฮนรี่ว่า เขาอุทิศตัวเพื่อเป็นนักล่าปีศาจร้าย หรือเป็นผู้บงการร้ายที่มีลับลมคมในกันแน่? ตัวละครที่สร้างความผิดหวังให้กับชีวิตอับราฮัมเป็นทั้งเพื่อนและผู้คุ้มกันของเขา รับบทแสดงโดย แอนโธนี่ แม็คกี้ ตัวละครนี้ไม่ปรากฏอยู่ในหนังสือแต่เป็นตัวช่วยเร่งเวลาชีวิตให้อับราฮัม แม็คกี้เล่าว่าเขาเกิดความสนใจโปรเจ็กต์นี้เพราะโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับเบคแมมบีทอฟและเบอร์ตัน เขาให้ความชื่นชอบผลงานของทั้งคู่มาอย่างยาวนาน “ผมรักหนังเรื่อง ‘Wanted’ และผมชอบที่ ABRAHAM LINCOLN: VAMPIRE HUNTER เป็นหนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่พลิกประวัติศาสตร์” นักแสดงชายกล่าว “และทิม เบอร์ตันได้สร้างมุมมองมหัศจรรย์ให้กับทุกอย่างที่เขาสร้างขึ้นได้ และครั้งนี้เขาจะนำเสนอโลกหลังความตายแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน” คนเดียวที่ใกล้ชิดกับอับราฮัมที่สุดคือ แมรี่ ภรรยาของเขาที่รับบทแสดงโดย แมรี่ เอลิซาเบ็ธ วินสเตด พวกเขาพบกันครั้งแรกที่สปริงฟิล์ด รัฐอิลลินอยส์ ร้านขายของชำแห่งอิลลินอยส์เต็มไปด้วยความแสงประกาย ความเป็นไปได้ ความหอมหวลที่สร้างความแตกต่างไว้อย่างเด่นชัด ความหมองหม่นและชีวิตของอับราฮัมในฐานะของนักล่าแวมไพร์ “ช่วงเริ่มความสัมพันธ์ระหว่างอับราฮัมและแมรี่เปรียบเสมือนหนังโรแมนติกคอมเมดี้” วินสเตดกล่าว “พวกเขายังเด็กและมีสายสัมพันธ์ที่แท้จริงเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา เธอหลงใหลในความอัจฉริยะ ความตรงไปตรงมา และความมีอารมณ์ขันของเขา” ความรู้สึกของพวกเขาที่มีให้กันเพิ่มพูนยิ่งขึ้นระหว่างช่วงปิคนิคของทั้งสองที่ไม่มีวันลืม อับราฮัมสารภาพต่อแมรี่เรื่องชีวิตของเขาในด้านอื่น แต่แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่าง ทุ่งหญ้าเขียวขจี และบรรยากาศแห่งความโรแมนติก ทำให้อับราฮัมเล่าเรื่องอย่างตะกุกตะกัก และการเล่าเรื่องประหลาดสุดเหลือเชื่อของเขาทำให้แมรี่คิดว่าทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องตลกฉากใหญ่ และทั้งคู่ก็ต่างระเบิดหัวเราะออกมา แน่นอนว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับความลับสุดยอดของอับราฮัมที่ชวนหัวเราะ หลังการปิคนิคเพื่อ “สารภาพ” เขาตัดสินใจว่าการปล่อยแมรี่ให้อยู่ห่างจากชีวิตการเป็นนักล่าแวมไพร์ของเขาเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด “ความสัมพันธ์ระหว่างแมรี่และอับราฮัมทำให้เส้นทางชีวิตของเขายุ่งยากซับซ้อน เพราะเขาต้องเลือกว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างการแต่งงานหรือคำสัตย์ปฏิญาณที่จะสังหารปีศาจที่ไม่มีวันตาย” วอล์คเกอร์กล่าว “อย่างที่เรารู้กันดีว่าอับราฮัมเป็นคนซื่อตรง เขาเลยต้องถามตัวเองว่า เขาจะซื่อตรงกับแมรี่ได้อย่างไร?” “มันมีความน่าสนใจเพราะมันเป็นเรื่องที่คู่รักทุกคู่ต้องพบเจอ ทั้งในยุคศตวรรษที่ 19 และทุกวันนี้” วอล์คเกอร์กล่าวต่อ “คุณจะปรับจูนความสัมพันธ์ให้เข้ากับชีวิตแบบที่คุณหลงใหลได้อย่างไร?” สำหรับอับราฮัม “ความหลงใหล” นั้นหมายถึงการสังหารแวมไพร์ ความลับเรื่องนี้นำไปสู่รอยแตกร้าวในชีวิตสมรสที่ไม่มีการอ้างเอ่ยถึงมัน “แมรี่ไม่ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตของเขา ซึ่งนั่นทำให้เกิดความมัวหมองขึ้น” วินสเตดเล่า “เธอรู้ว่าอับราฮัมปกปิดบางอย่างเธอไว้ แต่เธอถามไม่ได้ว่าเป็นเรื่องอะไร” มีบางอย่างที่เป็นความลับระหว่างอับราฮัมและศัตรูตัวฉกาจอย่าง อดัม หัวหน้าแวมไพร์ทั้งเหล่าที่มีอยู่ตัวเดียว อดัม รับบทแสดงโดย รูฟัส ซีเวล เป็นตัวละครที่แทบจะมีพลังอย่างไม่จำกัด นักประพันธ์-ผู้เขียนบทภาพยนตร์ เวธ กราเฮม-สมิธ ผู้สร้างตัวละครขึ้นมาสำหรับภาพยนตร์ เพื่อให้เป็นตัวร้ายที่สำคัญของเรื่อง เขาเกิดสนใจแนวคิดที่ให้มีใครสักคนที่ยังมีชีวิตอยู่มานาน “ผมแปลกใจอยู่ว่ามันจะเป็นอย่างไรหากมีชีวิตอยู่เป็นร้อยเป็นพันปี มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ช่วงการก่อสร้างพีระมิด” กราเฮม-สมิธกล่าว “ร่างกายต้องมีลักษณะแบบไหนที่แสดงถึงการมีชีวิตเป็นอมตะ?” อดัมเปรียบเสมือนนักรบ ผู้นำ นักการเมืองและนักปฏิบัตินิยม ด้วยชาติกำเนิดชั้นสูงและบ้านสวนที่อยู่ทางตอนใต้ อดัมจึงเหมือนกับ เร็ตต์ บัตเลอร์ ที่เฝ้าคิดร้ายที่มีทั้งความงามผสมอยู่กับภัยที่เฝ้าคุกคาม ทิม เบอร์ตันเล่าว่าจุดประสงค์ของเขาบางอย่างที่คาบเกี่ยวกัน “หากเราทิ้งเรื่องศีลธรรมออกไป สิ่งเดียวที่อดัมต้องการคือสถานที่สักแห่งที่เขาและคนที่เป็นเหมือนเขาเรียกว่าได้ว่าเป็นบ้าน เขาต้องการอิสรภาพเพื่อพวกพ้องของเขา แต่แน่นอนว่ามันต้องแลกกับความน่าสะพรึงกลัวหลายอย่าง” อดัมหวังว่าอับราฮัมจะกลายเป็นพันธมิตรที่น่าหวาดกลัวแทนการเป็นศัตรูตัวฉกาจ “อดัมมีความสามารถทั้งด้านการเป็นนักการเมืองและนักปฏิบัตินิยมเหมือนกับอับราฮัมมาก” ซีเวลกล่าว “และสิ่งที่น่าประหลาดคือเขามีโอกาสได้พบกับลินคอล์น เหมือนกับนักรบต้องประชันหน้ากับนักรบ ในอีกแง่หนึ่งก็เหมือนประธานาธิบดีเผชิญหน้ากับประธานาธิบดี เพราะอดัมมองตัวเองเป็นผู้นำของเหล่าแวมไพร์ อดัมไม่ใช้กำลังต่อสู้กับลินคอล์นตั้งแต่ครั้งแรก เพราะเขาอยากให้ลินคอล์นอยู่ข้างกายเขา” แน่นอนว่าอับราฮัมปฏิเสธการปูทางสู่การสร้างพันธมิตรของอดัม เขาจึงต้องเผชิญกับความโกรธเคืองของแวมไพร์อย่างเต็มขั้น “อดัมสามารถพลิกจาก ‘มนุษย์’ ที่มีความขยันเป็นผู้รอบรู้และมีวัฒนธรรม กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่สามารถฉีกศีรษะของเราออกเป็นชิ้นๆ และกลืนกินปอดไปจนถึงทั้งลำคอเราได้เลย” ซีเวลกล่าว อดัมไม่ได้มีอำนาจสั่งการสิ่งใดไปมากกว่ากองทัพแวมไพร์ หัวหน้าและบอดี้การ์ดของเขาคือ วาโดมา แวมไพร์ผู้งามสง่าที่รับบทแสดงโดย อีริน วาสสัน เธอบรรยายถึงวาโดมาไว้ว่า “เธอเป็นผู้หญิงพูดน้อยและเป็นนักล่าสังหาร เธอกับอดัมร่วมทีมกันได้เป็นอย่างดี” วาโดมาเป็นกองกำลังที่น่าหวาดกลัว แต่การแต่งกายของเธอต่างจากชุดแต่งกายของทหารฝ่ายใต้แบบเดิมไปอย่างสิ้นเชิง เธอสวมเครื่องแต่งกายของแวมไพร์ที่ดูเซ็กซี่ หุ้มด้วยหนัง มีเกราะและแจ็คเก็ตคอยาว “เธอสามารถเป็น [แวมไพร์] ที่เหมือนผู้ชายได้ด้วย” นักแสดงหญิงกล่าวเสริม วาโดมา อดัม อับราฮัมเป็นตัวละครสำคัญในฉากหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์ ในฉากการเผชิญหน้ากันที่สวนของอดัม อับราฮัมต่อสู้กับแวมไพร์จำนวนมากในลักษณะการเต้นรำที่มีความโดดเด่นด้วยการใช้มือ (และขวานจามศีรษะ) เบคแมมบีทอฟเรียกว่ามันเป็น “จังหวะวอลซ์แห่งความตาย” เพราะเป็นฉากแอ็คชั่นที่ระเบิดขึ้นท่ามกลางงานปาร์ตี้ที่บรรดาแขกกำลัง…เต้นรำกันอย่างเชื่องช้า ความแตกต่างระหว่างความสง่างามของฉากเปิดตัว สู่ฉากจบที่มีความรุนแรงและมืดหม่นที่เป็นการทำลายล้าง “การต่อสู้มีพลังอย่างเหลือเชื่อ มีความรวดเร็ว และท้าทายในสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้จักฉากการต่อสู้ในหนังเป็นอย่างดี” เลมลีย์กล่าว “มันเริ่มจากบางอย่างที่มาจาก ‘Gone with the Wind’ จากนั้นทุกคนก็โบยบินไปทั่วห้อง แวมไพร์กระโดดจากเพดาน และศีรษะก็ถูกฟันขาด” การต่อสู้กันอย่างชุลมุนในสวนเป็นเพียงหนึ่งในฉากแอ็คชั่นหลายฉากที่มีความยิ่งใหญ่ ซึ่งรวมถึงฉากการต่อสู้ในสงครามกลางเมืองที่ได้เห็นเหล่าทหารมารวมตัวกันอย่างล้นหลามจนน่าช็อค เพราะเหล่าศัตรูฝ่ายใต้จะมีความสามารถมากกว่าที่เรามองเห็นได้ นอกจากนั้นยังมีความโกลาหลเกิดขึ้นในแบบที่เราไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ตอนสุดท้ายอับราฮัมอยากแก้แค้นแวมไพร์ แจ็ค บาร์ทส ผู้ฆ่าแม่ของเขา อับราฮัมต้องวิ่ง กระโดดและต่อสู้อย่างรวดเร็วบนหลังม้านับพันตัวด้วยความโกรธแค้นในตัวศัตรูจอมพลัง ฉากนั้นเป็นฉากที่ใช้วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์อันน่าอัศจรรย์ ควบคุมโดยผู้คุมด้านวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ เคร็ก ลิน และ Weta Digital บริษัทที่มีความรับผิดชอบด้านวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่โด่งดังในเรื่อง “Avatar” และ “Rise of the Planet of the Apes” รวมถึงเรื่องอื่นที่มีชื่อเสียง อับราฮัมมีอายุมากกว่าและมีความชำนาญในตำแหน่งประธานาธิบดี ในช่วงที่เขาต้องยืดหยัดเพื่อต่อสู้กับแวมไพร์ของเขา เขาต้องขึ้นไปอยู่บนรถไฟความเร็วสูงที่มุ่งหน้าสู่เกตตีส์เบิร์ก รัฐเพนซิลวาเนีย และสร้างคำนิยามไว้ในการต่อสู้สงครามกลางเมือง สำหรับฉากการต่อสู้ที่ดึงดูดความสนใจนี้ ผู้สร้างภาพยนตร์ได้สร้างหัวรถจักรและเรือลำเล็กขนาดเท่าของจริงและดูเหมือนของจริงขึ้นมาใหม่ ซึ่งในเรื่องนี้โลกแห่งดิจิตอลที่อันน่ามหัศจรรย์ได้มอบอุปกรณ์สำคัญให้เบคแมมบีทอฟ เพื่อสร้างจินตนาการที่เขาปลดปล่อยออกมาให้มีชีวิตชีวา ฉากแอ็คชั่น/การต่อสู้/การแสดงผาดโผนไม่ได้ถ่ายทำที่ฮอลลีวูดหรือฐานการผลิตในนิวออลีนส์ แต่อยู่ห่างไกลออกไปนับหลายพันไมล์ที่คาซัคสถาน ซึ่งเป็นบ้านของผู้ออกแบบการต่อสู้ อีกอร์ เซย์ และโรงเรียนสอนการต่อสู้ Kun-Do เพื่อการแสดง ซึ่งที่นั่นเซย์และทีมงานของเขาจัดทำสตอรี่บอร์ดของฉากแอ็คชั่นต่างๆ ที่มีความละเอียดซับซ้อน ซึ่งถูกจำลองภาพขึ้นมาและนำมาพัฒนาปรับปรุงเพิ่มที่มอสโคว์ ในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนการถ่ายทำ ผู้ควบคุมการแสดงผาดโผนที่มีชื่อเสียง มิค รอดเจอร์ส (“Mr. & Mrs. Smith,” “Wanted,” “The Fast and the Furious”) และผู้ควบคุมด้านการต่อสู้ ดอน ลี (“Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides”) ได้ร่วมงานกับวอล์คเกอร์เพื่อพลิกโฉมนักแสดงให้กลายเป็นนักล่าปีศาจอมตะที่ต่อสู้ได้อย่างโหดเหี้ยมด้วยการควงขวาน การฝึกฝนที่ทรหดของวอล์คเกอร์หมายถึงการฝึกเตะต่อย การยืดเส้นยืดสาย ฝึกโยคะ และใช้เวลาฝึกกับอาวุธที่ใช้สังหารแวมไพร์อย่างโหดเหี้ยมของลินคอล์น ซึ่งเป็นขวานที่มีปลายแหลมเหลาอย่างคมกริบ วอล์คเกอร์รู้สึกประทับใจบรรดาครูฝึกของเขามาก “เบ็นมีรูปร่างที่กำยำและเป็นนักแสดงที่เก่งมากคนหนึ่งที่ผมเคยร่วมงานด้วย” โรเจอร์สกล่าว “เราผสมผสานโลกของศิลปะการต่อสู้ที่มีเสน่ห์ในแบบฮ่องกงพร้อมการต่อสู้ด้วยมือเปล่า และเบ็นตามติดได้ทุกฝีก้าวเลย” นักแสดงติดดินกล่าวเพียงว่า “ผมทำขวานเหวี่ยงโดนหัวตัวเองไปหลายรอบเลย” ขวานและอุปกรณ์ประกอบอื่นๆ เป็นอุปกรณ์ของผู้เชี่ยวชาญ กิลเลม เดอลุช ผู้สร้างโรงผลิตของเขาเอง และได้รวมสายงานการผลิตด้วยช่างฝีมือที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดในศาสตร์ด้านที่เขามีความชำนาญ มีการผลิตขวาน มีด ปืนพกและปืนไรเฟิลต่างๆ อย่างถูกต้องตามแบบฉบับ อาวุธทุกชนิดถูกสร้างขึ้นให้เหมือนกับที่มีการใช้ในยุคศตวรรษที่ 19 ขวานของอับราฮัมเป็นสิ่งประดิษฐ์อันน่าอัศจรรย์ที่สามารถแปลงสภาพเป็นปืนได้ มันถูกสร้างขึ้นด้วยมือของช่างปืนและช่างตีมีด ในส่วนของด้ามจับถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ตระกูลวอลนัทตามแบบฉบับของมัน “เรานำวัสดุที่ใช้ในชีวิตประจำวันของยุคนั้นมาใช้และสร้างการพลิกแพลงขึ้นมา” ทิม เบอร์ตันกล่าว “ทุกคนมีความคุ้นเคยกับปืนคาบศิลา ดาบปลายปืนและขวาน แต่ไม่มีใครเคยพลิกแพลงจับมันรวมเป็นอาวุธเดียวกัน” สถานที่ใช้สำหรับการถ่ายทำมีขนาดใหญ่โต มีการฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของนิวออลีนส์ ซึ่งเป็นบ้านและตึกอาคารของเมื่อ 150 ปีที่แล้วที่มีการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี เมืองใหญ่หลุยส์เซียน่ามีตำนานเรื่องเล่าของแวมไพร์มากมาย มันเป็นที่ตั้งของ Interview with a Vampire (และอีกหลายฉาก) ผู้เขียน แอน ไรซ์ และจิม เลมลีย์เล่าว่า “มีเสน่ห์และความโดดเด่นบางอย่างในตัวนิวออลีนส์” ฟรังซัวส์ ออดู ออกแบบฉากโดยปูรากฐานของภาพยนตร์ให้เป็นไปตามประวัติศาสตร์จริง ขณะเดียวกันก็สร้างฉากที่มีความหรูหราโอ่อ่ามีรายละเอียดซับซ้อน รวมถึงไร่สวนทางตอนใต้และหัวรถจักรที่มุ่งหน้าไปยังเก็ตตีส์เบิร์กที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ บุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งที่ทำให้โลกของลินคอล์นมีสีสันขึ้นมาได้ คือตากล้องในตำนานอย่างคาเล็บ เดสชาเนล ASC ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar® มาแล้ว 5 ครั้งจากผลงานในภาพยนตร์เรื่อง “The Natural” และ “The Right Stuff,” และผลงานที่มีชื่อเสียงอีกหลายเรื่อง รวมถึงผลงานที่มีความโดดเด่นอย่าง “The Black Stallion” และ “Being There” สำหรับการใช้เทคนิค “ใหม่” มาถ่ายทอด “ความเก่าแก่” เดสชาเนลใช้การถ่ายภาพดิจิตอลและกล้องที่มีความทันสมัย Arri Alexa มาทำให้ภาพยนตร์มีภาพแบบแนวพีเรียดได้อย่างถูกต้องเหมาะสม “ไทเมอร์กับผมอยากสร้างภาพยนตร์ที่มีเหตุการณ์ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ที่ตรงตามจริง พวกเราจึงสังเกตหลายๆ ภาพจากในช่วงนั้น” เดสชาแนลกล่าว “ภาพเก่าๆ ส่วนใหญ่ทุกอย่างอยู่ในที่ของมันอย่างเหมาะสม แต่เราเลือกที่จะทำให้ภาพมีความหยาบ ทำให้ดูมีข้อบกพร่องมากกว่าจะให้ดูสมบูรณ์แบบ” หลักการทำงานอย่างระมัดระวังของเดสชาแนลได้สร้างผลงานมหัศจรรย์ขึ้นมา ทำให้ได้ผลงานที่ล่าช้าในบางครั้ง เบ็นจามิน วอล์คเกอร์จำได้ว่า “ผมถึงกับเหงื่อแตกไปกับการแต่งหน้า [ที่ทำให้ดูแก่] และการตกแต่งหน้าด้วยวัสดุเทียม คาเล็บเป็นกังวลเรื่องเทียนที่ไม่ได้จุดเอาไว้ ผมก็คิดว่าจะมีใครกันที่มาสนใจเรื่องเทียน? จากนั้นพอเราเฝ้าดูในแต่ละวันก็เข้าใจได้ว่า โอ้พระเจ้า เทียนทำให้เกิดฉากนั้นขึ้นมา ผมถูกส่งไปอยู่อีกโลกหนึ่งในอีกช่วงเวลาหนึ่ง และมันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่มีเหล่าแวมไพร์อยู่ที่นั่นด้วย” การผสมผสานระหว่างบรรยากาศสมัยก่อนที่มีความหรูหรา ทัศนคติที่ไม่เหมือนใครของประธานาธิบดีคนที่ 16 ของเรา และกองทัพปีศาจอมตะที่เขาเฝ้าตามล่าทำให้ภาพยนตร์เกิดประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกับเรื่องไหน สำหรับผู้เขียน เซธ กราเฮม-สมิธ ที่สร้างเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมา การฉายภาพยนตร์เรื่องนี้จะพูดถึงการเดินทางที่เริ่มต้นจากหนังสือขายดีของเขา องค์ประกอบสำคัญในการถ่ายทอดลักษณะตัวตนของลินคอลนออกมาคือต้องมั่นใจว่าจะมีการถ่ายทอดอารมณ์ขันของเขาออกมา “เขาอาจมีชีวิตส่วนหนึ่งตามงานรื่นเริง และเป็นคนที่มีความตื่นเต้นสนุกสนานได้” กราเฮม-สมิธกล่าวสรุป “ผมคิดว่าเขาจะรักหนังของเรานะ” “ผมสนุกกับการค้นหาสิ่งแปลกใหม่กับหนังแต่ละเรื่องอยู่เสมอ บางอย่างก็เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยพบมาก่อน” จิม เลมลีย์กล่าวเสริม “แม้ว่ามันจะหลุดโลกไปสักหน่อย แต่ภาพยนตร์ก็ตั้งอยู่บนสาระแห่งความจริงเกี่ยวกับตัวเขา” เหนือยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดแล้วภาพยนตร์เรื่อง ABRAHAM LINCOLN: VAMPIRE HUNTER เกิดขึ้นมาจากส่วนประกอบที่สำคัญของผู้สร้างภาพยนตร์ทั้งสองคือทิมเบอร์ตัน และ ไทเมอร์ เบคแมมบีทอฟ ผู้เป็นปรมาจารย์ด้านการค้นหาบางสิ่งในแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน เกี่ยวกับนักแสดง เบ็นจามิน วอล์คเกอร์ (อับราฮัม ลินคอล์น) สำเร็จการศึกษาจาก Juilliard Actor Training Program เมื่อปี 2004 เขาปรากฏตัวในผลงานการกำกับของคลินต์ อีสต์วูด เรื่อง “Flags of our Fathers” ของ DreamWorks SKG และภาพยนตร์ที่กำกับโดย บิล คอนดอน เรื่อง “Kinsey” ของ Fox Searchlight Pictures ปี 2007 เบ็นจามินแสดงบรอดเวย์ในการแสดงเรื่อง “Inherit the Wind” ที่นำกลับมาสร้างใหม่ นำแสดงโดย คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ เจ้าของรางวัล Tony Award® ไบรอัน เดนเนฮี่ และ เดนิส โอ'แฮร์ ภายใต้การกำกับของดั๊ก ฮิวจ์ส ในปี 2008 เบ็นจามินแสดงในการแสดงที่ Roundabout Theatre เรื่อง “Les Liaisons Dangereuses” ร่วมกับลอว์ร่า ลินนีย์ ซึ่งได้รับการเข้าชิงรางวัล Tony award 6 รางวัล เบ็นจามินรับบทแสดงนำในละครเพลงของอเล็กซ์ ทิมเบอร์ส เรื่อง “Bloody Bloody Andrew Jackson” ซึ่งมีการแสดงรั้งแรกของโลกที่ Kirk Douglas Theater ในลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย หลังจากที่การแสดงมีการเปิดตัวอีกครั้งที่นิวยอร์คช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาและได้รับคำชมเป็นอย่างมาก การแสดงได้ย้ายไปแสดงที่บรอดเวย์ โดยเบ็นจามินได้หวนกลับมารับบทแสดงนำ ต่อไปเขาจะเริ่มแสดงในภาพยนตร์ของ HBO เรื่อง “Muhammad Ali’s Greatest Fight” โดยรับบทเป็น เควิน เคนเนดี้ เสมียนศาลฎีกา ผู้เขียนสำนวนสรุปทางกฏหมายที่มีผลในการยืนยันสถานภาพของอาลิว่าเป็นผู้คัดค้านที่มีความรับผิดชอบ โดมินิค คูเปอร์ (เฮนรี่ สเตอร์เจส) เป็นนักแสดงคนหนึ่งที่มีความน่าตื่นเต้นมากที่สุดในวงการอย่างชัดเจน­­­­ ขณะเดียวกันเขาก็ประสบความสำเร็จทากงารแสดงบนเวทีและการแสดงภาพยนตร์ คูเปอร์พิสูจน์ให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่าเขามีความสามารถสร้างสรรค์หลายด้าน เมื่อไม่นานนี้คูเปอร์แสดงในภาพยนตร์เรื่อง “My Week with Marilyn” กำกับโดย ไซมอน เคอร์ทิส และแสดงร่วมกับเหล่านักแสดง อาทิเช่น มิเชล วิลเลียมส์, เคนเนธ บรานอห์ และ จูดี้ เดนช์ ในภาพยนตร์คูเปอร์รับบทแสดงเป็นมิลตัน กรีน ช่างภาพ โปรดิวเซอร์และหุ้นส่วนทางธุรกิจที่มีชื่อเสียงของมาริลิน มอนโรว์ เมื่อไม่นานนี้คูเปอร์แสดงในภาพยนตร์แนวอินดี้ดราม่า เรื่อง “The Devil's Double” ที่มีการฉายในงาน Sundance and Berlin Film Festivals ในปี 2011 กำกับโดย ลี ทามาโฮริ เขียนบทโดย ไมเคิล โธมัส ภาพยนตร์เรื่อง “The Devil’s Double” เป็นเรื่องราวการต่อสู้ที่มีความตึงเครียดเกี่ยวกับชีวิตของลาทีฟ ยาเฮีย ผู้มีความตั้งใจมุ่งมั่นในการสวมรอยให้กับอูเดย์ ฮุสเซ็น โดมินิคต้องรับบทแสดงควบอย่างท้าทายทั้งการแสดงเป็นยาเฮียและฮุสเซ็น ก่อนการแสดงในบทบาทนี้ คูเปอร์แสดงในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูน เรื่อง “Captain America: The First Avenger” กำกับโดย โจ จอห์นสตัน และร่วมแสดงกับคริส อีวานส์, ทอมมี่ ลี โจนส์ และ เฮย์ลีย์ แอทเวล ในภาพยนตร์เรื่องนั้นคูเปอร์รับบทแสดงเป็น ฮาเวิร์ด สตาร์ค นักประดิษฐ์จอมเพี้ยนที่ก่อตั้ง Stark Industries ตัวละครนี้อิงส่วนใหญ่มาจากฮาเวิร์ด ฮิวจ์ส ตอนนี้คูเปอร์กำลังแสดงในภาพยนตร์ที่กำกับโดย นีลส์ อาร์เด็น ออปเลฟ เรื่อง “Dead Man Down” ซึ่งมีฉากการล้างแค้นอย่างน่าระทึกขวัญเกิดขึ้นในโลกแห่งอาชญากร เขาร่วมแสดงกับ โคลิน ฟาร์เรล, นูมี ราเพซ และ เทอร์เรนซ์ ฮาเวิร์ด ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งปิดกล้องการแสดงในภาพยนตร์อินดี้แนวดราม่า เรื่อง “Summer in February” กำกับโดย คริสโตเฟอร์ มีนวล นำแสดงโดย แดน สตีเฟนส์ และ อีมิลี่ บราวนิ่ง ภาพยนตร์ดัดแปลงโดย โจนาธาน สมิธ จากนิยายของเขาเอง ซึ่งเกิดขึ้นในอาณานิคมของศิลปินยุคเอ็ดเวิร์ด ณ ชายฝั่งคอร์นิชแห่งอังกฤษก่อนจะมีสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น คูเปอร์รับบทแสดงเป็นอัลเฟรด มันนิงส์ ศิลปินชาวอังกฤษคนหนึ่งที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุด เขาพบตัวเองว่าตกอยู่ท่ามกลางรักสามเศร้าที่มีความซับซ้อน ต่อไปคูเปอร์มีกำหนดเริ่มแสดงในภาพยนตร์ระทึกขวัญระดับโลก เรื่อง “Cities” เขียนและกำกับโดย โรเจอร์ โดนัลด์สัน นำแสดงโดย คริสเท็น ดันสต์ และ ออลันโด บลูม ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนช่วงเศรษฐกิจการเงินล้มละลาย เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวจาก 3 แห่ง ได้แก่ ลอนดอน มุมไบ นิวยอร์คที่มีความเกี่ยวเนื่องกับแหล่งการเงิน ผลงานอื่นของคูเปอร์ที่มีชื่อเสียง ยังรวมถึงบทบาทที่แสดงเป็นจ่าเบ็น ในภาพยนตร์ของสตีเฟ่น เฟรียร์ส เรื่อง “Tamara Drewe” ภาพยนตร์ที่นำนิยายของโธมัส ฮาร์ดี้ยุคศตวรรษที่ 19 มาปัดฝุ่นใหม่, ภาพยนตร์เรื่อง “Far From the Madding Crowd” ที่ร่วมแสดงกับ เก็มม่า อาร์เทอร์ตัน คูเปอร์ยังร่วมแสดงในภาพยนตร์แนวดราม่าที่มีความทันสมัยและได้รับคำชม เรื่อง “An Education” กำกับโดย โลน เชอร์ฟิก และเขียนบทโดย นิค ฮอร์นบี้ ภาพยนตร์เรื่อง “An Education” เป็นเรื่องราวที่ติดตามเด็กสาววัย 16 แห่งลอนดอนช่วงปี 1960 ที่พบว่าตัวเองเริ่มมีสัมพันธ์กับหนุ่มเพลย์บอยวัย 30 ภาพยนตร่วมแสดงโดย คารีย์ มัลลิแกน, ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด, อัลเฟรด โมลิน่า และ เอ็มม่า ธอมป์สัน ภาพยนตร์มีการฉายที่งาน Sundance, Berlin, and Toronto Film Festivals เมื่อปี 2009 และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Academy Awards และ BAFTA Awards คูปอร์ยังแสดงในภาพยนตร์ที่น่าตื่นเต้นของบ็อกซ์ออฟฟิศ เรื่อง “Mamma Mia!” ดัดแปลงมาจากละครเวทีเพลงอันเป็นที่โปรดปราน ซึ่งเป็นการแสดงเพลงของ ABBA โดยมีการรวมเหล่านักแสดงอย่างเมริล สตรีพ, เพียร์ซ บรอสแนน, โคลิน เฟิร์ธ, สเตลลาน สคาร์สการ์ด, คริสติน บารานสกี, จูลี่ วอลเตอร์ส และ อแมนด้า ไซย์ฟรีด ภาพยนตร์เรื่อง Mamma Mia! ได้สร้างสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศให้ทั่วโลก และกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่กวาดรายได้สูงสุดตลอดกาลแห่งของอังกฤษ โดมินิคแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “The Duchess” ภาพยนตร์ที่สร้างอิงเรื่องอื้อฉาวของอแมนด้า ฟอร์แมน ผู้ดีอังกฤษแห่งศตวรรษที่ 18 ผู้มีนามว่าจอร์เจียน่า ดยุคหญิงแห่งเดวอนเชียร์ กำกับโดย ซอล ดิบบ์ ภาพยนตร์แนวพีเรียดดราม่าที่ร่วมแสดงโดย เคียร่า ไนท์ลีย์, ราล์ฟ ฟีนส์ และ เฮย์ลีย์ แอทเวล ผลงานที่มีชื่อเสียงของโดมินิคยังรวมถึง เรื่อง “The Escapist” กำกับโดย รูเพิร์ท ไวแอตต์ นำแสดงโดย ไบรอัน ค็อกซ์ และ โจเซฟ ฟีนส์; “Brief Interviews with Hideous Men” กำกับโดย จอห์น คราซินสกี; ภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยทอม แฮงค์ส เรื่อง “Starter for Ten” นำแสดงโดย เจมส์ แม็คอวอย และ รีเบ็คก้า ฮอล; Boudica; “I’ll Be There”; ภาพยนตร์ของนีล จอร์แดน เรื่อง “The Good Thief” และภาพยนตร์ของพี่น้องฮิวจ์ส เรื่อง “From Hell” โดมินิคได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นมืออาชีพจาก London Academy of Music and Dramatic Art (LAMDA) จากความสำเร็จของเขาทำให้เขาได้ครองบทบาทการแสดงในเรื่อง “Mother Clap’s Molly House” ที่ National Theatre อันทรงเกียรติ ภายใต้การกำกับของนิโคลาส ไฮต์เนอร์ จากนั้นเขาได้แสดงในการแสดงของ Royal Shakespeare Company เรื่อง “A Midsummer Night’s Dream” ก่อนจะกลับมาร่วมงานกับไฮต์เนอร์ที่ National Theatre สำหรับการแสดงเรื่อง “His Dark Materials” และ “The History Boys” ที่ต่อมาได้รับรางวัล Olivier Awards สามรางวัล รวมถึงรางวัลสาขา Best New Play ภาพยนตร์เรื่อง “The History Boys” เขียนบทโดย อลัน เบ็นเน็ตต์ ต่อมาได้มีการแสดงที่บรอดเวย์และได้รับรางวัล Tony Awards 6 รางวัล ซึ่งรวมถึงสาขาการแสดงยอดเยี่ยม โดมินิคได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Drama Desk และ Evening Standard Award จากการแสดงบนเวทีที่ได้รับการยกย่อง จากการรับบทเป็น ดาคิน ผู้มีความมั่นใจและมีเสน่ห์ คูเปอร์ยังกลับมารับบทแสดงในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากการแสดงเรื่องนั้น โดยต่อมาเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Best Newcomer Award จาก British Independent Film Awards และรางวัล Best Supporting Actor Award จาก London Film Critics Circle โดมินิคแสดงละครเวทีโดยการรับบทเป็น ฮิพโพลีทัส ในการแสดงของฌอง ราไซน์แสดงที่ National Theatre อันมีชื่อเสียง เรื่อง “Phèdre” ร่วมกับ ดาเม่ เฮเลน เมอร์เรน ที่รับบทแสดงนำ กำกับการแสดงโดยนิโคลาส ไฮต์เนอร์ และมีการแสดงที่ Epidaurus ในประเทศกรีซ และ The Shakespeare Theatre Company ในวอชิงตัน ดี.ซี. นอกจากผลงานการแสดงบนเวทีและผลงานภาพยนตร์แล้ว โดมินิคยังอำนวยการสร้างผลงานสำหรับทางทีวีที่ได้รับคำชมเชยอีกหลายเรื่อง เมื่อไม่นานนี้โดมินิครับบทแสดงเป็น เดฟ เซลล์แมนผู้ชำนาญด้านการจำนองที่มีวาทะศิลป์ แต่เต็มไปด้วยเล่ห์กลโกง ผลงานของทางช่อง BBC Two เรื่อง “Freefall” ภาพยนตร์แนวดราม่าที่เข้ากับยุคสมัย ซึ่งให้ความสนใจไปที่เรื่องโลกแห่งการเงินที่มีการถีบตัวขึ้นตลอดเวลาของทุกวันนี้ และผลเสียกระทบถึงผู้คนทุกระดับ เขายังรับบทแสดงเป็นวิลโลบี้ผู้มีเสน่ห์และหล่อในการแสดงของช่อง BBC เมื่อไม่นานนี้เรื่อง “Sense & Sensibility” ภาพยนตร์สร้างขึ้นจากนิยายเรื่องโปรดของเจน ออสเทน มินิซีรี่ส์ความยาว 2 ตอนทางทีวีกำกับโดยจอห์น อเล็กซานเดอร์ และดัดแปลงโดยแอนดรูว์ ดาวีส์ ผลงานทางทีวีที่มีชื่อเสียงของโดมินิครวมถึงภาพยนตร์แนวดราม่าเกี่ยวกับการทำลายล้าง เรื่อง “God on Trial,” ภาพยนตร์ของ BBC เรื่อง “Down to Earth,” “Sparkling Cyanide,” ภาพยนตร์ของ BBC เรื่อง “The Gentleman Thief,” ภาพยนตร์ของ Hallmark เรื่อง “Davison’s Eyes” และผลงานที่ได้รับคำชมของสตีเฟ่น สปีลเบิร์ก เรื่อง “Band of Brothers” แอนโธนี่ แม็คกี้ (วิล) ได้รับการฝึกฝนมาอย่างมีคุณภาพจาก Juilliard School of Drama เขาเป็นที่รู้จักหลังจากได้รับคำชมอย่างมากระหว่างการรับบทแสดงเป็น ทูแพ็ค ชาเคอร์ ในการแสดง Off Broadway เรื่อง “Up Against the Wind” แม็คกี้ถือฤกษ์ดีแสดงภาพยนตร์เป็นคู่แข่งของ Eminem อย่าง Papa Doc ในภาพยนตร์ของเคอร์ทิส ฮานสัน เรื่อง “8 Mile” การแสดงของเขาได้รับความสนใจจากสไปค์ ลี ผู้คัดเลือกแม็คกี้ให้มาแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Sucker Free City” และ “She Hate Me” แม็คกี้แสดงในภาพยนตร์ของคลินต์ อีสต์วูดที่ได้รับรางวัล Academy Award เรื่อง “Million Dollar Baby” คู่กับฮิลารี่ ชแวงค์, มอร์แกน ฟรีแมนและอีสต์วูด รวมถึงการแสดงในภาพยนตร์ของโจนาธาน เดมเม่ เรื่อง “The Manchurian Candidate” ที่เล่นคู่กับเดนเซล วอชิงตัน และ ลีฟ เชรเบอร์ และภาพยนตร์คอมเมดี้เรื่อง “The Man” นำแสดงโดย ซามูเอล แอล. แจ็คสัน แม็คกี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award และ Gotham Independent Film Award® สำหรับการแสดงของเขาในภาพยนตร์ของรอดนีย์ อีแวนส์ เรื่อง “Brother to Brother” ที่คว้ารางวัล Special Dramatic Jury Prize เมื่อปี 2004 ที่งาน Sundance Film Festival และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขา Best First Feature ที่งาน Independent Spirit Awards ในปี 2005 เขาแสดงภาพยนตร์ร่วมกับเดวิด สตราเธรน, ทิโมตี้ ฮัตตัน และ ลีลี โซบีสกี ในภาพยนตร์เรื่อง “Heavens Fall” สร้างอิงมาจากการขึ้นศาลแห่งประวัติศาสตร์ของ Scottsboro Boys ภาพยนตร์แนวอินดี้ที่มีการฉายรอบปฐมทัศน์ที่งาน SXSW Film Festival เมื่อปี 2006 ที่ออสติน แม็คกี้มีผลงานภาพยนตร์ 5 เรื่องในปี 2006 นอกจากภาพยนตร์เรื่อง “We Are Marshall” เขาแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Half Nelson” ร่วมกับไรอัน กอสลิง ดัดแปลงมาจากหนังสั้นของไรอัน เฟล็ค ที่ได้รับรางวัลที่งาน Sundance เรื่อง “Gowanus, Brooklyn”; ภาพยนตร์ของเพรสตัน วิตมอร์ เรื่อง “Crossover”; ภาพยนตร์แนวดราม่าเกี่ยวกับอาชญากรรม ซึ่งเป็นการรวมตัวของเหล่านักแสดง ผลงานของแฟรงค์ อี. ฟลาวเวอร์ส เรื่อง “Haven” คู่กับออแลนโด บลูม และ บิล แพกซัน และในภาพยนตร์ที่เป็นการดัดแปลงของริชาร์ด ไพรซ์ เรื่อง “Freedomland” นำแสดงโดย ซามูเอล แอล. แจ็คสัน แม็คกี้ปรากฏตัวในการแสดงละครเวทีหลายเรื่อง ทั้งการแสดงในและนอกบรอดเวย์ เขาแสดงบรอดเวย์เป็นครั้งแรกจากการรับบทเป็น ซิลเวสเตอร์ หลานชายที่พูดติดอ่าง เขาแสดงร่วมกับวูปี โกล์ดเบิร์กในผลงานของออกัสต์ วิลสัน เรื่อง “Ma Rainey’s Black Bottom” ต่อไปแม็คกี้จะรับบทแสดงนำในผลงานของชีคอฟ ที่เป็นการนำผลงานที่มีความทันสมัยของรีไจน่า คิงมาถ่ายทอดใหม่ เรื่อง “The Seagull” เขาแสดงในผลงานของสตีเฟ่น เบลเบอร์ เรื่อง “McReele” ให้กับ Roundabout Theatre Company และแสดงในผลงานที่ได้รับรางวัล Pulitzer Prize เรื่อง “A Soldier’s Play” ซึ่งรับบทเป็นตัวละครที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้โดยเดนเซล วอชิงตันเมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ เมื่อไม่นานนี้แม็คกี้เป็นส่วนหนึ่งในผลงานการแสดงของเรื่อง “August Wilson’s 20th Century” ที่ Kennedy Center ซึ่งได้รับการยกย่องเมื่อกลุ่มนักแสดงทำการซ้อมบทละครเวที 10 เรื่องในผลงานของออกัสต์ วิลสัน แม็คกี้มีส่วนร่วมในการแสดง 3 ใน 10 และหวังว่าจะได้หวนกลับมาแสดงละครเวทีเร็วๆ นี้ นปี 2009 แม็คกี้ปรากฏตัวด้วยการรับบทแสดงเป็นจ่าเจที แซนบอร์น ในภาพยนตร์ของแคทธริน บิเกโลว์ เรื่อง “The Hurt Locker” แอนโธนี่ไม่ใช่แค่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award เท่านั้น แต่ยังได้รับรางวัล Academy Awards สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม การกำกับยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (บทภาพยนตร์ต้นฉบับ) และได้รับการยอมรับสาขาอื่นอีก 3 สาขา ในปีเดียวกันนั้นได้เห็นแม็คกี้กลับมารับบทแสดงเป็นทูแพ็ค ชาเคอร์ในภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับอัตชีวประวัติของ B.I.G. ผู้ฉาวโฉ่ ผลงานของ Fox Searchlight เรื่อง “Notorious” และเขายังรับบทแสดงเป็นพันตรีวิลเลียม โบว์แมน ในภาพยนตร์ของ DreamWorks เรื่อง “Eagle Eye” ในปี 2010 แม็คกี้กลับมาแสดงบรอดเวย์ในการแสดงล่าสุดของมาร์ติน แม็คโดนอห์ เรื่อง “A Behanding In Spokane” เขาร่วมงานกับเคอร์รี่ วอชิงตันในภาพยนตร์แนวดราม่า เรื่อง “Night Catches Us” ในปี 2011 แม็คกี้ปรากฏตัวในภาพยนตร์ของ Universal Pictures เรื่อง “The Adjustment Bureau” นำแสดงโดยแม็ตต์ เดม่อน และ เอมิลี่ บลันท์ ต่อมาแสดงในภาพยนตร์ของ Disney/DreamWorks เรื่อง “Real Steel” นำแสดงโดย ฮิวจ์ แจ็คแมน เมื่อช่วงต้นปีนี้แม็คกี้แสดงในภาพยนตร์ เรื่อง “Man on a Ledge” ร่วมกับแซม วอชิงตัน และ เอลิซาเบ็ธ แบงค์ส เมื่อไม่นานมานี้แม็คกี้เพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์ 3 เรื่อง ได้แก่ “Ten Year” ที่เขาแสดงร่วมกับ แชนนิ่ง ทาทัม, เคท มาร่า, โรซาริโอ ดอว์สัน และ จัสติน ลอง; ภาพยนตร์แนวดราม่าเกี่ยวกับอาชญากรรม เรื่อง “The Gangster Squad” นำแสดงโดย ฌอน เพ็นน์, เอ็มม่า สโตน และ ไรอัน กอสลิง ภาพยนตร์ที่กำกับโดยไมเคิล เบย์ เรื่อง “Pain and Gain” นำแสดงโดย มาร์ค วาห์ลเบิร์ก และ ดเวย์น “เดอะ ร็อค” จอห์นสัน เมื่อช่วงต้นปีนี้แม็คกี้แสดงในภาพยนตร์ เรื่อง “Man on a Ledge” ร่วมกับแซม วอชิงตัน และ เอลิซาเบ็ธ แบงค์ส เมื่อไม่นานมานี้แม็คกี้เพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์ 3 เรื่อง ได้แก่ “Ten Year” ที่เขาแสดงร่วมกับ แชนนิ่ง ทาทัม, เคท มาร่า, โรซาริโอ ดอว์สัน และ จัสติน ลอง; ภาพยนตร์แนวดราม่าเกี่ยวกับอาชญากรรม เรื่อง “The Gangster Squad” นำแสดงโดย ฌอน เพ็นน์, เอ็มม่า สโตน และ ไรอัน กอสลิง ภาพยนตร์ที่กำกับโดยไมเคิล เบย์ เรื่อง “Pain and Gain” นำแสดงโดย มาร์ค วาห์ลเบิร์ก และ ดเวย์น “เดอะ ร็อค” จอห์นสัน แมรี่แสดงภาพยนตร์ร่วมกับ อารอน พอล (“Breaking Bad”) ในภาพยนตรเรื่องใหม่ “Smashed” ที่มีการแสดงรอบปฐมทัศน์ที่งาน Sundance Film Festival เมื่อปี 2012 ภาพยนตร์เป็นการตามติดคู่แต่งงานที่ความสัมพันธ์เริ่มขึ้นจากความชอบแอลกอฮอล์เหมือนกัน และความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกทดสอบขึ้นเมื่อภรรยาเลือกที่จะกินเหล้า ภาพยนตร์นำแสดงโดย ออคตาเวีย สเปนเซอร์, นิค ออฟเฟอร์แมน และ มีแกน มัลลาลี่ ฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา แมรี่แสดงในภาพยนตร์ของ Universal เรื่อง “The Thing” ภาพยนตร์ระทึกขวัญเกี่ยวกับนักวิจัยที่ขั้วโลกใต้ ซึ่งมีการค้นพบยานเอเลี่ยนที่มีอยู่จริง ในช่วงซัมเมอร์ปี 2010 แมรี่แสดงภาพยนตร์ร่วมกับไมเคิล ซีร่าในภาพยนตร์แอ็คชั่นคอมเมดี้แนวแฟนตาซีของ Universal เรื่อง “Scott Pilgrim vs. the World” ภาพยนตร์อิงมาจากนิยายภาพของไบรอัน ลี โอ’มัลลีย์ กำกับโดยเอ็ดการ์ ไรท์ นำแสดงโดยเจสัน ชวอต์ซแมน, แบรนดัน ร็อธ, แอน เคนดริค และ คริส อีแวนส์ ผลงานที่มีชื่อเสียงของแมรี่เรื่องอื่น ได้แก่ ภาพยนตร์ของควินติน ตารานติโน่ เรื่อง “Death Proof” จาก “Grindhouse” ภาพยนตร์คู่ที่เธอแสดงร่วมกับเคิร์ต รัสเซล และ โรซาริโอ ดอว์สัน ในภาพยนตร์เรื่องนี้แมรี่ได้ร้องเพลง “Baby It’s You” เธอยังแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe® ของเอมิลิโอ เอสเตเวซ เรื่อง “Bobby” ร่วมกับ วิลเลียม เอช. มาซี่, เดมี่ มัวร์, เอลิจาห์ วูด, ชารอน สโตน และ แอนโธนี่ ฮอปกินส์ แมรี่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล SAG Award™ สาขานักแสดงรวมยอดเยี่ยม เธอยังแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Factory Girl,” “Black Christmas,” “Live Free or Die Hard,” “Sky High,” “Final Destination 3” และเรื่องอื่นๆ ตอนนี้แมรี่อาศัยอยู่ที่ลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย รูฟัส ซีเวล (อดัม) ต่อไปจะปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง “All Things to All Men” เมื่อไม่นานนี้เขาแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Zen” ของ Left Bank Pictures และ The BBC, ภาพยนตร์ของฟลอเรน เฮนเคล วอน ดอนเนอร์มาร์ค เรื่อง “The Tourist,” “The Pillars of the Earth” ของ Starz และ Channel 4, ซีรี่ส์ทางทีวีของบรัคไฮเมอร์ เรื่อง “Eleventh Hour” (ที่ซีเวลรับบทแสดงนำ) และเรื่อง “John Adams” ของ HBO ในปี 2006 ซีเวลแสดงละครเวทีโดยรับบทแสดงเป็น แจน ในการแสดงของทอม สต็อปปาร์ด เรื่อง “Rock n' Roll” ที่ The Royal Court Theatre และ West End ในลอนดอนที่เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่งาน Evening Standard Theatre Awards ปี 2006, รางวัล London Critic’s Circle Best Actor Award ปี 2007 และรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่งาน Olivier Awards ปี 2007 เขากลับมารับบทนี้ในการแสดงบรอดเวย์ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Tony Award Nomination สาขาการแสดงยอดเยี่ยมของนักแสดงนำชายในการแสดง และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Drama Desk สาขานักแสดงนำชายที่มีความโดดเด่นในการแสดง ซีเวลได้รับความสนใจเป็นครั้งแรกจากการแสดงทางทีวีเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1994 ด้วยบทบาทของ วิล ลาดิสลอว์ ในผลงานที่เป็นการดัดแปลงของ BBC เรื่อง “Middlemarch” เขาได้รับคำชมมากขึ้นจากภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ แฮมป์ตัน เรื่อง “Carrington” ที่ร่วมแสดงกับเอ็มม่า ธอมป์สัน และ โจนาธาน ไพรซ์ เช่นเดียวกับในภาพยนตร์ของจอห์น ชเลสซิงเกอร์ เรื่อง “Cold Comfort Farm” ในปี 2005 ซีเวลรับบทแสดงเป็นพีทรูคิโอ ในการแสดงของทางช่อง BBC ที่ได้รับคำชมจากเหล่านักวิจารณ์ เรื่อง “The Taming of the Shrew” โดยเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่งาน BAFTA Television Award ผลงานก่อนหน้านั้น ได้แก่ ภาพยนตร์ของฟาบริซ ดู เวลซ์ เรื่อง “Vinyan,” ภาพยนตร์ของโจฮาน เร็น เรื่อง “Downloading Nancy,” ภาพยนตร์ของนีล เบอร์เกอร์ เรื่อง “The Illusionist” และภาพยนตร์ของเวส คราเวน เรื่อง “Paris Je T'aime” ภาพยนตร์เรื่องอื่น ได้แก่ ผลงานของแนนซี่ เมเยอร์ เรื่อง “The Holiday,” ภาพยนตร์ของมาร์ติน แคมป์เบล เรื่อง “The Legend of Zorro,” ภาพยนตร์ของเควิน เรย์โนลด์ เรื่อง “Tristan + Isolde,” ภาพยนตร์ของไบรอัน Helgeland เรื่อง “A Knight's Tale,” ภาพยนตร์ระทึกขวัญแห่งโลกอนาคตของอเล็กซ์ โพรยาส เรื่อง “Dark City,” “Dangerous Beauty,” ที่แสดงร่วมกับแคทเธอรีน แม็คคอร์แม็ค, “Illuminata” กำกับและนำแสดงโดยจอห์น เทอร์เทอร์โร, ซูซาน ซารานดอน และ คริสโตเฟอร์ วัลเค็น, ภาพยนตร์ของ Miramax เรื่อง “The Very Thought of You” ที่แสดงร่วมกับโจเซพ ไฟน์ส, ภาพยนตร์ของ Paramount Pictures เรื่อง “Bless The Child” นำแสดงโดย คิม บาซิงเกอร์ และ จิมมี่ สมิตซ์, “Victory” ที่ร่วมงานกับวิลเล็ม ดาโฟ และ แซม นีล, ภาพยนตร์ของเคนเน็ธ บรานอห์ เรื่อง “Hamlet,” ภาพยนตร์ของ Channel Four Film “The Woodlanders” และภาพยนตร์ของ BBC Film เรื่อง “A Man Of No Importance” สำหรับผลงานละครเวที ซีเวลแสดงละครที่ West End เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1993 โดยการรับบทเป็นโธมัส แคร็ตสกี นักต้มตุ๋นชาวเชโกสโลวาเกียในเรื่อง “Making It Better” ที่ซีเวลคว้ารางวัล London Critics Circles' Best Newcomer Award บทบาทอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ การรับบทแสดงเป็น เซพติมัส ฮอดจ์ ในการแสดงต้นฉบับของทอม สต็อพพาร์ด เรื่อง “Arcadia” ที่ National Theatre, การรับบทเป็น ดาร์ซี่ ในเรื่อง “Pride and Prejudice” ที่ Royal Exchange ในแมนเชสเตอร์ รวมถึงเรื่อง “As You Like It,” “The Seagull” และ “The Government Inspector” การแสดงทั้งหมดที่ Crucible Theatre in Sheffield ซีเวลแสดงบรอดเวย์เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1995 มีการเปิดตัวการแสดงที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลาม ซึ่งเป็นการแสดงที่นำผลงานของไบรอัน ฟรีล เรื่อง “Translations” กลับมาสร้างใหม่ เขาแสดงร่วมกับไบรอัน เด็นเนฮี่ และ ดาน่า ดีลานี่ ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่เรื่อง “Rat In The Skull,” การแสดงของ Royal Court Production กำกับโดยสตีเฟ่น ดัลดี้ เรื่อง “Macbeth” West End ในลอนดอน และผลงานของจอห์น ออสบอร์น เรื่อง “Luther” ที่ Royal National Theatre ซีเวลศึกษาที่ Central School of Drama ในลอนดอน ก่อนแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในผลงานของดอน บอยด์ เรื่อง “Twenty-One” มาร์ตอน โซคาส (แจ็ค บาร์ตส) เกิดที่อินเวอร์คาร์กิล โอทีรัว ประเทศนิวซีแลนด์ เขาเป็นประชากรแห่งสหภาพยุโรป ประเทศฮังการี และอาศัยอยู่ที่สหรัฐฯ อย่างถาวร เขามีการฝึกฝนด้านทฤษฎีที่ Canterbury University, Christchurch ประเทศนิวซีแลนด์ ที่เขาเริ่มศึกษาปริญญาตรีด้านศิลปศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ศิลป์ จากนั้นได้ย้ายไปที่ Te Kura Toi Whakaari o Aotearoa/ The New Zealand Drama School สำเร็จการศึกษาเมื่อเดือนธันวาคม 1989 บทบาทแรกของโซคาสเป็นเรื่อง “Te Whanau a Tuanui Jones” โดย อาแพราน่า เทย์เลอร์ ที่ Taki Rua Theatre ใน Wellington New Zealand (1990) ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เลือกอาชีพการแสดงละครเวที การแสดงทางทีวีและภาพยนตร์ บทบาทแรกของเขาในภาพยนตร์เป็นผลงานอำนวยการสร้างของปีเตอร์ แจ็คสัน เรื่อง “Jack Brown Genius” เขาได้ร่วมงานกับริดลีย์ สก็อตต์ ในเรื่อง “Kingdom of Heaven,” พอล กรีนกราส ในเรื่อง “The Bourne Supremacy” และปีเตอร์ แจ็คสันอีกครั้งในเรื่อง “The Lord of the Rings Trilogy” ผลงานภาพยนตร์ของโซคาสยังรวมถึงเรื่อง “XXX,” “Aeon Flux” และ “The Great Raid” ภาพยนตร์อินดี้ที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่เรื่อง “Rain” ที่แสดงในงาน Cannes Director's Fortnight เมื่อปี 2001 ภาพยนตร์เรื่อง “Evilenko” และ“Asylum” ผลงานการแสดงละครเวทีที่มีความโดดเด่นของเขาประพันธ์โดยทอม สต็อพพาร์ด เรื่อง “Arcadia” ที่รับบทเป็น เซพติมัส; ในเรื่อง “Julius Ceasar” ที่รับบทเป็น บรูทัส และเมื่อไม่นานนี้ในการแสดงของโลเป้ เดอ วีก้า เรื่อง “Peribanez Y El Comendador De Ocana” และเรื่อง “Whose Afraid of Virginia Wolf” ผลงานทางทีวีของโซคาสเป็นยอมรับด้วยการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy® ของ ABC ได้แก่เรื่อง “The Three Stooges” และ “G.P.” เขาแสดงเรื่อง “Shortland St.” เป็นเวลา 1 ปีที่นิวซีแลนด์ แสดงเรื่อง “Xena” จำนวน 9 ตอน และแสดงภาพยนตร์ทางทีวีทั้งในนิวซีแลนด์และออสเตรเลียอีกหลายเรื่อง รวมถึงมินิซีรี่ส์ที่ได้รับคำชมเรื่อง “The Farm” โซคาสถูกถ่ายทอดความสามารถบางอย่างมาจากพ่อของเขาผู้เป็นนักร้องโอเปร่าที่ได้รับการฝึกฝนมา และครั้งหนึ่งเคยเป็นศิลปินที่แสดงการกระโดดที่ Hungarian Circus ส่วนแม่ของเขาเป็นพยาบาลที่อาศัยอยู่ในทาสมาเนีย อีริน วาสสัน (วาโดมา) เป็นนางแบบ ดีไซเนอร์ นักลงทุนและนักแสดง เธอเป็นสาวสวยสุดคลาสสิคที่เป็นที่ต้อนรับจากเท็กซัส วาสสันเป็นหนึ่งในนางแบบดาวรุ่ง เธอมีผลงานที่โดดเด่นมากมายนับไม่ถ้วน: เธอได้รับเกียรติขึ้นปกนิตยสารหลายฉบับ รวมถึงนิตยสาร Vogue ที่ตีพิมพ์ในภาษาฝรั่งเศส สเปนและออสเตรเลีย เธอถ่ายแบบกับช่างภาพที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น สตีเฟ่น เมเซล, มาริโอ เทสทิโน่, แทริค เดอมาร์เชเลียร์ และ เอลเลน วอน อันเวิร์ธ และเดินแบบบนรันเวย์ให้กับแหล่งแฟชั่นในยุโรปที่สำคัญ (Chanel, Gucci, Lanvin และ Balenciaga ซึ่งนี่กล่าวมาเพียงบางส่วน) ตั้งแต่ปี 2002 วาสสันเป็นนางแบบสากลให้กับ Maybelline และเธอยังปรากฏตัวในแคมเปญของ H&M, Victoria’s Secret และ The Gap รวมถึงแบรนด์ดังอื่นๆ อีกมาก แต่วาสสันทำหน้าที่ได้ดีกว่าการเป็น “นางแบบ” หรือแม้แต่ “ซูเปอร์โมเดล” สไตล์การชอบเก็บตัวและใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ของเธอเป็นแบบอย่างให้แก่คนอื่นๆ วาสสันได้รับเลือกให้เป็นนักออกแบบของ อเล็กซานเดอร์ แวง ดีไซเนอร์เจ้าของรางวัล CFDA Award ในปี 2008 วาสสันได้ก้าวกระโดดเป็นดีไซเนอร์ที่ให้ความร่วมมือกับเสื้อผ้า 3 ฤดูกาลระหว่างเธอกับ RVCA และเปิดตัวธุรกิจเครื่องประดับของเธอเองที่ชื่อ Low Luv โดยตอนนี้มีร้านค้าจำหน่ายทั่วโลกมากกว่า 200 ล้าน ในปีนี้เธอหวนคืนสู่ห้องชุดเพื่อออกแบบคอลเล็คชั่นเล็กๆ ให้กับแบรนด์ฝรั่งเศส Zadig & Voltaire ที่มีการเปิดตัวเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา เสน่ห์ของวาสสันอันเป็นที่จดจำทำให้เธอได้ก้าวสู่จอภาพยนตร์อย่างเป็นธรรมชาติ เธอปรากฏตัวคู่กบจัสติน ทิมเบอร์เลคในหนังสั้นหลายเรื่องของวิลเลียม ราสต์ และมีการแสดงที่โดดเด่นภาพยนตร์ของโซเฟีย คอพโพล่า เรื่อง “Somewhere” วาสสันใช้เวลาส่วนใหญ่ของเธอไปกับการเดินทางและให้การสนับสนุนด้านการช่วยเหลือสัตว์ รวมถึงการทำหน้าที่เป็นคณะที่ปรึกษาของ Saving America’s Mustangs เกี่ยวกับผู้สร้างภาพยนตร์ ไทเมอร์ เบคแมมบีทอฟ (ผู้กำกับ, ผู้อำนวยการสร้าง) เกิดวันที่ 25 มิถุนายน 1961 ในเมือง Guryev ในอดีตสาธารณรัฐโซเวียส คาซัค ตอนอายุ 19 เขาย้ายไปอยู่ที่ทางเคนต์ ในอดีตสาธารณรัฐโซเวียส อุซเบค ในปี 1987 เขาสำเร็จการศึกษาจาก A.N. Ostrovsky Theatrical and Artistic Institute ด้วยปริญญาด้านการละครและออกแบบฉากภาพยนตร์ ในช่วงระหว่างปี 1992 และ 1997 เบคแมมบีทอฟเป็นหนึ่งในผู้กำกับขวัญใจในประวัติศาสตร์วงการโฆษณาโลกแห่ง Bank Imperial ในปี 1994 เขาก่อตั้ง Bazelevs Group บริษัทผลิตโฆษณาและภาพยนตร์ รวมถึงการจัดจำหน่ายและทำการตลาด ภาพยนตร์เรื่องแรกของเบคแมมบีทอฟเป็นเรื่อง “Peshavar Vals” (1995) หรือที่มีชื่อเว่า “Escape from Afghanistan” เป็นภาพยนตร์ที่มีภาพความรุนแรงและมีความสมจริงเกี่ยวกับสงครามระหว่างชาวรัสเซียและชาวอัฟกานิสถาน ภาพยนตร์ถูกพากย์เป็นภาษาอังกฤษและมีการจัดจำหน่ายในรูปแบบวีดีโอ โดยโรเจอร์ คอร์แมนเมื่อปี 2002 ต่อมาเบคแมมบีทอฟได้อำนวยการสร้างและกำกับมินิซีรี่ส์ทางทีวีความยาว 8 ตอนเรื่อง “Our ‘90s” หลังจากนั้นเขาหวนมากำกับภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยโรเจอร์ คอร์แมน เรื่อง “The Arena” (2002) ภาพยนตร์รีเมคจากภาพยนตร์เรื่องเดียวกันเมื่อปี 1974 ในปี 2002 เบคแมมบีทอฟกำกับและร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์ (ร่วมกับ Bahyt Kilibayev) ในเรื่อง “GAZ-Russian Cars” ในปี 2004 เบคแมมบีทอฟเขียนและกำกับ เรื่อง “Night Watch” (2004) ภาพยนตร์ของชาวรัสเซียแนวแฟนตาซีที่อิงจากหนังสือของเซอร์เกย์ ลูเคียเนนโก ภาพยนตร์ได้กลายเป็นภาพยนตร์ชาวรัสเซียที่กวาดรายได้สูงสุดตลอดกาล ทำเงินไปได้ 16 .7 ล้านเหรียญในประเทศรัสเซีย ซึ่งทำเงินได้มากกว่าเรื่อง “The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring” ต่อมาเบคแมมบีทอฟเขียนและกำกับภาคต่อ เรื่อง “Day Watch” (2002) ภาพยนตร์สองเรื่องได้รับความสนใจจาก Fox Searchlight Pictures ที่จ่ายเงิน 4 ล้านเหรียญเพื่อซื้อสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายทั่วโลก (ไม่รวมที่รัสเซียและ Baltic States) ผลงานต่อมาของเบคแมมบีทอฟหลังจากเรื่อง “Day Watch” เขาได้สร้างเรื่อง “The Irony of Fate-2” (2007) เรื่องดังที่เป็นภาคต่อจากหนังโซเวียตที่มีชื่อเสียงว่าเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ของชาวรัสเซีย โดยภาพยนตร์มีรายได้รวมของบ็อกซ์ออฟฟิศเป็นที่สองรองจากเรื่อง “Avatar” เท่านั้น ภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่กำกับโดยเบคแมมบีทอฟเป็นเรื่องแรก คือ “Wanted” (2008) หนังแอ็คชั่นสุดยิ่งใหญ่ที่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับกลุ่มมือสังหารในสังคมลึกลับ สร้างขึ้นจากหนังสือการ์ตูนมินิซีรี่ส์ในชื่อเรื่องเดียวกันของ มาร์ค มิลเลอร์ เบคแมมบีทอฟยังสร้างภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่สหรัฐฯ แหละรัสเซีย รวมถึงเรื่อง “9” (2009) ซึ่งเป็นเรื่องราวของตุ๊กตาพเนจรที่อยู่ในโลกหลังสงครามล้างโลก กำกับโดย เชน แอคเคอร์ อำนวยการสร้างโดยเบคแมมบีทอฟ , ทิม เบอร์ตัน และ จิม เลมลีย์ เบคแมมบีทอฟได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์แอ็คชั่นภาษารัสเซีย เรื่อง “Black Lighting” (2009) ที่ร่วมงานกับ Universal Pictures ในปี 2010 เบคแมมบีทอฟอำนวยการสร้างและเป็นหนึ่งในผู้กำกับของเรื่อง “Yolki” หรือชื่อ “The Six Degrees to Celebration” ที่กลายเป็นภาพยนตร์รัสเซียที่กวาดรายได้สูงสุดเป็นอันดับสอง เดือนกุมภาพันธ์ปี 2011 Bazelevs ได้จำหน่ายภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยเบคแมมบีทอฟ เรื่อง “Vykryutas” (หรือเรื่อง “Lucky Trouble”) นำแสดงโดย มิลล่า โจโววิช และ คอนสแตนติน คาเบนสกี เมื่อปีที่แล้วเบคแมมบีทอฟอำนวยการสร้างเรื่อง “Apollo 18” ภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวไซไฟที่เป็นภาพฟุตเทจที่ค้นพบ และเรื่อง “The Darkest Hour” ภาพยนตร์แนวไซไฟที่ถ่ายทำในมอสโคว์ อำนวยการสร้างโดย New Regency เบคแมมบีทอฟได้รับรางวัล International Filmmaker of the Year Award ที่งาน CinemaCon ซึ่งเป็นการประชุมกันอย่างเป็นทางการของ National Association of Theater Owners จัดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน 23-26 ที่ Caesars Palace ในลาสเวกัส เซธ กราเฮม-สมิธ (ผู้เขียนบทภาพยนตร์, ผู้อำนวยการสร้างบริหาร, ผู้เขียน) เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของผู้เขียนนิยายขายดีของ New York Times เรื่อง Pride and Prejudice and Zombies และ Abraham Lincoln: Vampire Hunter หนังสือเรื่อง Pride and Prejudice and Zombies ยังถูกสร้างขึ้นเป็นภาพยนตร์ที่กราเฮม-สมิธเขียนบทภาพยนตร์ ปีนี้เขาร่วมเขียนบทภาพยนตร์ให้ภาพยนตร์ของผู้กำกับทิม เบอร์ตัน เรื่อง “Dark Shadows” ที่นำซีรี่ส์สุดคลาสสิคแนวเคาท์มาสู่จอภาพยนตร์ นำแสดงโดย จอห์นนี่ เดปป์, มิเชล ไฟเฟอร์ และ เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ เมื่อไม่นานนี้กราเฮม-สมิธตีพิมพ์เรื่อง Unholy Night เรื่องราวแนวผจญภัยสุดระทึกขวัญที่เป็นเรื่องราวของการกำเนิดของชายอัจฉริยะทั้ง 3 ที่เขาวางแผนจะดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ กราเฮม-สมิธ และ เดวิด แคทเซนเบิร์กได้ก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ KatzSmith ที่ตอนนี้กำลังพัฒนาผลงานภาพยนตร์หลายแนวที่เป็นโปรเจ็กต์ใหม่รูปแบบภาพยนตร์และผลงานทางทีวี เขาร่วมสร้าง เขียนบทภาพยนตร์ และอำนวยการสร้างบริหารเรื่อง “The Hard Times of RJ Berger” ภาพยนตร์แนวคอมเมดี้ทางทีวีที่มีความสมัยของ MTV กราเฮม-สมิธ และ แคทเซนเบิร์กได้พบกันระหว่างร่วมงานที่ Digital Media แห่ง CBS ทั้งคู่ถูกจ้างให้เขียนและอำนวยการสร้าง เรื่อง “Clark and Michael” อย่างเป็นอิสระ นำแสดงโดย ไมเคิล ซีร่า และ คลาร์ค ดุค และได้ทำงานร่วมกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทิม เบอร์ตัน (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้รับการนับถืออย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีจินตนาการมากที่สุดในวงการ เขาประสบความสสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ทั้งในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็คชั่นและภาพยนตร์แอนิเมชั่น ในปีนี้เบอร์ตันกำกับเรื่อง “Dark Shadows” ที่นำซีรี่ส์คลาสสิคแนวเคาท์มาสู่จอภาพยนตร์ นำแสดงโดยเหล่านักแสดงอย่างจอห์นนี่ เดปป์, มิเชล ไฟเฟอร์ และ เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ ในปี 2010 เขากำกับเรื่อง “Alice in Wonderland” มหากาพย์ภาพยนตร์แนวแฟนตาซีที่สร้างขึ้นจากนิยายสุดคลาสสิคของ ลูอิส คาร์รอล นำแสดงโดย จอห์นนี่ เดปป์, เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์, แอน แฮทธะเวย์ และ มีอา วาซิ คอฟสกี ภาพยนร์กวาดรายได้ไปหลายพันล้านเหรียญจากบ็อกซ์ ออฟฟิศทั่วโลก ทำให้เป็นภาพยนตร์ที่กวาดรายได้สูงสุดเป็นอันดับสองแห่งปี 2010 ภาพยนตร์เรื่อง “Alice in Wonderland” ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม – ภาพยนตร์เพลงหรือคอมเมดี้ และได้รับรางวัล Academy Award สองรางวัล สาขาการกำกับศิลป์ยอดเยี่ยมและการออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม ก่อนหน้านี้เบอร์ตันเป็นเกียรติได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมปี 2005 ภาพยนตร์สต็อปแอนิเมชั่น เรื่อง “Corpse Bride” ที่เขากำกับและอำนวยการสร้าง ก่อนหน้านี้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA Award และ Critics’ Choice Award สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม สำหรับภาพยนตร์แนวดราม่าแฟนตาซี เรื่อง “Big Fish” เมื่อไม่นานนี้เบอร์ตันได้รับรางวัล National Board of Review Award และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe และ Critics’ Choice Award สำหรับผลงานการกำกับ เรื่อง “Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street” ที่ได้รับรางวัล Golden Globe สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม – ภาพยนตร์เพลงหรือคอมเมดี้ เดปป์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar สำหรับการแสดงของเขาในภาพยนตร์ของเบอร์ตันเมื่อปี 2007 ที่ดัดแปลงมาจากละครเพลงระทึกขวัญของสตีเฟ่น ซอนด์เฮม นำแสดงโดย บอนแฮม คาร์เตอร์ และ อลัน ริคแมน ตอนนี้เบอร์ตันกำลังจะปิดกล้องการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “Frankenweenie” มีกำหนดเปิดตัวเดือนตุลาคม 2012 เบอร์ตันทำหน้าที่เขียน อำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นอิงจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องสั้นเมื่อปี 1984 ในชื่อเรื่องเดียวกันที่เขาสร้างขึ้นในช่วงแรกของการทำงาน ผลงานเร็วๆ นี้เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างในเรื่อง “Big Eyes” ภาพยนตร์แนวดราม่าเกี่ยวกับจิตรกร มาร์กาเร็ต คีน นำแสดงโดย รีซ วิเธอร์สพูน และ ไรอัน เรย์โนลด์ส เบอร์ตันเริ่มอาชีพในวงการภาพยนตร์ด้วยผลงานด้านแอนิเมชั่น ในปี 1982 เขาได้กำกับภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องสั้นแบบสต็อปโมชั่น เรื่อง “Vincent” มีการเล่าเรื่องโดยเจ้าชายวินเซนต์ ได้รับรางวัลชนะเลิศจากงานเทศกาลภาพยนตร์ เขากำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1985 ในภาพยนตร์แนวคอมเมดี้ยอดฮิต เรื่อง “Pee-wee’s Big Adventure” ในปี 1988 เบอร์ตันทำหน้าที่ควบคุมการผลิตภาพยนตร์คอมเมดี้ยอดนิยม เรื่อง “Beetlejuice” นำแสดงโดย ไมเคิล คีตัน จากนั้นเขาได้กลับมาร่วมงานกับคีตอนในภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องดัง “Batman” ภาพยนตร์ที่กวาดรายได้ไปสูงสุดแห่งปี 1989 และนำแสดงโดยแจ็ค นิโคลสัน ผู้รับบทเป็น โจ๊กเกอร์ และเรื่อง “Batman Returns” ที่ร่วมนำแสดงโดย มิเชล ไฟเฟอร์ และ แดนนี่ เดอวิโต้ ในปี 1990 เบอร์ตันได้กำกับ ร่วมเขียน และร่วมสร้างภาพยนตร์โรแมนติกแนวแฟนตาซี เรื่อง “Edward Scissorhands” ที่ได้รับคำชมจากทั้งเหล่านักวิจารณ์และผู้ชม ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จในการร่วมมือกันด้านภาพยนตร์กับจอห์นนี่ เดปป์ ผู้มารับบทนำถ่ายทอดการแสดงสุดสะเทือนใจ การร่วมงานของพวกเขาต่อมายังรวมถึงภาพยนตร์ที่กำกับโดยเบอร์ตัน เรื่อง “Ed Wood” นำแสดงโดย มาร์ติน แลนดาว โดยเบล่า ลูโกซี่ ได้รับรางวัล Oscar จากการรับบทแสดง; “Sleepy Hollow” เป็นผลงานที่ดัดแปลงมาจากนิยายคลาสสิคของ วอชิงตัน เออร์วิง และภาพยนตร์ที่ฮิตไปทั่วโลกเมื่อปี 2005 เรื่อง “Charlie and the Chocolate Factory” ที่อิงจากนิยายเรื่องโปรดของโรลด์ ดาห์ล และกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 470 ล้านเหรียญ ผลงานการกำกับของเบอร์ตันที่มีชื่อเสียงนอกจากนั้น ยังรวมถึงภาพยนตร์แนวไซไฟคอมเมดี้ที่ร่วมเหล่านักแสดงเอาไว้ทั้งหมดในเรื่อง “Mars Attacks!” ที่เขาอำนวยการสร้างขึ้นด้วย และในภาพยนตร์รีเมคเมื่อปี 2001 เรื่อง “Planet of the Apes” ที่เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกระหว่างเขากับผู้อำนวยการสร้าง ริชาร์ด ซานัค เบอร์ตันยังเป็นผู้คิดและผลิตภาพยนตร์แอนิเมชั่นแบบสต็อปโมชั่น เรื่อง “The Nightmare Before Christmas” ที่เป็นเรื่องราวของวันหยุดโปรดตลอดกาลเอาไว้ นอกจากนั้นเขายังอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Cabin Boy,” “Batman Forever” และภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “James and the Giant Peach” และ “9” ในปี 2010 ผู้สร้างภาพยนตร์ได้ตีพิมพ์เรื่อง The Art of Tim Burton ซึ่งเป็นหนังสือความหนา 430 หน้าที่เป็นเรื่องราวของผลงานส่วนตัวและโปรเจ็กต์อาร์ทเวิร์คของเขาที่ยาวนานกว่า 40 ปีเอาไว้ ในเดือนพฤศจิกายนปีนั้น Museum of Modern Art (MoMA) ได้เปิดงานแสดงผลงานของเขา หลังจากนั้นมีการจัดแสดงที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย และ โตรอนโต ประเทศแคนาดา การแสดงมีการเปิดตัวที่ Los Angeles County Museum of Art (LACMA) ในเดือนพฤษภาคม 2011 และออกทัวร์ต่อที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศสในปีนั้น จิม เลมลีย์ (ผู้อำนวยการสร้าง) ก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับไทเมอร์ เบคแมมบีทอฟในฐานะของผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์แอ็คชั่นระทึกขวัญ เรื่อง “Wanted” ที่กวาดรายได้ทั่วโลกไป 341 ล้านเหรียญ ภาพยนตร์นำแสดงโดย เจมส์ แม็คอวอย, มอร์แกน ฟรีแมน และ แองเจลิน่า โจลี่ ส่วนภาคต่อของเรื่องนี้กำลังอยู่ในขั้นการพัฒนาเรื่อง ก่อนหน้านั้นเลมลีย์และเบคแมมบีทอฟได้ร่วมงานกันในฐานะของผู้อำนวยการสร้างร่วมกับทิม เบอร์ตัน ในภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง “9” เลมลีย์กำลังพัฒนาภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่เขาจะกลับมาร่วมงานกับเบคแมมบีทอฟ ได้แก่ “Moby Dick” ที่สร้างขึ้นจากนิยายคลาสสิคของเฮอร์แมน เมลวิลล์ให้กับ Universal Pictures เลมลีย์อำนวยการสร้างบริหาร เรื่อง “The Diving Bell and the Butterfly” ที่สร้างขึ้นจากบันทึกประจำวันของฌอง-โดมินิค บาวบี้ ภาพยนตร์ได้รับรางวัล Golden Globe Award 2 รางวัล ซึ่งรวมสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award 4 รางวัล รวมสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม (จูเลียน ชนาเบล) เลมลีย์เริ่มอาชีพการทำงานที่ Icon Productions เขาสร้างผลงานไว้ในเรื่อง “Maverick” (กำกับโดย ริชาร์ด ดอนเนอร์), “Immortal Beloved” และ “Anna Karenina” (ทั้งสองเรื่องกำกับโดย เบอร์นาร์ด โรส), “Payback,” (กำกับโดย ไบรอัน Helgeland), “187” (กำกับโดย เควิน เรย์โนลด์ส) และมหากาพย์ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล Academy Award เรื่อง “Braveheart” กำกับโดยผู้ก่อตั้ง Icon เมล กิ๊บสัน เลมลีย์ได้รับตำแหน่งเป็นเวลานานกว่า 1 ทศวรรษที่ Icon ในฐานะผู้อำนวยการสร้างบริหาร เรื่อง “We Were Soldiers” (กำกับโดย แรนดัล วอลลาซ) ผลงานหนังอินดี้ที่เลมลีย์สร้างขึ้นเป็นเรื่องแรกเป็นหนังโรแมนติกสมัยก่อน เรื่อง “Tristan+Isolde” ที่เขาอำนวยการสร้างบริหารร่วมกับริดลีย์ สก็อตต์ และ โทนี่ สก็อตต์ กำกับโดย เควิน เรย์โนลด์ส เลมลีย์ร่วมงานกับบอนนี่ เคอร์ทิสเพื่ออำนวยการสร้างบริหาร เรื่อง “Red Eye” ภาพยนตร์ระทึกขวัญยอดนิยม กำกับโดย เวส คราเวน นำแสดงโดย ราเชล แม็คอดัมส์ และ ซิลเลียน เมอร์ฟี่ ไซมอน คินเบิร์ก (ผู้อนำวยการสร้างบริหาร) สำเร็จการศึกษาจาก Brown University, Phi Beta Kappa, Magna Cum Laude เขาได้รับปริญญาตรีด้านศิลปศาสตร์จาก Columbia University Film School เขาได้รับรางวัลการเขียนบทภาพยนตร์อันสูงส่งจากโรงเรียน, the Zaki Gordon Fellowship ระหว่างศึกษาที่โรงเรียนภาพยนตร์ เขาขายผลงานต้นฉบับให้กับ Warner Bros. และต่อมาได้เขียนบทภาพยนตร์ให้ Disney, Sony และ DreamWorks เขาได้ร่วมงานกับผู้มีชื่อเสียงอย่าง สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก, โจนาธาน มอสทาว, สตีเฟ่นส์ ซอมเมอร์ส และ แม็คจี โปรเจ็กต์วิทยานิพนธ์ของเขาในโรงเรียนภาพยนตร์เป็นบทภาพยนตร์ต้นฉบับ เรื่อง “Mr. & Mrs. Smith” ภาพยนตร์กำกับโดย ดั๊ก ไลแมน ออกฉายเมื่อปี 2005 นำแสดงโดย แบรด พิตต์ และ แองเจลิน่า โจลี่ ต่อมาได้กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องดังที่คว้ารางวัล MTV Movie Award™ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล People’s Choice Awards ในปี 2005 คินเบิร์กได้รับการแต่งตั้งจาก Premiere Magazine ให้เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ผู้ทรงพลังคนใหม่แห่งปี และได้รับรางวัล Breakthrough Award สำหรับการเขียนบทภาพยนตร์ จาก Movieline Magazine ในปี 2006 เขาร่วมเขียนเรื่อง “X-Men: The Last Stand” ที่มีการเปิดตัวในวัน Memorial Day และอยู่ในสถิติบ็อกซ์ ออฟฟิศ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในแฟรนไชส์เรื่องนี้ ในปี 2008 คินเบิร์กได้เขียนและอำนวยการสร้างภาพยนตร์ของดั๊ก ไลแมน เรื่อง “Jumper” ให้กับ New Regency และ 20th Century Fox ในปี 2009 เขาได้เขียนภาพยนตร์เรื่อง “Sherlock Holmes” นำแสดงโดย โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ และ จู้ด ลอว์ กำกับโดย กาย ริตชี่ ภาพยนตร์สร้างสถิติบ็อกซ์ ออฟฟิศด้วยการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ช่วงคริสต์มาส ภาพยนตร์ได้รับรางวัล Golden Globe สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award 2 รางวัล คินเบิร์กได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ให้กับ เจเจ อับรัมส์ แห่ง Paramount นอกจากนั้นเขายังอนำวยการสร้างเรื่อง “X-Men: First Class” กำกับโดย แมทธิว วอนห์, ภาพยนตร์ของนีล บลอมแคมป์ เรื่อง “Elysium,” ภาพยนตร์ของ Fox เรื่อง “This Means War” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวดราม่า นำแสดงโดย รีซ วิเธอร์สพูน, คริส ไพน์ และ ทอม ฮาร์ดี้ รวมถึง “Cinderella” โฉมใหม่ของ Disney สำหรับผลงานทางทีวี คินเบิร์กมีสัญญาร่วมกับ เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ และ Warner Bros. Television บริษัทผลิตภาพยนตร์ของเขาที่ชื่อ Genre Films มีสัญญาในการได้เห็นบทภาพยนตร์เป็นรายแรกร่วมกับ 20th Century Fox มิเชล วอลคอฟฟ์ (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) เป็นประธานแห่ง Bazelevs Productions ซึ่งตั้งอยู่ที่มอสโคว์ โดยมีไทเมอร์ เบคแมมบีทอฟทำหน้าที่เป็นประธาน ผลงานที่มีชื่อเสียงของบริษัทมีมากมาย อาทิเช่น ภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่องล่าสุดอย่าง “Apollo 18” and “The Darkest Hour” รวมถึง “Wanted” และ “Night Watch” จอห์น เจ. เคลลี่ (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารและผู้จัดการสายงานผลิตภาพยนตร์แห่ง Fox Searchlight Pictures ให้กับเรื่อง “127 Hours” และในภาพยนตร์แนวดราม่าที่ได้รับคำชมจากเหล่านักวิจารณ์ เรื่อง “Warrior” และ “Into the Wild” ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ “Gentlemen Broncos” และ “One Last Ride” คาเล็บ เดสชาเนล ASC (ผู้กำกับภาพ) เป็นผู้เข้าชิงรางวัล Academy Award ถึง 5 ครั้งจากผลงานของเขาในเรื่อง “The Passion of the Christ,” “Fly Away Home,” “The Natural,” “The Right Stuff” และ “The Patriot” ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายทำให้เขาได้รับรางวัล American Society of Cinematographers Award สาขาตากล้องที่ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น ผลงานการถ่ายภทพของเดสชาแนลในเรื่อง “The Black Stallion” สร้างความประทับใจให้ผู้ชมด้วยความงดงามของภาพ และทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA นอกจากนั้นเขายังได้รับรางวัล National Society of Film Critics Award สำหรับการถ่ายภาพในผลงานของเขาเมื่อปี 1979 ทั้งเรื่อง “The Black Stallion” และ “Being There” ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงของเดสชาแนล ได้แก่ “Anna and the King,” “The Hunted,” “Message in a Bottle,” “Hope Floats,” “More American Graffiti,” “Let’s Spend the Night Together,” “The Slugger’s Wife,” “It Could Happen to You,” “Killshot” และ “The Spiderwick Chronicles” เมื่อไม่นานนี้เขายังเป็นตากล้องให้ภาพยนตร์ของวิลเลียม เฟรดคิน เรื่อง “Killer Joe,” ภาพยนตร์ของจิม เชอริแดน เรื่อง “Dream House” และภาพยนตร์ของนิค คาสซาเวเทส เรื่อง “My Sister’s Keeper” ผลงานของเดสชาแนลที่มีชื่อเสียงในฐานะของผู้กำกับ ได้แก่ “The Escape Artist,” “Crusoe” และหนังสั้นอีกหลายเรื่อง หนังสั้นของเขาเรื่อง “Trains” ได้รับรางวัล Silver Bear Award ที่งาน Berlin Film Festival และหนังสั้น เรื่อง “Valley Forge” มีการฉายทั่วโลกโดย United States Information Society เดสชาแนลได้กำกับทีวีซีรี่ส์หลายตอนให้เรื่อง “Twin Peaks,” “Law & Order: Trial By Jury” และ “Bones” เดสชาแนลสำเร็จการศึกษาจาก Johns Hopkins University และศึกษาที่ University of Southern California Film School และ American Film Institute ก่อนที่จะฝึกงานกับตากล้อง กอร์ดอน วิลส์ เดสชาแนลเริ่มอาชีพจากงานโฆษณา ภาพยนตร์เรื่องสั้นและภาพยนตร์สารคดี ฟรังซัวส์ ออดู (ผู้ออกแบบฉาก) มีความชำนาญด้านการสร้างโลกที่มีความสมจริงและน่าเชื่อถือ โดยมีการผสมผสานกันระหว่างเทคนิคการออกแบบสมัยก่อนและแบบดิจิตอล ช่วงระยะเวลานานกว่า 15 ปี เขาได้ทำงานในแผนกศิลป์ของภาพยนตร์ เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับแถวหน้าและผู้ออกแบบฉากหลายคนในภาพยนตร์ ผลงานการกำกับศิลป์ที่มีชื่อเสียงของออดู ได้แก่เรื่อง “Green Lantern,” “Watchmen,” “Lions for Lambs,” “Transformers” และ “Charlie and the Chocolate Factory” ในฐานะของผู้วาดภาพประกอบ ผู้ออกแบบด้านกราฟฟิค และผู้ช่วยผู้กำกับศิลป์ เขาได้ให้ความช่วยเหลือในการสร้างภาพยนตร์ เรื่อง “Avatar,” ภาพยนตร์ไตรภาค “Spider-Man”, “Zodiac,” “The Terminal” และ “Men in Black” สองภาคแรก ฟรังซัวส์เป็นคนแรกๆ ที่เลือกใช้อุปกรณ์การออกแบบภาพยนตร์ที่มีการพัฒนาล้ำหน้า และเป็นหนึ่งในผู้วาดภาพในรูปแบบดิจิตอลล้วนของอุตสาหกรรม เขามีการพัฒนาประสบการณ์ทั้งในด้านศิลปะดั้งเดิมและดิจิตอล เพื่อนำมารวมกับการทำงานในแผนกศิลป์ที่มีความงดงามมากขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงที่สุด เขามีความชำนาญและให้การสนับสนุนการออกแบบที่ให้ความสมจริง และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง 5D Conference; การสัมนาด้านการออกแบบสื่อบรรยายที่ล้ำสมัย ในปี 2008 ฟรังซัวร์ได้รับการแต่งตั้งในงาน “Crafts: The Next Generation” ครั้งที่ 4 ของ The Hollywood Reporter โดยได้เป็น “หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ ที่มีความสามารถและมีความโดดเด่นอายุ 35 ปีหรือน้อยกว่านั้นที่สร้างผลงานในวงการทุกวันนี้” ตอนนี้เขากำลังออกแบบให้กับภาพยนตร์เรื่อง “The Wolverine” ของผู้กำกับเจมส์ แมงโกล์ด วิลเลียม ฮอย A.C.E. (ผู้ลำดับภาพ) ได้ลำดับภาพให้ภาพยนตร์ของแซ็ค สไนเดอร์ที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่าง “300” ซึ่งเป็นผลงานที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนที่ได้รับคำชมของเขา ภาพยนตร์เรื่อง “Watchmen” และภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง “Sucker Punch” เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับเป็นครั้งแรกในฐานะของผู้ลำดับภาพเสริมในเรื่อง “Dawn of the Dead” ฮอยลำดับภาพในผลงานของทิม สตอรี่ เรื่อง “Fantastic Four” และภาคต่อเรื่อง “Fantastic 4: Rise of the Silver Surfer”; ภาพยนตร์ของอเล็กซ์ โพรยาส เรื่อง “I, Robot”; ภาพยนตร์ของ เอฟ. แกรี่ เกรย์ เรื่อง “A Man Apart” และภาพยนตร์ของแรนดัล วอลลาซ เรื่อง “We Were Soldiers” และ “The Man in the Iron Mask” เขาได้ร่วมงานกับผู้สร้างภาพยนตร์ ฟิลลิป นอยซ์ ในภาพยนตร์ 3 เรื่อง ได้แก่ “The Bone Collector,” “Sliver” และ “Patriot Games” ผลงานที่มีชื่อเสียงของฮอยนอกจากนั้น ยังรวมถึงผลงานการลำดับภาพในเรื่อง “Se7en,” “Outbreak,” “Star Trek VI: The Undiscovered Country” และ “Dances with Wolves” สำหรับผลงานทางทีวี เขาได้ลำดับภาพให้กับเรื่อง “Houdini” ของทาง TNT, “Shattered Mind” และซีรี่ส์เรื่อง “Star Trek: The Next Generation” คาร์โล พอกกิโอลี่ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ได้ศึกษาด้านการออกแบบฉากและเครื่องแต่งกายที่ Istituto D'Arte and The Accademia di Belle Arti ในเนเปิลส์ หลังสำเร็จการศึกษา พอกกิโอลี่ได้ทำงานที่โรมในฐานะผู้ช่วยผู้ออกแบบของผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายชาวอิตาลี่ที่มีความสำคัญหลายคน อาทิเช่น Gabriella Pescucci, Piero Tosi และ Maurizio Millenotti ผลงานภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ของ เจ.เจ. อันนอลด์ เรื่อง “The Name of the Rose,” ภาพยนตร์ของเทอร์รี่ กิลเลียม เรื่อง “The Adventures of the Baron Munchausen,” ภาพยนตร์ของเฟอเดอริโก เฟลลินี่ เรื่อง “The Voice of the Moon,” ภาพยนตร์ของมาร์ติน สกอร์เซซี่ เรื่อง “The Age Of Innocence” และภาพยนตร์ของฟรังโก เซฟไฟเรลลี่ เรื่อง “Sparrow” พอกกิโอลี่ได้ร่วมงานกับผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่มีชื่อเสียงอย่าง แอน ร็อธ ในฐานะผู้ช่วยในเรื่อง “The English Patient” และผู้ช่วยผู้ออกแบบในเรื่อง “The Talented Mr. Ripley” สำหรับการแสดงโอเปร่า พอกกิโอลี่ได้ร่วมงานกับลิเลียน่า คาวานี่, เมาโร โบล็อกนินี่ และ ฟรังโก เซฟไฟเรลลี่ และงานแสดงเสื้อผ้าที่กำกับโดย รักเกโร่ คาปูซิโอ และการแสดงออเคสตร้าที่กำกับโดย ริคาร์โด มูตี้ ในผลงานอาทิเช่น “Falstaff” (Teatro alla Scala Milano) “Nina ossia la pazza per amore” (Teatro alla Scala Milano) และ “Il ritorno di Don Calandrino” ที่ Salzburg Opera Theatre พอกกิโอลี่ได้ร่วมงานด้านศิลปะกับมาร์โค แกนดินี่ มาอย่างยาวนาน และได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้ Rossini ที่ชื่อว่า “La gazzetta” ที่งาน Garsington Opera, ผลงานของมาสแคกนี่ “L'amico Fritz” และผลงานของพุคซินี่ “Gianni Schicchi” ที่ Arena Di Verona, ผลงานของมาร์โค ทูทิโน่ “La Lupa” ที่ Teatro Massimo di Palermo พอกกิโอลี่ได้ร่วมงานในการแสดงที่กำกับโดย ลูก้า รอนโคนี่, ผลงานของโอ'นีล “Strange Interlude” และผลงานของจิราดอกซ์ “La Folle de Chaillot” ในฐานะของผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้ผลงานภาพยนตร์และผลงานทางทีวี เขาได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับเรื่อง “Marquise” กำกับโดย วีร่า เบลมองต์, “Jason and the Argonauts,” “The Mists of Avalon” (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy สาขาเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม), “Cold Mountain” กำกับโดย แอนโธนี่ มิงเฮลล่า (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA สาขาเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม), “Van Helsing” (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Saturn Award) กำกับโดย สตีเฟ่น ซอมเมอร์ส, “Doom,” กำกับโดย อังเดรซ บาร์ทโควิแอค, “The Fine Art Of Love: Mine-Haha” กำกับโดย จอห์น เออร์วิน, “The Inquiry” กำกับโดย กิลลิโอ เบส และ “The Brothers Grimm” กำกับโดย เทอร์รี่ กิลเลียม ผลงานของพอกกิโอลี่เมื่อไม่นานนี้ ได้แก่ “Silk” ที่ได้รับรางวัล Canadian Academy Award, Prix Genie Award สาขาเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม และ Jutra Award, “Lecture 21” โดย อเลสซานโดร บาริคโค (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Silver Ribbon), “Miracle at St. Anna” กำกับโดย สไปค์ ลี และ “Ninja Assassin” กำกับโดย เจมส์ แม็คทีก ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา ได้แก่ “Season of the Witch” นำแสดงโดย นิโคลาส เคจ และ รอน เพิร์ลแมน กำกับโดย โดมินิค ซีน่า และที่ฉายเมื่อไม่นานนี้เรื่อง “The Raven” กำกับโดย เจมส์ แม็คทีก วาร์ย่า อาดยุชโก (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) เกิดที่รัสเซีย ภาพยนตร์เรื่อง ABRAHAM LINCOLN: VAMPIRE HUNTER” เป็นการร่วมงานกันครั้งที่ 4 ระหว่างเธอกับผู้กำกับไทเมอร์ เบคแมมบีทอฟ ก่อนหน้านี้พวกเขาร่วมงานกันในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมจากบ็อกซ์ ออฟฟิศ เรื่อง “Wanted” นำแสดงโดย แองเจลิน่า โจลี่ และ เจมส์ แม็คอวอย และภาพยนตร์คลาสสิคแนวเคาท์ เรื่อง “Day Watch” และ “Night Watch” เมื่อปีที่แล้วเธอได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้ภาพยนตร์ของผู้กำกับ คริส โกแร็ค เรื่อง “The Darkest Hour” นำแสดงโดย อีมิล เฮิร์ช, โอลิเวีย เธิร์ลบี้ และ แมกซ์ มิงเฮลล่า เฮนรี่ แจ็คแมน (ดนตรี) ประสบความสำเร็จด้านวิชาชีพทางดนตรีที่มีชื่อเสียง เขาศึกษาด้านดนตรีคลาสสิคที่สหรัฐฯ จาก St. Paul's Cathedral Choir School, Eton College และ Oxford University จากนั้นเขาได้เปลี่ยนมาเป็นด้านการผลิตเพลงแดนซ์รีมิกซ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของชาร์ท แนวเพลงอิเลคโทรนิก้า และ ดนตรีของคลับ แจ็คแมนประพันธ์ดนตรีในเรื่อง “X-Men: First Class” ที่กำกับโดย แมทธิว วอนห์ ซึ่งแจ็คแมนได้ประพันธ์ดนตรีให้เรื่อง “Kick-Ass” เอาไว้ด้วย ผลงานการประพันธ์อื่นของแจ็คแมนยังรวมถึงในเรื่อง “Winnie the Pooh,” “Puss in Boots,” “Gulliver's Travels,” “Monsters vs. Aliens” และ “Henry IV” ก่อนทำอาชีพด้านดนตรีภาพยนตร์ แจ็คแมนใช้เวลาหลายปีกับวงการบันทึกเสียง เขาได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ ทรีเวอร์ ฮอร์น ในอัลบั้ม Art of Noise ที่มีชื่อว่า The Seduction of Claude Debussy” แจ็คแมนยังได้ร่วมงานกับซีล เพื่อร่วมประพันธ์และโปรดิวซ์ “This Could Be Heaven” ให้กับภาพยนตร์เรื่อง “The Family Man” ซึ่งทำให้เขาได้รับความสนใจจากกผู้ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงอย่าง ฮานส์ ซิมเมอร์ และ จอห์น โพเวล โดยแจ็คแมนได้รับชื่อเสียงด้านดนตรีเพิ่มขึ้นจากการประพันธ์ดนตรีให้เรื่อง “The Dark Knight,” “The Da Vinci Code,” “Kung Fu Panda,” “Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest,” “Pirates of the Caribbean: At World's End,” “Hancock,” “It's Complicated,” “The Holiday” และ “The Simpsons Movie” ความสามารถของแจ็คแมนเข้าถึงภาพยนตร์หลากหลายสาขาที่มีมุมมองที่แปลกใหม่ เพราะความได้เปรียบที่โดดเด่นจากภูมิหลังของอุตสาหกรรมดนตรีแห่งวงการเพลงคลาสสิคและเพลงสมัยใหม่ คลิปต่างๆ ของหนังเรื่องนี้ http://www.youtube.com/playlist?list=PL5FCC5EB0EA0650E8&feature=plcp ติดตาม facebook ได่ที่ http://www.facebook.com/AbrahamLincoln.VampireHunter.Thai