HIGHLIGHT CONTENT

ข้อมูลภาพยนตร์เรื่อง A Good Day to Die Hard - วันดีมหาวินาศ คนอึดตายยาก

  • 13,510
  • 05 ก.พ. 2013

ข้อมูลภาพยนตร์เรื่อง  A Good Day to Die Hard - วันดีมหาวินาศ คนอึดตายยาก

บรูซ วิลลิสกลับมารับบทบาท จอห์น แม็คเคลน ตำรวจสายลับที่สร้างชื่อเสียงให้เขาในภาพยนตร์ เรื่อง A Good Day to Die Hard เขาต้องมีส่วนเกี่ยวพันกับเบื้องหลังการทุจริตอย่างสาหัสและการล้างแค้นทางการเมืองในรัสเซีย แม็คเคลนเดินทางมาที่มอสโคว์สะกดรอยตาม แจ็ค (ไจ คอร์ทนีย์) ลูกชายที่ไม่ค่อยลงรอยกัน และต้องตกใจเมื่อพบว่าเขาทำงานให้ผู้อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล โคมารอฟ ซึ่งเป็นผู้กำความลับ ในช่วงวิกฤติหนีตายพ่อลูกแม็คเคลนต้องพักเรื่องความไม่ลงรอยกันไว้ก่อน เพื่อปกป้องโคมารอฟให้ปลอดภัยและสกัดอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นใน เชอร์โนบิล ซึ่งเป็นสถานที่รกร้างว่างเปล่าที่สุดของโลก. เขาบรรยายถึงแม็คเคลนไว้ว่าเป็น “007 แห่งเพลนฟิล์ด รัฐนิวเจอร์ซี่” แต่ระยะห่างจากเพลนฟิล์ดกับมอสโคว์ไม่ใช่ใกล้ๆ และจอห์นกับแจ็คลูกชายของเขาได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันจนไม่มีวันลืม จนถึงตอนนี้เป็นเวลาครบ 25 ปีแล้วที่ภาพยนตร์เรื่อง Die Hard ระเบิดความแรงในโรงภาพยนตร์ มีการเปิดตัวฮีโร่จอยักษ์คนใหม่ในนาม จอห์น แม็คเคลน และพลิกแบบฉบับของหนังแอ็คชั่น แม็คเคลนเป็นคนมีเอกลักษณ์และเข้าใจได้ง่าย เขาเป็นผู้ชายธรรมดาที่โดนรอบข้างบังคับให้ต้องแบกรับภารกิจพิเศษ นั่นเป็นจุดที่ทำให้เขามีความแตกต่างกับฮีโร่ในหนังสือการ์ตูนของหนังแอ็คชั่นส่วนใหญ่ และทำให้แม็คเคลนเป็นตัวละครที่มีชื่อเสียงมากสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ใกล้กับทางเข้าFreedomSquareParkในบูดะเปสตรงข้ามกับสถานทูตสหรัฐฯ มีจิตวิญญาณแห่งสัญลักษณ์ชาวอเมริกัน 2 คน คนหนึ่งคือตัวจริง ส่วนอีกคนมีกลิ่นอายจากภาพยนตร์ แต่ทั้งคู่ต่างเป็นตำนานที่ตัดกับเงาแห่งอนุสาวรีย์มหาสงครามโซเวียต รูปปั้นทองแดงของโรนัลด์ รีแกนจ้องลงมาที่พื้นดินบนอนุสรณ์คอนกรีตกว้าง 16 ฟุต มีดาวUSSRประดับอยู่ด้านบน ห่างจากนั้นไม่กี่ก้าว ภายในตึกโอ่อ่าครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของสถานีทีวีคอมมิวนิสต์ของฮังการี นักแสดงแห่งตำนานบรูซ วิลลิสเดินไปทั่วฉากชั่วคราวที่ตั้งขึ้นมาแทนสถานีตำรวจบรูคลิน เคียวแห่งอดีตสหภาพโซเวียตแผ่เงาไปทั่วสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปปั้นรีแกนและบทภาพยนตร์เรื่อง A Good Day to Die Hard ในช่วงปีแห่งความถดถอยแห่งม่านเหล็ก ศัตรูตัวฉกาจชาวรัสเซียในหนังอย่างโคมารอฟและชาการินที่วางแผนขโมยพลูโทเนียมมูลค่า 10 ล้านเหรียญโรงงานนิวเคลียร์เชอร์โนบิล 27 ปีต่อมา บทสรุปของบทเพลงอันโหยหวนจะถูกบรรเลงขึ้นที่มอสโคว์ด้วยท่วงทำนองที่ก้องกังวาลทั่วทั้งหอประชุมสภารัสเซีย ผู้มีอำนาจแห่งกลุ่มคณาธิปไตยอันเรืองอำนาจและชีวิตชาวอเมริกันผู้ต้องบุกรุกเข้าไปอย่างไม่คาดฝัน: จอห์น แม็คเคลนและแจ็คลูกชายของเขา ฉากสถานีตำรวจบรูคลินที่แม็คเคลนรู้ว่าลูกชายจอมแสบของเขาอยู่ในห้องขังที่มอสโคว์ เป็นฉากที่ได้พบกับตัวละครเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นวันแรกที่บรูซ วิลลิสถ่ายทำด้วย ช่วงเช้าที่บูดาเปสต์ในเดือนพฤษภาคมของวันนั้นมีฝนตกปรอยๆ แต่สายฝนที่ตกเป็นช่วงไม่ได้บั่นทอนกำลังใจทีมงาน หรือแม้แต่วิลลิสที่ต้องกลับไปสวมบทเดิมเมื่อ 25 ที่แล้วได้เลย วิลลิสรับบทเป็นแม็คเคลน เขาคว้าโอกาสกลับไปหาตัวละครโปรดที่มีนิสัยพบว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางอยู่บ่อยๆ ปัญหาวิ่งใส่จอห์น แม็คเคลนหรือจอห์น แม็คเคลนรนหาที่เองกันแน่? “เขาเหมือนตัวดูดปัญหาเลยล่ะ” นักแสดงชายเล่าว่า “แต่ก็จริงนะ บางทีปัญหาก็วิ่งใส่เขาเองด้วย” “ผมว่ามันเป็นการฝึกให้เราไต่ไปถึงระดับหนังซีรี่ส์ที่เรากำหนดไว้ได้อย่างน่าสนุก และผมมีความสุขกับการเช็คบทแม็คเคลนในช่วงชีวิตที่ต่างวัยกันไป” วิลลิสเล่าต่อว่า “ในเรื่องนี้เขาอยู่ในเหตุการณ์ที่ทุกคนพยายามสะท้อนถึงอดีตของเขา ในแง่ของแม็คเคลนมันคือความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงกับลูกชาย พวกเขาไม่คุยกันพักหนึ่งแล้ว ข่าวแรกที่ได้ยินเกี่ยวกับลูกชายคือเขาถูกจับตัวอยู่ที่มอสโคว์” ไอเดียแรกเริ่มของบทภาพยนตร์ (ที่เขียนโดยสกิป วูดส์ และ เจสัน เคลเลอร์) เริ่มที่ตัววิลลิส เขามีความน่าสนใจที่การนำเสนอเรื่องราวของพ่อลูกคู่ไปกับเรื่องเสี่ยงตายที่แฝงอยู่ ซึ่งจะพาพวกเขาไปถึงจุดที่ต้องพักเรื่องความเห็นไม่ลงรอยกันเพื่อเอาชีวิตรอด ความขัดแย้งของพวกเขามีมากมายและเป็นเรื่องลึกซึ้ง “แจ็คชอบทำอะไรตามตำรา ส่วนจอห์นไม่ค่อยเดินตามกฏ มักใช้ทุกสิ่งที่มีอยู่ในมือมาแก้ปัญหา” วิลลิสอธิบาย ผู้อำนวยการสร้าง อเล็กซ์ ยัง เล่าว่า “เกิดคำถามขึ้นมาว่าเราจะจัดการกับประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกที่มาจากสายเลือดเดียวกัน แต่มีอดีตอันขมขื่นและเข้าใจผิดกันครั้งใหญ่ จากนั้นพาพวกเขาไปยังสถานที่ที่เหมือนติดกับและขอความช่วยเหลือไม่ได้อย่างไรดี?” มอสโคว์เป็นเมืองที่ดูหรูหราซึ่งแฝงด้วยโลกมืดแห่งความชั่วร้าย ภูมิประเทศดูซับซ้อนวกวนทั่วทุกแห่ง ที่นั่นเป็นเมืองขนาดกว้างโอ่อ่า มีประวัติความเป็นมาในตัวเอง ซึ่งสามารถจัดวางในตำแหน่งของมันได้ ยังมีสถานที่สำคัญที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลกหลงเหลืออยู่ และเป็นที่กล่าวขานเรื่องชื่อเสียงที่ไร้เทียมทานในการตัดสินความยุติธรรมของนักโทษทางการเมือง ซึ่งเป็นจุดสำคัญแห่งการเล่าเรื่องราวทั้งหมด ผู้อำนวยการสร้างฯ วิค ก็อดฟรีย์ เล่าถึงความท้าทายในมุมของแม็คเคลนว่า “เขาต้องใช้ทักษะที่มีในต่างแดนอย่างไม่มีทางเลือก นั่นล่ะประเด็นที่น่าสนใจของหนัง เขาไม่รู้ทั้งภาษา วัฒนธรรม หรือภูมิประเทศของที่นั่นเลย เขาจึงต้องทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น การไว้ใจคนอื่น”                 ซึ่งคนอื่นที่ว่านั้นคือลูกชายของเขาเอง ในเรื่อง  A Good Day to Die Hard เหมือนกับ Die Hard ภาคก่อนๆ ที่มีประเด็นสำคัญอยู่ที่สมาชิกในครอบครัวผู้ตกอยู่ในอันตราย โดยจอห์น แม็คเคลนก็พร้อมทำทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตพวกเขา ใน 2 ภาคแรกภรรยาของเขาตกเป็นเหยื่อ ภาคที่ 4 เป็นตัวลูกสาวของเขา ส่วนภาคนี้ถึงคราวลูกชายต้องเผชิญปัญหา แม็คเคลนกลัวว่าการหยุดยั้งไม่ให้แจ็คเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอาชญากรรมจะสายเกินไปแล้ว  “มันเป็นเรื่องที่จอห์นเลี่ยงไม่ได้เพราะมันเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเขา เราจะรู้กันดีจาก Die Hard ภาคก่อนๆ ว่าอย่าวุ่นวายกับครอบครัวแม็คเคลนเชียวจอห์น มัวร์ กล่าว  มัวร์รับโอกาสทำหน้าที่ควบคุมภาพยนตร์เรื่อง Die Hard ภาคใหม่และได้ร่วมงานกับวิลลิส บรูซเหมือนผู้คุ้มกันประตูที่มีความกระตือรือร้นมาก เขารู้ว่าอะไรเหมาะกับจอห์น แม็คเคลน และอะไรคือสิ่งที่ใช่สำหรับ Die Hard ผู้กำกับกล่าว ไม่มีใครรู้จักตัวละครและแฟรนไชส์นี้ได้ดีไปกวาบรูซแล้ว จอห์น แม็คเคลน ตัวละครของวิลลิสเดินทางมาถึงมอสโคว์และพบว่า แจ็ค ซึ่งดูไม่เหมือนคนร้าย ปฏิบัติหน้าที่นักสืบ CIA เป็นเวลา 3 ปีภายใต้ปฏิบัติการเพื่อคุ้มกันตัว โคมารอฟ โจรรัสเซียผู้กำความลับสำคัญ โคมารอฟเกิดสำนึกผิดบาปขึ้นมาจึงตั้งใจให้การเป็นพยานเรื่อง ชาการิน อดีตเพื่อนร่วมทีมมาขัดขวางด้วยความทะเยอทะยานในตำแหน่งทางการเมืองที่สูงขึ้น “นี่เป็นการพลิกแผนบทภาพยนตร์ เพราะแม็คเคลนต้องมาร่วมทีมด้วยอย่างไม่คาดฝัน เพื่อทำลายล้างอาชญากรผู้คิดวางแผนเอาไว้อย่างแยบยล” ยังกล่าว “ครั้งนี้เขาต้องทำลายความตั้งใจของลูกชายและปฏิบัติการลับเสี่ยงตาย บทของแจ็ค แม็คเคลนตกเป็นของนักแสดงหนุ่มชาวออสเตรเลีย ไจ คอร์ทนีย์ ผู้ร่วมแสดงในซีรี่ส์ปี 2010 เรื่อง Spartacus: Blood and Sand และรับบทเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวของทอม ครูซในภาพยนตร์เรื่อง Jack Reacher วิลลิสกล่าวเสริมว่า “ไจได้รับบทและดูเหมือนเขาเป็นคนในครอบครัวของแม็คเคลน” มัวร์เล่าว่า ไจใส่ไหวพริบและความอ่อนโยนลงไปในตัวละคร แถมยังมีบทบาทการแสดงมากกว่าที่เราคิดถึงแจ็คในตอนแรกด้วย เมื่อไจเข้ามาออดิชั่น เราพูดเลยว่าให้ไปลุยพร้อมพ่อกล้ามโตได้เลย เพราะเขานี่แหละเหมาะกับบทแล้ว ในฐานะของลูกชายตำรวจชื่อดังแห่งนิวยอร์ค แจ็ค ซึ่งเป็นตัวละครของคอร์ทนีย์ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เขาแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบในหน้าที่ ความกล้าหาญ และความเต็มใจวางชีวิตเดิมพันเสี่ยงตายเพื่อปกป้องคนอื่นเหมือนพ่อของเขา  “แจ็คใช้ชีวิตอยู่อย่างชาวรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และแทรกซึมเข้าไปในหลายกลุ่มเพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับชาการิน และต้องการแน่ใจว่าเขาไม่สามารถทำร้ายโคมารอฟในคุกได้” คอร์ทนีย์เล่าว่า “เขาตกใจตอนที่พบพ่อในช่วงวิกฤติและมากระชากหน้ากากเขาออก เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพ่อ อันที่จริงเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวเลยด้วยซ้ำไป    แจ็คตั้งใจพิสูจน์ว่าเขาจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยวิธีของตัวเอง เพราะเขาเป็นตัวของตัวเอง” วันขึ้นศาลของโคมารอฟใกล้เข้ามา แจ็คตั้งใจส่งตัวเองเข้าคุกเพื่อจับตาดูชาวรัสเซียอย่างใกล้ชิด เมื่อทั้งคู่ถูกส่งตัวขึ้นศาล แจ็คคาดการณ์ว่าเขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้ แต่หาใช่เช่นนั้นไม่ ชาการิส่งตัว เอลิค (ราชา บักวิค) ลูกน้องของเขาและเป็นหนึ่งในกองกำลังเสริมของทหารเข้าไปชิงตัวโคมารอฟที่ห้องไต่สวน การระเบิดอย่างสนั่นหวั่นไหวได้เหวี่ยงผู้สังเกตการณ์และคณะลูกขุนจนทะลุกำแพงออกไป “พวกคนร้ายบุกเข้ามาฉกตัวโคมารอฟไป จนพลิกเราเข้าสู่ดราม่าแบบเบรชเทียน” ผู้กำกับฯ จอห์น มัวร์ กล่าวติดตลก “การระเบิดตึกไม่ใช่วิธีสามัญในการชิงตัวใคร เพราะก่อความเสี่ยงให้เป้าหมายอย่างสูง แต่เนื่องจากแจ็คและโคมารอฟอยู่ในแหล่งปลอดภัย ถือว่ามีความรอบคอบมาก” แจ็คและโคมารอฟมีแผนหลบหนีจากการกวาดล้าง โดยมีจอห์น แม็คเคลนที่กำลังอึ้งไล่กวดพวกเขา แจ็คและโคมารอฟยึดรถบรรทุกไว้ได้ โดยมีเอลิคตามติดอย่างกระชั้นชิด ส่วนจอห์นประชิดเข้ามาด้วยพาหนะที่เขายืมมา พวกเขาต้องแสดงฉากขับรถไล่ล่าที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดในหนังร่วมกัน “เราใช้เวลาถ่ายทำ 82 วันบนทางหลวง วิ่งผ่านถนนที่มีความแคบ ข้ามสะพานและพังรถสภาพหรูไปหลายคัน” มัวร์กล่าว “นี่ล่ะความอลังการ” เมื่อโฉมหน้าของแจ็คถูกเปิดโปง เขากับพ่อพยายามพาโคมารอฟออกจากมอสโคว์ไปที่เชอร์โนบิลอย่างปลอดภัย ซึ่งที่นั่นเขาสามารถกู้เอกสารการกล่าวหาที่จะรอดพ้นจากชาการินไปได้ ชาวรัสเซียผู้เสียขวัญอยู่พบว่าตัวเองติดแหของพ่อลูกแม็คเคลนคู่อาฆาตที่มายื่นข้อเสนอที่โหดร้ายกว่าเรือนจำ เพราะจอห์นเริ่มอารมณ์เสียและพร้อมลุย แต่ทั้งสามพยายามหาทางหนีออกจากเมืองพร้อมสิ่งของสำคัญ และเริ่มเผชิญชะตากรรมไปด้วยกัน เซบาสเตียน คอช เล่าว่า “โคมารอฟหวาดระแวงพ่อลูกแม็คเคลน และพยายามใช้อำนาจในการตัดสินใจ เขาร่วมมือกับ CIA เพื่อจับตัวชาการิน แต่เขามีวิธีเอาชนะศัตรูในแบบของเขาเอง และมีจุดมุ่งหมายถึงชีวิตหลังการถูกกักขัง โคมารอฟมีลูกสาว (ยูเลีย ชไนเกอร์) ที่เขาไม่ลงรอยอยู่ จึงเข้าใจและเห็นใจในความห่างเหินระหว่างแม็คเคลนกับลูกชาย” “โคมารอฟเป็นคนที่ดูลึกลับ” คอชเล่าต่อว่า “เขาไม่ได้ดูน่าสงสารเสมอไป ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นเขา ผมมีอิสระในการค้นหาตัวละครอย่างเต็มที่ มีบ่อยครั้งที่อาศัยจากการเคลื่อนไหว บุคลิกและการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ จอห์นเปิดรับกว้างมาก ผลที่ได้รับคือผมสามารถแสดงเขาให้ดูเป็นคนลึกลับและมีความฉลาดท่ามกลางเรื่องวุ่นๆ ทั้งหมดได้” ถึงแม้ภาพยนตร์จะมีสัญลักษณ์แห่งความเป็นหนังแอ็คชั่น การแสดงบนหน้าจอของคอชร่วมกับวิลลิสและคอร์ทนีย์ทำให้ภาพยนตร์เรื่อง A Good Day to Die Hard มีกลิ่นอายของโรดมูฟวี่และการหลบหนีที่ตื่นเต้นเร้าใจ ตัวละครต้องร่วมเสี่ยงตายและผจญภัยกันอย่างน่าตื่นเต้น เมื่อพวกเขาต้องฝ่าฟันภูมิประเทศอันน่าเกรงขามพร้อมสิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ จนสุดท้ายทั้งสามอยู่ในห้องบอลรูมของโรงแรมเก่าแก่และถูกแก๊งค์มือปืนชาวรัสเซียล่าตัว จากการหลบหนีในชุดออกกำลังกายและรองเท้าวิ่งแบบอเมริกัน เอลิคและทีมงานของเขาทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของเงินนั้นเอง ไม่ได้ขโมยมาแต่อย่างใด ราช่า บักวิค เล่าว่า “เอลิคเป็นคนที่มีความซับซ้อน ดูสุภาพ พิถีพิถันเรื่องการแต่งตัว และมองว่าการเข่นฆ่าเป็นความสามารถพิเศษของเขาอีกด้านหนึ่ง เขาแค้นที่ชาวอเมริกันคู่ระห่ำทำลายแผนการของเขา แทนที่เขาจะบรรลุถึงปฏิบัติการอย่างรวดเร็วและไปงานเต้นรำ เขาวางแผนทำให้ทั้งคู่ต้องทรมานที่มาสร้างความยุ่งยาก แต่กลับต้องพบว่าความตายไม่ใช่วิธีง่ายๆ เลยหากเป้าหมายเป็นตระกูลแม็คเคลน” หลังจากเสียงปืนดังขึ้น พ่อลูกแม็คเคลนคิดแผนหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต และต้องสามัคคีกันเพื่อช่วยชีวิตโคมารอฟที่ตอนนี้ตกอยู่ในกำมือของลูกน้องเอลิค แจ็ค แม็คเคลนไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องหันไปหาจอห์นเพื่อขอความช่วยเหลือ ไจ คอร์ทนีย์ เล่าว่า “แจ็คปฏิบัติภารกิจอย่างมีแบบแผน ซึ่งน่าจะขัดกับแนวทางของพ่อที่เน้นจู่โจมและหวังผลเป็นเลิศ แต่ตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือตำรา เขาไม่มีทางออกและอยู่ในจุดวิกฤติ แต่สัญชาตญาณของพ่อเขาไม่เคยหยุดนิ่ง โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ และแจ็คได้เห็นมันอย่างชัดเจนในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ อาจจะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นด้วยซ้ำ ทำให้แจ็คเข้าใจและนับถือในตัวจอห์นมากขึ้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนเกมเลย” ระหว่างที่เขาหลบหนีออกจากมอสโคว์และเดินทางไปที่เชอร์โนบิล พ่อลูกแม็คเคลนต้องพบกับความอัศจรรย์ ความงดงามและบรรยากาศที่โหดร้ายแห่งชีวิตกลางคืนที่มอสโคว์ ทั้งรถหรู สาวสวย และการขู่เข็ญจากศัตรูผู้มีอิทธิพล พวกเขาขาดกันไม่ได้และต้องใช้โชคอย่างมหาศาล “นี่เป็นเรื่องราวของพ่อลูกที่พยายามเอาชนะภารกิจเสี่ยงตาย ขณะเดียวกันก็ประสานสายสัมพันธ์ที่เกิดการแตกร้าวไปด้วย” วิค ก็อดฟรีย์ เล่าว่า “ปฏิกิริยาแรกของแจ็คคือ ไปให้พ้นๆ เถอะพ่อ ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่สิ่งที่เขาอยากได้ยินจากพ่อคือ ลูกทำได้ดีแล้ว พ่อภูมิใจในตัวลูก ซึ่งนั่นคือความงดงามของเรื่องนี้ เราแสดงให้เห็นถึงปัญหาด้านความสัมพันธ์ภายในเรื่อง Die Hard ที่น่าตื่นเต้น” เจสัน เคลเลอร์ ผู้ร่วมเขียนบทฯ กล่าวเสริมว่า “จอห์นและแจ็คพบว่าตัวเองหลงทางอยู่ในวิกฤติสาหัสที่ไม่มีใครช่วยเหลือได้ แจ็คไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ส่วนพ่อก็ดึงเขาออกมาและบอกว่าเรายังมีทางเลือก จากนั้นช่วงเวลาสำคัญของภาพยนตร์ก็เกิดขึ้น เมื่อแจ็คเลือกทิ้งความทะนงตนไป และยอมรับในความช่วยเหลือของจอห์น ซึ่งตอนนี้เรามีคู่แม็คเคลนมาร่วมมือกัน มันเป็นอะไรที่ระห่ำกว่าคู่แสบของเราเคยยื่นข้อเสนอมาเลย” การสร้างภาพยนตร์ “มันต้องอยู่ในหนังเรื่องนี้!” จอห์น มัวร์ ผู้กำกับฯ ตะโกนอ่ยางดีใจหลังกล่าวคำว่าคัท ทั้งควัน ฝุ่น ผุยผงค่อยๆ ลอยขึ้นบนอากาศเมื่อนักแสดงก้าวออกกมาจากห้อง และทีมงานเริ่มทำความสะอาดฉากการทำลายล้างที่ บรูซ วิลลิส และ ไจ คอร์นีย์ เพิ่งพังฉากเซฟเฮาส์ไป หลังจากการเก็บบรรยากาศในเรื่อง 2-3 สัปดาห์ การถ่ายทำวันนี้ร้อนระอุขึ้น เพราะมีฉากแอ็คชั่นอันเร้าใจที่ผู้ชมคุ้นเคยในแฟรนไชส์ “นี่สิถึงรู้สึกว่าเรากำลังสร้างหนังเรื่อง Die Hard” วิลลิสกล่าว ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม นักแสดงและทีมงานมารวมตัวกันที่ Express Building ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ได้รับความสนใจและเก่าแก่มากที่สุดในบูดาเปสต์ ตั้งอยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามกับ Freedom Square Park อาคารนั้นถูกก่อสร้างขึ้นเมื่อปี 1880 และเคยเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการตรวจการณ์ และเป็นที่พักของนายทหารเรือแห่งอุตสาหกรรมเดินเรือแม่น้ำดานูบ ด้านนอกของตึกมีการตกแต่งด้วยรูปปั้นเรือและสัญลักษณ์ทางทะเล พื้นที่ขนาดเล็กรอบอาคาร บันไดวงกลม ระเบียงหล่อด้วยเหล็ก ห้องที่เชื่อมต่อกันอย่างคดเคี้ยววกวน และบริเวณห้องโถงที่ทำให้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ยอดนิยมในบูดาเปสต์ ผู้ออกแบบฉาก แดเนียล ที. ดอร์แรนซ์ และทีมงานของเขาได้สร้างกองบัญชาการสายลับ CIA และเซฟเฮาส์ขึ้นมา ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติภารกิจของแจ็ค แม็คเคลนที่ควบคุมโดยผู้บัญชาการของเขา สายลับคอลลินส์ (โคล ฮาวเซอร์) ภายในห้องเต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์ แผนที่บนผนัง อุปกรณ์ควบคุมดูแล เครื่องแสกนความถี่วิทยุ และพลาสติกห่ออาหารจานด่วนที่จำเป็น หลังเกิดการสลายตัวที่สำนักงานศาล พ่อลูกแม็คเคลนและโคมารอฟถอนตัวไปที่เซฟเฮาส์ คอลลินส์ตกใจเมื่อพบว่ามีพ่อของแจ็คติดสอยห้อยตามมาด้วย มันเป็นช่วงเวลาที่เกิดความเครียดและอาจเกิดความรุนแรงขึ้นได้ “คอลลินส์โกรธที่แจ็คฝ่าระเบียบและลากพ่อเข้ามายุ่งเกี่ยวในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของภารกิจ” ฮาวเซอร์กล่าว “เขาไม่รู้เลยว่าแผนการภารกิจได้ล่มสลายแล้ว” สายลับคอลลินส์ต้องเผชิญหน้ากับความจริง เมื่อลูกน้องของเอลิคระเบิดตึกและยิงกราดตามมา ภายในช่วงเวลา 5 วันกับฉากนับร้อย ทีมการถ่ายทำต้องระเบิดฉากให้แหลกเป็นจุล สายเคเบิลเฟืองล้อดึงนักแสดงผาดโผนผ่านหน้าต่าง และเหวี่ยงพวกเขาลงมายังพื้นด้านล่างที่ความสูง 80 ฟุต สายเคเบิลที่กระจุยกระจายจำนวนมากออกแบบโดยผู้ควบคุมสตั๊นท์ สตีฟ ดาวิสัน นักแสดงผาดโผนกว่า 50 ชีวิตเป็นทั้งชาวอเมริกา ฮังการี เช็ก และสโลวาเกียต้องร่วมงานกันในฉากพิเศษ ตั้งแต่การตกแบบอิสระ มีการใช้เฟืองล้อดึง และใช้รอกในฉากการไล่ล่าทางรถยนต์อันยิ่งใหญ่ รวมถึงฉากโจมตีด้วยเฮลิคอปเตอร์ด้วย “เรามีนักแสดงผาดโผนที่เก่งที่สุดในโลกอยู่ในเรื่องนี้ และมีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดกันทั้งทีม” ดาวิสันกล่าว “การแสดงในเรื่อง Die Hard เป็นเหมือน Super Bowl ของหนังแอ็คชั่น นักแสดงผาดโผนทุกคนที่อยู่ในวงการต่างอยากมีส่วนร่วมในการแสดงนี้” ในฐานะหัวหน้าโคชและกรรมการของแฟรนไชส์เรื่อง “Super Bowl” ภาคใหม่คือ ผู้กำกับฯ จอห์น มัวร์ ที่ได้รับมอบหมายให้พาซีรี่ส์ไปยังก้าวต่อไป เอกลักษณ์ด้านภาพและประสบการณ์ด้านหนังแอ็คชั่นตะวันออกอย่าง Behind Enemy Lines และ Max Payne ได้โน้มน้าวให้ผู้บริหารและผู้อำนวยการสร้างแห่ง Fox ว่าเขาสามารถผลักดันทุกอย่างได้อย่างคล่องตัว ยังเล่าว่า “จอห์นมีจินตนาการด้านการพัฒนาการแสดงอย่างชัดเจน เหมือนอย่างที่หนังเรื่อง Bourne และ  Bond เคยพัฒนาและตราตรึงเอกลักษณ์ไว้ในเรื่อง เขาใส่สไตล์ภาพแบบใหม่ๆ ลงไปในแฟรนไชส์และมีสุดยอดฉากแอ็คชั่นหลายฉาก และเขายังเข้าใจประเด็นสำคัญของเรื่องราวประสาพ่อลูกอย่างลึกซึ้งอีกด้วย ภารกิจนี้ได้รับความกดดันและความคาดหวังอย่างมหาศาล แต่เขาก็ไม่คยย่อท้อแม้แต่วินาทีเดียว” การทำงานต้องใช้ความพยายามแต่ไม่เคยย่อท้อเลย “ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับเราเลยที่จะใช้เวลานาน 12 ชั่วโมงกับการถ่ายทำภาพยนตร์ที่จะปรากฏบนจอเพียง 3 วินาที แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่น” มัวร์อธิบาย “นี่ไม่ใช่การถ่ายทำภาพยนตร์แบบดิจิตอล เราต้องใช้กล้องเก็บภาพให้ได้มากที่สุด และใช้วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์เป็นตัวเสริมหรือแต่งภาพฉากหลังเท่านั้น” สำหรับความสนุกสนาน ร่าเริง และชีวิตชีวาในฉาก มัวร์รู้สึกดีใจที่การถ่ายทำผ่านพ้นไปด้วยดีโดยการเขย่ากระดิ่งเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเวทีของเขา สำหรับการสร้างผลงานวิชวลในฉาก มัวร์ต้องการให้การถ่ายภาพสามารถใช้กล้องแฮนด์เฮลด์ได้เกือบทั้งหมด มีการใช้กล้อง 3 ตัวกับเลนส์ตัวยาวในการจับภาพโคลสอัพแบบไม่มีช่องว่าง การเคลื่อนไหวของกล้องตามจริงจะพาผู้ชมเข้าสู่ฉากแอ็คชั่นเหมือนพวกเขาได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว แทนที่จะถูกแยกเหมือนเป็นผู้ชมที่สังเกตจากระยะไกล วิค ก็อดฟรีย์ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อีก 2 เรื่องร่วมกับมัวร์ เล่าว่า “ช่วงที่มีความสุขที่สุดในการสร้างภาพยนตร์คือ ตอนที่จอห์นดึงความแปลกใหม่ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง หรือสิ่งที่เขาไม่ได้เตรียมการมาก่อนในฉาก ความกระตือรือร้นของเขามันแพร่ไปทั่วเลย” มัวร์เล่าว่า “แม็คเคลนต้องอยู่ต่างแดน ในสภาพแวดล้อมที่แทบไม่มีการควบคุมใดๆ เขาคาดเดาอะไรไม่ได้เหมือนอย่างที่เคย เขาถูกจู่โจมโดยไม่ระวังตัว และเราต้องการให้กล้องถ่ายทอดความแปลกใจและความวุ่นวายนั้นได้” ดอร์แรนซ์กับผลงานด้านศิลปะและแผนกการก่อสร้างของเขา (มีสมาชิกรวม 350 คน) สร้างฉากในหนังขึ้นมา 58 ฉาก ซึ่งในฉากเหล่านั้นมีฉากขนาดกลางราว 30 ฉาก และฉากขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญอีก 10 ฉาก ตามที่ดอร์แรนซ์เล่าให้ฟัง พื้นที่การก่อสร้างฉาก 500,000 ตารางฟุตมีฉากผุดขึ้นมาพร้อมกันทั้งหมด 3 ฉากที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดถูกสร้างขึ้นในโรงถ่ายของสตูดิโอRaleighในบูดาเปสต์ รวมถึงสำนักงานศาลที่อ้างถึงข้างต้นช่วงที่แจ็คและโคมารอฟหลบหนีกันตอนแรกด้วย หลังจากมีการรื้อถอน ฉากนั้นมีการสร้างใหม่เป็นห้องบอลรูมขนาดใหญ่ของ “Hotel Ukrainia” ฉากภายในที่เป็นโพรงขนาดใหญ่กินพื้นที่ของฉาก 6 โดยส่วนใหญ่ของRaleighถูกออกแบบขึ้นมาตามที่ดอร์แรนซ์บอกว่าเป็น “สถาปัตยกรรมสไตล์ Rocco ที่มีสีร้อนแรง” ห้องบอลรูมที่มีขนาด 150’ x 80’ ถูกปูพื้นด้วยหินอ่อนปลอม หินอ่อนแต่ละแผ่นต้องใช้มือติดลงไปบนอ่างอาบน้ำด้วยสีสันโทนอ่อนที่หลากหลาย เพื่อให้ได้แสงสะท้อนจากหินอ่อน ช่างทาสี 20 คน ช่างไม้ 80 คน และช่างโลหะอีก 10 คนต้องใช้เวลาทำงาน 8 สัปดาห์เพื่อสร้างฉากมูลค่า 450,000 เหรียญ โดยร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับ SFX และฝ่ายสตั๊นท์ ห้องถูกประดับตกแต่งด้วยโคมไฟระย้าที่โดดเด่น เก้าอี้ เปียโน ขณะที่กำแพงและเสาถูกออกแบบด้วยรูกระสุนที่ถูกกำหนดไว้ ซึ่งถูกชนวนอุดเอาไว้ ท้ายที่สุดแม็คเคลนต้องหนีหลบกองกระสุนด้วยการกระโดดข้ามบาร์เสิร์ฟเหล้า ซึ่งถูกตัดออกและใช้กระจกที่แยกตัวกันมาติดแทน กระจกหน้าต่างทำจากกระจกทัฟเฟนที่ออกแบบมาให้แตกได้ละเอียดยิบ ส่วนกระจกตกแต่งเพดานใช้กระจกฝ้า ทุกอย่างจะหล่นลงมาใส่พวกแม็คเคลนในช่วงสาดระเบิด ซึ่งเป็นที่นับถือกันในภาคแรกตอนที่กระจกแตกละเอียดลงบนเท้าเปล่าของจอห์น ห้องบอลรูมที่สวยงามหลังนี้ต้องใช้เวลาสร้างและตกแต่งไฟนานหลายเดือน ห้องนี้ต้องถูกทำลายล้างลงในช่วงถ่ายทำเพียงอาทิตย์กว่า ช่วงที่เผชิญหน้ากับเอลิค ในการเผชิญหน้ากับเอลิค พวกแม็คเคลนถูกเฮลิคอปเตอร์ที่บินโฉบอยู่ด้านนอกของห้องบอลรูมกราดกระสุนใส่ การทำลายล้างอย่างยิ่งใหญ่จำนวนมหาศาลนี้เกิดขึ้นได้ในภาพยนตร์เรื่อง Die Hard เท่านั้น จากการกำหนดเวลาอย่างรอบคอบ และการให้ความร่วมมือจากรัฐบาลชาวฮังการีอย่างมาก ทำให้ในฉากการถ่ายทำสามารถใช้เฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi:24 ของกองกำลังทหารได้ Mi:24 ผลิตขึ้นโดยชาวรัสเซีย ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้งานคล่องตัวที่สุดในกองทัพอากาศสหภาพโซเวียตเมื่อครั้งอดีต โดยถูกเก็บสำรองไว้โดยกองทัพอากาศฮังการีและค่อยๆ ใช้เครื่องบิน NATO แทน กองถ่ายได้รับสิทธิ์ในการใช้เครื่องบินหนึ่งในนั้นเพียงไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่จะถูกระบุว่าปลดออกจากประจำการ และได้รับอนุญาตให้บินเหนือน่านฟ้าบูดาเปสต์ที่ความสูงมากสุดและต่ำสุดตามที่ได้รับบอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ ผู้ควบคุมฉาก กาเบอร์ วาราดี้ ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับกองทัพอากาศฮังการี และนับถือในการอนุญาตเรื่องกฏการบินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน วาราดี้เล่าว่า “เราได้รับอนุญาตให้บินเฮลิคอปเตอร์เหนือพื้นดินที่ความสูงราว 50 เมตรได้ ตามกฏอนุญาตคือ 900 เมตร จอห์น มัวร์ต้องการให้ประตูเฮลิคอปเตอร์เปิดจากทางด้านซ้าย โดยที่นักแสดงอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย โดยปกติแล้วคำขอพวกนี้จะไม่เป็นที่อนุญาต แต่เนื่องจากนี่คือ Die Hard และบรูซ วิลลิสเป็นนักแสดงที่ได้รับความนิยมมากในฮังการี จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มากกว่าเรื่องเฮลิคอปเตอร์พวกนั้น” การเสี่ยงและการกลัวความสูงเกิดขึ้นมาในความรู้สึกของยูเลีจย สไนเกอร์ เมื่อบอกเธอว่าต้องเข้าไปอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ที่เปิดประตูไว้และต้องบินเหนือน่านฟ้าของบูดาเปสต์ คำตอบรับแรกของเธอคือไม่มีทาง “ฉันกลัวความสูง ฉันกลัวมากจนมองออกไปนอกระเบียงไม่ได้ด้วยซ้ำ” สไนเกอร์ยอมรับว่า “ฉันตัวแข็งทื่อเลย แต่เดินไปที่ห้องแต่งตัว สวมบทบาทตัวละคร และออกมาด้วยความพร้อม คุณจะเห็น เออริน่า ตัวละครของฉันมีความกล้าและแข็งแกร่งกว่าฉันมาก ในฐานะของยูเลียฉันไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลย แต่ในฐานะของเออริน่า ฉันต้องไม่เกรงกลัวอะไรเลย มันกลับเป็นประสบการณ์สุดมหัศจรรย์จริงๆ ฉันได้เห็นทิวทัศน์ทั่วทั้งเมืองบูดาเปสต์ที่ความสูงนับหลายร้อยเมตรกลางอากาศ” นอกจาก Mi:24 ในภาพยนตร์มีการนำเสนอ Mi:26 ของชาวรัสเซียที่ชื่อ “Halo” ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนัก 25 ตันและสามารถบรรทุกน้ำหนักเพิ่มอีก 25 ตันได้ (กล่าวกันว่ามีสิ่งเดียวที่มีพลังพอในการขนส่ง Mi:26 ทางเครื่องบินได้คือ Mi:26) เฮลิคอปเตอร์มีความยาว 38 เมตร มีห้องนอนกว้าง 60 เมตร เครื่องยนต์ 30,000 พลังม้า 8 ใบพัด แต่ละใบยาว 14 เมตร ความเร็วสูงสุด 250 น็อต จอห์น มัวร์ เป็นผู้ที่ชื่นชอบเรื่องเครื่องบิน (มีกล่องนิตยสาร “Air Forces Monthly” เป็นเครื่องยืนยัน) เขากล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ Mi:26 ปรากฏโฉมในภาพยนตร์ตะวันตก ถือเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ได้เผยโฉมเจ้ายักษ์ลำนี้ และได้ทำอะไรที่ไม่เคยลองทำมาก่อน” หากเฮลิคอปเตอร์เปรียบเสมือนน้ำตาลโรยหน้า ตัวเค้กคงต้องเป็นฉากไล่ล่าของรถยนต์ที่ใช้เวลาถ่ายทำเกือบ 2 เดือนครึ่ง รวมถึงยานพาหนะอีกนับร้อย Mercedes Benz มอบรถมูลค่านับหลายล้านเหรียญและรถบรรทุกอีกหลายคันให้สำหรับถ่ายทำ รวมถึงสาม “พระเอก” ที่ใช้ขับไล่ล่าอย่าง GL ซีรี่ส์ SUV รถตู้ Sprinter และ Unimog ยานพาหนะของกองกำลังทหารที่มีความแข็งแกร่งและมีหน้าตาโดดเด่นแบบสไตล์ยุโรป ความมานะพยายามอย่างใหญ่หลวงต้องยืดเวลาการถ่ายทำเป็นตลอดช่วงซัมเมอร์ พาหนะ 12 คนถูกใช้โดยมีคนขับรถผาดโผนแตกต่างกันไป ในความเป็นจริงฉากผาดโผนทั้งหมดที่ใช้คน 190 คนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อถ่ายบรรยากาศของการไล่ล่า นำทีมโดยผู้กำกับกอง 2 โจนาธาน เทย์เลอร์ และผู้ช่วยผู้กำกับฯ ฌอน เกสต์ ฉากโคลสอัพและบทสนทนาถ่ายทำกันที่ฉากหลัก  นักแสดงผาดโผนต้องอยู่ประจำที่บนถนนบูดาเปสต์ ในฉากรถบรรทุกที่พลิกคว่ำ รถชน และการแข่งรถขนาดใหญ่ที่มุมถนนแคบๆ เทย์เลอร์ถ่ายทำฉากขับรถไล่ล่าด้วยกล้องหลายตัวในทุกเทค โดยไม่ได้ตั้งเลนส์อยู่บนพาหนะตั้งกล้องและขับรถบรรทุกไล่ล่าเท่านั้น แต่ในรถที่ถูกชน รถที่ผ่านไปมา มอเตอร์ไซค์ หน้าต่างอาคาร และบริเวณที่เราจะนึกขึ้นมาได้ ฌอน เกสต์เล่าว่า “เราไปให้ถึงระดับที่กำหนด จากนั้นค่อยพัฒนาขึ้นอีกหน่อย” การใส่ใจด้านความพิถีพิถันอยู่ที่ตัวยานพาหนะ “ฮีโร่” ที่ขับขี่โดยแจ็คและโคมารอฟ (รถตู้ Sprinter) และจอห์น แม็คเคลน (Unimog และ G Wagon) ต้องมีการใช้ยานพาหนะของพระเอกแต่ละคนหลายรุ่น บางรุ่นออกแบบภายนอกเป็นพิเศษ โดยมีการตั้งพาหนะเคลื่อนที่ด้านหน้าสำหรับนักขับผาดโผน ทำให้กล้องเก็บภาพนักแสดงในห้องโดยสารของรถบรรทุกได้โดยไร้สิ่งกีดขวาง เอลิค “ขับรถไล่ล่า” ด้วยยานพาหนะที่ดูน่าเกรงขามบนถนน นั่นคือ MRAP (Mine Resistant, Ambush Protected) เครื่องยนต์ที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อโซนสมรภูมิที่สามารถทำลายทุกอย่างที่ขวางทางได้ ผู้สร้างภาพยนตร์ตัดสินใจตั้งแต่ช่วงเนิ่นๆ ให้ออกแบบและสร้าง MRAPs แทนที่จะจัดซื้อแบบสำเร็จรูป เพื่อให้ออกแบบเครื่องยนต์ที่เน้นการใช้สอยเป็นพิเศษ โครงรถยนต์หลักของ MRAP มาจากรถบรรทุก ZIL ที่ผลิตในรัสเซีย เครื่องประกอบพร้อมขนาด 8 ลิตร  500 แรงม้าเครื่องยนต์ Dodge Ram ผลิตแกนชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่หมุนได้ขึ้นมาเป็นพิเศษ สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนบนท้องถนนได้ด้วยยางรถแข่ง มีความสูง 9 ฟุต กว้าง 8 ฟุต น้ำหนัก 8,000 ปอนด์ มูลค่า 200,000 เหรียญ จอห์น มัวร์ เล่าว่า “ข้อมูลตัวเลขน่าทึ่งมาก มีความเร็วเป็น 3 เท่าราวกับรุ่นของกองกำลังทหาร ร้ายกาจไม่เบาเลย!” มีฉากหนึ่งที่แม็คเคลนพยายามขับไล่ให้ทันรถที่นำหน้า 2 คัน โดยการโหม่งรถผ่านที่กีดขวาง และขับซ้อนรถคันอื่น นักแสดงผาดโผน แลร์รี่ ไรเพนโครเกอร์ต้องทำหน้าที่แสดงฉากผาดโผนนี้ ซึ่งการถ่ายทำเรียกว่าเป็น “gridlock stepladder” วิลลิสเองก็ถ่ายทำฉากขับรถ gridlock stepladder ด้วยตัวเองอยู่บ้าง รวมถึงการบังคับ G wagon ให้ผ่านท่อคอนกรีตขนาดยักษ์ และควบคุมหลังจากรถพลิกหลายตลบ ฉาก gridlock stepladder มีการถ่ายทำที่ส่วนหนึ่งของ “Hungaroring” สนามแข่งรถ Formula 1 การถ่ายทำต้องใช้การเช่าสถานที่ระยะยาวบนบริเวณที่จอดรถบนหญ้าในสนาม ทำให้มีความปลอดภัยไร้กังวลสำหรับการขับรถผาดโผนสำหรับฉากขับรถผาดโผนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานมาก และเสี่ยงต่อการแสดงบนพื้นผิวถนน มีการใช้ยางมะตอยแอสฟัลต์ขนาด 350 ฟุตเสริมเข้าไป รวมถึงสะพานข้ามที่มีกำแพงกั้น 2 ด้าน ที่ถูกกั้นบริเวณเอาไว้ ด้วยกรีนสกรีนขนาดใหญ่ที่สุดจากที่เคยประกอบเข้ากัน มีความยาว 750 ฟุตและสูง 45 ฟุต เราสังเกตได้จากพื้นที่นี้” แดน ดอร์แรนซ์ กล่าวติดตลก กรีนสกรีนขนาดยักษ์ทำให้แผนกวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ต้องเพิ่มการถ่ายทำของเส้นขอบฟ้า และการจราจรของมอสโคว์ ขณะที่บูดาเปสต์รับหน้าที่ของเมืองอันเจิดจรัส ผู้อำนวยการสร้างเล่าว่าลักษณะบางอย่างของเมืองรัสเซียไม่อาจหลอกลวงได้ สิ่งที่บูดาเปสต์ไม่มีคือความอลังการของมอสโคว์ ซึ่งมีสถาปัตยกรรมที่งดงามและน่าหลงใหล  การถ่ายทำภาพยนตร์ในสถานที่จริง 32 แห่ง มีการใช้สถานที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดของเมือง และจัตุรัสที่สวยงามราวกับภาพวาด ที่ได้แรงบันดาลใจจากฝรั่งเศสอย่างAndrassy AvenueและElizabethBridgeรวมถึงจุดพักอันเป็นที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอย่างHeros Square(“Hosok Ter”) ที่ตกแต่งด้วยรูปปั้นขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของฮังการี Heros Squareเป็นทางเข้าสู่สวนสาธารณะขนาดใหญ่ และถูกจัดเป็นมุมพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของประเทศ 2 แห่ง หนึ่งในนั้นคือMuseumofFine Artsจำลองเป็นภายนอกห้องพิจารณาคดีที่โคมารอฟและแจ็ค แม็คเคลนถูกนำเข้ามาเพื่อเผชิญหน้า นั่นเป็นฉากแห่งความโกลาหลและผ่านพ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มีผู้ประท้วงนับร้อยมาประจานโคมารอฟเรื่องอาชญากรรมต่อรัฐที่เขาถูกกล่าวหา เจ้าหน้าที่บูดาเปสต์ตัวจริงและเจ้าหน้าที่กองกำลังทหารตัวจริงมาเข้าฉากเป็นนักแสดงสมทบด้วย พร้อมกับยานพาหนะตำรวจ รถถัง ธงและสัญลักษณ์การประท้วงต่างๆ การถ่ายทำได้รับความช่วยเหลืออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สำหรับการเข้าสู่สนามบินFranzLisztAirportของบูดาเปสต์ (แทนที่ New York La Guardia) เพื่อเป็นฉากที่ได้พบกับแมรี่ เอลิซาเบ็ธ วินสเล็ต ผู้กลับมารับบทเป็น ลูซี่ แม็คเคลน ลูกสาวของจอห์น “บางครั้งก็รู้สึกเหมือนมันเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน ตอนที่ได้ถ่ายทำ Live Free หรือ Die Hard บางครั้งก็รู้สึกเหมือนมันผ่านมานานแสนนาน” วินสเล็ตเล่าว่า “มีการกล่าวถึงน้องชายของลูซี่ในภาคแรกๆ และตอนนี้ฉันตื่นเต้นเมื่อได้พบว่าเขาคือไจ! ฉันชอบที่บทระหว่างจอห์นกับลูซี่มีความกำกวม เพราะมันเหมือนกับครอบครัวส่วนใหญ่ที่พวกเขาจะวนเวียนอยู่กับเรื่องที่ทำให้ลำบากใจหรือเจ็บปวด” ขณะที่สถานที่เกือบทุกแห่งในภาพยนตร์ถ่ายทำในบูดาเปสต์ กองถ่ายมีการเดินทางไปเมืองใกล้ๆ ที่ห่างจากเมืองชั่วโมงหนึ่ง และพบกับเมืองเชอร์โนบิลที่มีความน่าสนใจและยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่ง ที่นั่นเป็นอดีตฐานทัพโซเวียตที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านของ Kiskunlachaza โดยทิ้งฐานทัพไปหลังจากมีการพังทลายของUSSRทำให้มีบรรยากาศแห่งความน่ากลัวอยู่พอตัว สถานที่เสื่อมโทรมน่ากลัวได้รับการตกแต่งจากทีมงานศิลป์ของดอร์แรนซ์ด้วยรูปปั้นโซเวียต และจิตรกรรมฝาผนังอาคารคอนกรีตที่มีสภาพเสื่อมโทรม รถถังที่เช่ามาจากกองทัพ รถจี๊ป และรถบรรทุกจอดอย่างไม่เป็นระเบียบทั่วทุกแห่ง นอกจากการเพิ่มวัตถุขนาดใหญ่เข้าไปในตึกแห่งหนึ่งแล้ว แผนกศิลป์ได้หล่อคอนกรีตขนาดยักษ์เพื่อทำเป็นที่จอดเฮลิคอปเตอร์ Mi: 26 ที่มีบทบาทสำคัญในฉากตอนจบด้วย นักแสดงและทีมงานต่างกลัวสถานที่ในเชอร์โนบิล เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงช่วงเย็นวันที่ 23 มิถุนายนเป็นวันแรกของการถ่ายทำอย่างต่อเนื่อง 8 คืน “มันน่าเหลือเชื่อมาก ผมไม่เคยพบอะไรแบบนี้มาก่อนเลย” เซบาสเตียน คอช เล่าว่า “ฉากให้ความรู้สึกถึงความรกร้างปนหลอนที่เราอดจินตนาการ เอาตัวเองย้อนกลับไปอยู่ในวันเวลาและสถานที่นั้นไม่ได้เลย” Mi:26 ถูกเตรียมไว้เป็นพาหนะสำหรับการหลบหนีของเอลิคและลูกน้องของเขา แต่พ่อลูกแม็คเคลนมีพาหนะอื่นอยู่ในใจแล้ว การบินและการจอดเฮลิคอปเตอร์ขนาดยักษ์จำเป็นต้องใช้ทีมงาน 6 คน เสียงและความแรงของเครื่องไม่เป็นที่น่าปลื้มนัก จนเราต้องยืนห่างออกไปนับร้อยหลา เจ้า “Halo” ถูกยืมตัวมาจากสาธารณรัฐเบลารุสต้องขนย้ายตัวเครื่องข้ามชายแดนเบลารุส/ยูเครน/ฮังการี โดยการขอใบอนุญาตจำนวนมากและการส่งใต้โต๊ะก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นในตัวมันอยู่แล้ว สรุปได้ว่าต้องใช้เวลาวางแผน 6 เดือน การเดินทางที่ล่าช้า 1 อาทิตย์ มีความวกวน การเดินทางที่ยาวนานบนทางหลวงพร้อมการอารักขาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ครอบคลุมพื้นที่ 1,300 กิโลเมตรและอยู่ในพื้นที่ใกล้ชิดกับสะพานระดับต่ำ เพื่อป้องกันสิ่งที่อาจเกิดขึ้นรอบ Mi:26 พ่อลูกแม็คเคลนต้องหาทางไปตึกธนาคาร และหายตัวไปจากบันไดเพื่อก้าวสู่บทต่อไป ต่อมาเมื่อบรูซและไจปรากฏตัวขึ้นที่ดาดฟ้าธนาคาร พวกเขาขึ้นเครื่องบินไปทันทีด้วยเวทมนตร์จากการสร้างภาพยนตร์ ไปที่ฉากใหม่ซึ่งห่างออกไป 50 ไมล์ที่ Raleigh Studios ในความเป็นจริงแล้วฉากที่เชอร์โนบิลยังรวมถึงฉากขนาดใหญ่อีก 3 ฉากที่ถูกออกแบบมาให้ดูเชื่อมโยงกัน ได้แก่ ฐานทัพทหารที่ Kiskunlachaza ดาดฟ้าด้านนอกฉากที่ Raleigh และฉากภายในธนาคารที่สร้างขึ้นในโรงถ่าย 4 ซึ่งสถานที่สุดท้ายถูกปรับเปลี่ยนจากฉากห้องพิจารณาคดี และเพิ่มสถาปัตยกรรมและของตกแต่เข้าไป ภายในธนาคารเกป็นฉากด้านในที่มีขนาดใหญ่และน่าสนใจที่สุดในภาพยนตร์ มีความยาว 300 ฟุต สูง 60 ฟุต กินพื้นที่คลุมโรงถ่าย 2 แห่งเต็ม มีพื้นที่ด้านนอกห้องโถงขนาดใหญ่ ประตูเหล็กวงกลมขนาดใหญ่ ห้องฝากเงินนิรภัย ประตูลับ และห้องเก็บของลับที่เรียงรายไปด้วยชั้นโลหะและลังทำให้ฉากมีความน่ากลัวแบบไซไฟ “สถาปัตยกรรมจำนวนมากของโซเวียตเปรียบเสมือนจินตนาการในโลกไซไฟที่ได้รับความนิยม ด้วยการออกแบบที่เรียบง่ายดูทันสมัย มีความงดงามสามารถใช้งานได้และมีขนาดใหญ่” ดอร์แรนซ์เล่าว่า “บริเวณนี้ดูน่าหดหู่ในช่วง 30 ปี เพราะมันระลึกถึงลางบอกเหตุเรื่องสารปนเปื้อน” ดอร์แรนซ์และผู้ตกแต่งฉาก จิล เอซิส ตกแต่งล็อบบี้ส่วนกลางที่มีขนาด 80 x 80 ฟุตด้วยเครื่องพิมพ์ดีดโบราณ ตู้เก็บเอกสารโลหะ เก้าอี้โต๊ะทำงานแบบหมุนที่ดูคลาสสิค และโคมไฟยุค 70 เอซิสหาแหล่งชิ้นส่วนของโซเวียตจากอังกฤษ ออสเตรีย และฮังการี โดยเฉพาะการไปซื้อของในตลาดเปิดบูดาเปสต์ ซึ่งยังเป็นสถานที่ที่ดูดีอยู่จากเหตุการณ์ยุคคอมมิวนิสต์ พวกเขายังพบกล่องเก็บเงินโลหะปี 1980 จากดินแดนที่อยู่ห่างไกลอย่างโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดที่พวกพระเอกปล้นแบงค์เก่าก่อนเอาไปขายบน eBay ผู้อำนวยการสร้าง วิค ก็อดฟรีย์ เล่าว่า “แดนกับจอห์นร่วมงานกันอย่างเข้าขาในทุกฉาก มีการถ่ายทอดอารมณ์ของบรรยากาศในฉากผ่านการออกแบบฉากได้ เช่น บริเวณภายในแบงค์มีการสื่ออารมณ์แห่งความน่ากลัวว่า เราจะพบกับอะไรจากที่นี่บ้าง? แทรกซึมไปถึงฉากทั้งหมดที่ได้บรรยากาศแบบหนังสยองขวัญ ส่วนฉากบนดาดฟ้าสร้างขึ้นที่ด้านนอกโรงถ่าย บางครั้งก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นอุโมงค์เลย” ดาดฟ้าของแบงงค์เป็นสถานที่สำคัญของการถ่ายทำสัปดาห์สุดท้ายที่ต้องถ่ายทำตอนกลางคืนตลอด โดยเรื่องราวทั้งหมดทำให้เกิดทะเลเพลิงจากการโจมตีของเฮลิคอปเตอร์ การระเบิด สาดกระสุน และแสดงถึงความกล้าในแบบฉบับของแม็คเคลน เมื่อเสร็จสิ้นช่วงโพสต์-โพรดักชั่นของโปรเจ็กต์สุดอลังการ ผู้สร้างภาพยนตร์ได้ใช้เวลาหวนกลับไปนึกถึงตัวเอง และอิทธิพลจากต้นฉบับเรื่อง Die Hard ที่เป็นอมตะ ผู้อำนวยการสร้างฯ อเล็กซ์ ยัง และ วิค ก็อดฟรีย์มีความทรงจำจากการชมภาพยนตร์อย่างชัดเจนว่ารู้สึกตะลึงอยู่ในโรงหนังมืดๆ หวาดกลัวกับสิ่งที่ได้รับชม “ผมไปดูหนังกับเพื่อน 2 คนที่Johnson Cityรัฐเทนเนสซี เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน” ก็อดฟรีย์เล่าย้อนไปว่า “เรารู้สึกได้ย้อนกลับไปเห็นภาพนั้นอีกครั้งทันที” ยังมีประสบการณ์ที่คล้ายกัน เขาเพิ่งเรียนจบไฮสคูลและต้องทำงานในช่วงซัมเมอร์ปี 1988 ที่ทัลซา “มีการโฆษณาหนังในรูปแบบ 70 มม. ซึ่งหาดูได้ยาก ผมเตรียมรถคันเก่าไปที่ห้าง และนั่งดูหนังด้วยความตะลึง มันน่าทึ่งจริงๆ” ยังได้ย้อนกลับไปเห็นภาพนั้นอีกครั้งเช่นเดียวกับก็อดฟรีย์ “นี่เป็นหนังยอดเยี่ยมที่สุดของอเมริกาเรื่องหนึ่ง ผมดูทุกครั้งที่มีการฉาย มันเป็นต้นแบบของผมเลย ผมอยากเป็นจอห์น แม็คเคลนจนถึงทุกวันนี้” จอห์น มัวร์ กล่าวปิดท้ายว่า บรูซสร้างมาตรฐานให้ Die Hard มาตั้งแต่ 25 ปีที่แล้ว ทั้งการกระโดดตึก วิ่งทะลุกระจก และแสดงทุกอย่างด้วยตัวเอง เราอยากรับผิดชอบการถ่ายทำให้ดูมีความสมจริงต่อไป ให้หนังแอ็คชั่นมีความยิ่งใหญ่อลังการและสนุกสนาน ประวัตินักแสดง บรูซ วิลลิส (จอห์น แม็คเคลน) พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถอันน่าทึ่งหลายด้านในการทำงาน ซึ่งรวมถึงการแสดงบทบาทหลากหลาย เช่น นักชกมวยอาชีพในภาพยนตร์ของควินติน ตารานติโน่ เรื่อง Pulp Fiction (คว้ารางวัล Palme D’Or ที่ Cannes ในปี 1994), ผู้รับเหมาจอมเจ้าชู้ในภาพยนตร์ของโรเบิร์ต เบ็นตัน เรื่อง Nobody’s Fool, ผู้เดินทางย้อนเวลาอย่างกล้าหาญในภาพยนตร์ของเทอร์รี่ กิลเลม เรื่อง 12 Monkeys ทหารผ่านศึกชาวเวียดนามในภาพยนตร์ของนอร์แมน เจวิสัน เรื่อง In Country, นักจิตวิทยาเด็กผู้มีความเมตตาในภาพยนตร์ของ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลานที่เข้าชิงรางวัล Oscar เรื่อง The Sixth Sense (ที่เขาได้รับรางวัล People’s Choice Award) และบทบาทนักสืบจอห์น แม็คเคลน ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาในภาพยนตร์เรื่อง Die Hard หลังจากการศึกษาที่ Montclair State College’s อันทรงเกียรติด้านการแสดงละคร ชาวนิวเจอร์ซีย์คนนี้จึงฝึกฝนฝีมือในการแสดงละครเวทีอีกหลายเรื่อง รวมถึงโฆษณาทางทีวีที่มากมายจนนับไม่ได้ ก่อนที่จะมาแสดงละครเวทีแนวดราม่าของแซม เชพาร์ด ปี 1984 เรื่อง “Fool for Love” ซึ่งเป็นการแสดงที่มากกว่า 100 ครั้งของ off-Broadway ต่อมาวิลลิสมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และได้รับรางวัลด้านการแสดงมากมาย เช่น Emmy และ Golden Globe สำหรับการรับบทแสดงเป็น เดวิด แอดดิสัน นักสืบเอกชนในซีรี่ส์ทางทีวียอดนิยม เรื่อง Moonlighting เขาได้ครองบทบาทจากคู่แข่งอื่นอีกกว่า 3,000 คน ในเวลาเดียวกันเขาแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกคู่กับคิม บาซิงเกอร์ ในภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ของเบลค เอ็ดเวิร์ด เรื่อง Blind Date ในปี 1988 เขาเริ่มแสดงบท จอห์น แม็คเคลน ในภาพยนตร์เรื่องดัง Die Hard หนึ่งในภาพยนตร์ที่กวาดรายได้สูงสุดแห่งปี ต่อมาเขากลับมาแสดงบทเดิมในภาพยนตร์ 4 ภาคต่อมา ได้แก่ Die Hard 2 (1990), Die Hard with a Vengeance (แชมป์บ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกปี 1995), Live Free, Die Hard (หนึ่งในภาพยนตร์ยอดนิยมของบ็อกซ์ออฟฟิศช่วงซัมเมอร์ปี 2007) และเรื่อง A Good Day to Die Hard ในตอนนี้ บทบาทมากมายของเขายังรวมถึงในการร่วมงานกับผู้สร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการนับถือ เช่น ไมเคิล เบย์ (Armageddon), เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (The Sixth Sense และ Unbreakable), อลัน รูดอล์ฟ (Mortal Thoughts, Breakfast of Champions), วัลเตอร์ ฮิล (Last Man Standing), โรเบิร์ต เบ็นตัน (Billy Bathgate, Nobodys Fool,), บ็อบ ไรเนอร์ (The Story of Us), เอ็ด ซวิค (The Siege), ลุค เบซอง (The Fifth Element), แบร์รี่ เลวินสัน (Bandits, What Just Happened), โรเบิร์ต เซเม็กคิส (Death Becomes Her) และโรเบิร์ต โรดริเกซ (Sin City, Grind House) ภาพยนตร์เรื่องอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ The Jackal, Mercury Rising, Harts War, The Whole Nine Yards (และภาคต่อ The Whole Ten Yards), The Kid,  Tears of the Sun, Hostage, 16 Blocks, Alpha Dog, Lucky Number Slevin และ Perfect Stranger เขายังให้เสียงพากย์เป็นตัวละคร มิคกี้ ทารกอัจฉริยะในเรื่อง Look Who’s Talking และ Look Who’s Talking Too รวมถึงตัวละครนำอาร์เจและสไปค์ในภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดนิยม เรื่อง Over the Hedge และ Rugrats Go Wild!  ตามลำดับ ในปีก่อนวิลลิสเพิ่มความสำเร็จให้ตัวเองด้วยภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์อีก 2 เรื่อง ได้แก่ ภาพยนตร์ของผู้กำกับฯ เวส แอนเดอร์สัน เรื่อง Moonrise Kingdom ที่วิลลิสและภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Independent Film Award และภาพยนตร์ไซไฟระทึกขวัญของผู้กำกับฯ เรียน จอห์นสัน เรื่อง Looper ซึ่งแสดงร่วมกับโจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ วิลลิสจะกลับมาร่วมงานกับเฮเลน เมอร์เรน, จอห์น มัลโควิช และ แมรี่ หลุยส์ ปาร์คเกอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง Red 2 ซึ่งเป็นภาพยนตร์ภาคต่อจาก Red ที่เข้าชิงรางวัล Golden Globe นอกจากผลงานของเขาเบื้องหน้าแล้ว วิลลิสยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Hostage และ The Whole Nine Yards รวมถึงอำนวยการสร้างเรื่อง Breakfast of Champions ที่ดัดแปลงจากนิยายขายดีของเคิร์ต วอนนีกัต เขากับเดวิส วิลลิส พี่ชายของเขาและหุ้นส่วนทางธุรกิจ สตีเฟ่น เอดส์ ได้ร่วมกันก่อตั้ง Willis Brothers Films บริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ตั้งอยู่ในลอสแองเจลิส วิลลิสยังให้ความช่วยเหลือด้านละครเวทีอีกด้วย ในปี 1997 เขาร่วมก่อตั้ง A Company of Fools ซึ่งมีคณะนักแสดงโรงละครที่ไม่แสวงหากำไร เพื่อพัฒนาและอนุรักษ์การแสดงละครเวทีเอาไว้ใน Wood River Valley of Idaho และทั่วสหรัฐฯ เขาแสดงและกำกับละครเวทีแนวดาร์กคอมเมดี้ของแซม เชพาร์ด เรื่อง True West ที่ Liberty Theater ใน Hailey, Idaho การแสดงเล่าเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกันระหว่างสองพี่น้อง มีการออกอากาศทางช่อง Showtime และเป็นการอุทิศแด่ โรเบิร์ต พี่ชายของวิลลิสผู้ล่วงลับไปแล้ว วิลลิสเป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง เขาเคยอัดเสียง 1986 Motown album The Return of Bruno, ซึ่งได้รับแผ่นเสียงแพลทินัมและครองอันดับ 5 ของ Billboard “Respect Yourself” สามปีต่อมา เขาบันทึกเสียงอัลบั้มที่ 2 If It Don’t Kill You, It Just Makes You Stronger ในปี 2002 เขาได้จัดทำ U.S. club tour ร่วมกับกลุ่มนักดนตรีของเขาที่ชื่อ Bruce Willis and the Blues Band และเขาเดินทางไปที่อิรักเพื่อแสดงให้เหล่าทหารอเมริกันรับชมด้วย                 ไจ คอร์ทนีย์ (แจ็ค แม็คเคลน) กลายเป็นนักแสดงที่ต้องการตัวมากที่สุด หลังได้รับการคัดเลือกให้มาแสดงคู่กับสองนักแสดงชื่อดังแห่งฮอลลีวูด ในภาพยนตร์ล่าสุดเรื่อง Jack Reacher นำแสดงโดย ทอม ครูซ และตอนนี้เรื่อง A Good Day to Die Hard ไจได้รับการคัดเลือกให้มารับบทตำรวจสายลับคู่กับโจเอล เอ็ดเกอร์ตัน และ ทอม วิลคินสัน ในเรื่อง Felony ซึ่งเป็นเรื่องราวของตำรวจผู้ติดเหรียญกล้าหาญ (เอ็ดเกอร์ตัน) ที่ปั่นจักรยานบนถนนหลังดื่มฉลองการทลายแก๊งค์ใหญ่กับเพื่อนได้ การกลับคำให้การเรื่องอุบัติเหตุของเขาได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของทุกคนไปตลอดกาล ไนเกิดและโตที่ทางตอนเหนือของซิดนีย์ เขามีพัฒนาการด้านการแสดงในช่วงแรกที่นั่น เขามีส่วนร่วมในการสนับสนุนแผนการแสดงละครสำหรับเด็กวัยรุ่น ทำให้เขามาออดิชั่นที่ National Institute of Dramatic Art หลังจมไฮสคูล ในปี 2004 ไจร่วมงานที่ Western Australian Academy of Performing Arts (WAAPA) ซึ่งเป็นสถาบันที่ได้รับการนับถือในเพิร์ธที่มีฮิวจ์ แจ็คแมน และฮีธ เลดเจอร์ ผู้ล่วงลับไปแล้วเป็นศิษย์เก่า เขาสำเร็จการศึกษาที่นั่นปี 2008 ไจเป็นนักแสดงรับเชิญในการแสดงของชาวออสเตรเลียยอดนิยม 2 เรื่อง Packed to the Rafters และ All Saints อย่างรวดเร็ว หลังจากปีนั้นเขาได้รับรางวัล Theatre Critics Award สาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากการแสดงในเรื่อง “The Turning” ที่Perth Theatre Company ในปี 2009 ไจได้รับบท แวร์โร ที่ต้องการมากที่สุดในทีวีซีรี่ส์ยอดนิยม เรื่อง Spartacus: Blood and Sand ตัวละครของแวร์โรสนิทกับสปาร์ทาคัสมากที่สุด จนกระทั่งเขาเสียชีวิตลงในตอนที่ 10 แฟนๆ การแสดงเกิดความไม่พอใจกับการตายของแวร์โร และยังไว้อาลัยให้กับการตายของเขาจนถึงทุกวันนี้บนเว็บไซต์และบล็อกแฟน Spartacus หลายแห่ง ต่อมาไจแสดงภาพยนตร์ของ Paramount เรื่อง Jack Reacher คู่กับทอม ครูซ และ เวอร์เนอร์ เฮอร์ซ็อก ภาพยนตร์ระทึกขวัญกำกับโดย คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รี่ เป็นเรื่องราวการสอบสวนเหตุฆาตกรรมของคนทั้ง 5 ที่เสียชีวิตอย่างไม่มีแบบแผน แต่ผลไม่เป็นอย่างที่พวกเขาเห็นในท้ายที่สุด หลังภาพยนตร์เรื่อง Jack Reacher ไจได้แสดงภาพยนตร์ของ Lionsgate เรื่อง I, Frankenstein คู่กับอารอน แอ็คฮาร์ตโดยทันที ภาพยนตร์เป็นการพลิกเรื่องราวคลาสสิคสยองขวัญ โดยไจรับบทเป็นผู้นำหนึ่งในสองลัทธิที่ต่อกรกันอย่างไม่รู้จบ โดยมีปีศาจไร้วิญญาณแฟรงเกนสไตน์อยู่ท่ามกลางพวกเขา ภาพยนตร์กำกับโดยสจ๊วต บีตตี้ มีกำหนดฉายปี 2013 ไจสร้างผลงานอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสร้างกระแสและรณรงค์หากองทุนผลิตภาพยนตร์สารคดีเรื่องยาว Be Here Now เกี่ยวกับแอนดี้ วิตฟิล์ด เพื่อนผู้ล่วงลับไปแล้วของเขาที่เสียชีวิตเมื่อ 18 เดือนหลังถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง non-Hodgkin แอนดี้ต้องการให้ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้มีประโยชน์และเป็นกำลังใจให้ผู้อื่นที่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็ง หรืออุปสรรคใดๆ ในชีวิต ภาพยนตร์สารคดีควบคุมโดย ลิลี่เบ็ต ฟอสเตอร์ ผู้สร้างภาพยนตร์สารคดีที่เข้าชิงรางวัล Academy Award เซบาสเตียน คอช (โคมารอฟ) เป็นนักแสดงชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียงที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลกจากบทบาทในภาพยนตร์เรื่องดัง The Lives of Others ที่ได้รับรางวัล Oscar สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวของนักสืบสายลับชาวเยอรมันตะวันออกในปี 1980 ที่หลงรักกับหญิงสาวของเป้าหมายที่เขาสะกดรอยตาม ล่าสุดคอชแสดงผลงานคู่กับเลียม นีสัน ในเรื่อง Unknown และแสดงในภาพยนตร์ของไมค์ ฟิกกิส ที่กำลังจะเข้าฉาย เรื่อง Suspension of Disbelief คอชเกิดที่ Karlsruhe ประเทศเยอรมันเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 1962 เขาใช้เวลาในวัยเด็กอยู่ที่ Stuttgart ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเยอรมัน ก่อนมาเป็นนักแสดงเขามุ่งมั่นกับการเป็นนักดนตรี แต่หลังจากได้ดูละครเวทีใน _ Stuttgart ของผู้กำกับฯ คลอส เพย์แมนน์ เขาจึงตัดสินใจว่าอยากมีอาชีพเป็นนักแสดง เขาเริ่มทำงานหลังจากจบการศึกษาที่ Otto Falckenberg School of Acting อันมีชื่อเสียงในมิวนิค โดยมีการแสดงละครเวทีในผลงานของชิลเลอร์ เรื่อง “Die Reuber โกธีเอส์ “Iphigenie” และ “Dirty Dishes” ของนิค วิตบี้ ในปี 2002 เขาได้รับรางวัล Bavarian Television Prize จากบทบาทของเขาในเรื่อง The Manns ที่ได้รับรางวัล Television Event of the Year ในปี 2002 เขาได้รับความสนใจจากทั่วโลกด้วยการรับทแสดงเป็น รูดอล์ฟ โลเวนสตีน คนรักหนุ่มของแคทเธอรีน เดอเนิฟ ในเรื่อง Marie and Freud และมินิซีรี่ส์เรื่อง Napoleon ที่แสดงคู่กับเจอราร์ด เดพาร์ดิว, จอห์น มัลโควิช และ อิซาเบลล่า รอสเซลลินี่ ในปี 2005 คอชร่วมงานกับผู้กำกับฯ เฮนริช บรีลอร์ เป็นครั้งที่ 3 ในเรื่อง Speer and Hitler ซึ่งเป็นเรื่องราวของฮิตเลอร์กับอัลเบิร์ต สเปียร์ สถาปนิกของเขา ทำให้คอชได้รับรางวัล German Television Prize และ Bavarian Television Prize สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม หนึ่งปีต่อมาเขารับบทเป็นจีออเรอร์ ดรีย์แมนน์ ในเรื่อง The Lives of Others ที่เขาได้รับรางวัล Italian Foreign Press Award, Globo d’Oro สาขานักแสดงนำชายฝั่งยุโรปยอดเยี่ยม และ Bambi Award สาขานักแสดงนำชายชาวเยอรมันยอดเยี่ยม บทบาทต่อมาของเขาต้องมีการคัดเลือกตรวจสอบบุคลิกและแนวทางที่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์เยอรมัน ผลงานเรื่อง Operation Valkryrie เป็นภาพยนตร์สารคดีที่ได้รับคำชมของโจ แบร์ ซึ่งเป็นเรื่องราวของทหารขุนนาง เคลเมนส์ สตัฟเฟนเบิร์ก ที่วางแผนสังหารฮิตเลอร์ภาพยนตร์ได้รับรางวัล German Television Prize ในภาพยนตร์ของพอล เวอร์โฮเว่น เรื่อง Black Book มีการฉายรอบปฐมทัศน์ที่เวนิสและโตรอนโต้ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Netherlands Oscar ปี 2007 สขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม คอชรับบทแสดงนำเป็นเจ้าหน้าที่นาซีในฮอลแลนด์ที่ปกครองโดยเยอรมันและตกหลุมรักกับนักต่อต้านชาวยิว ผลงานล่าสุดของเขาเป็นภาพยนตร์อินดี้ของชาวอังกฤษ เรื่อง Albatross กำกับโดย Niall MacCormick และ Iannis Smaragdis ในผลงานกรีกเรื่อง God Loves Caviar ราช่า บัควิค (เอลิค) เป็นนักแสดงชาวเซอร์เบียที่อาศัยอยู่ในปารีส เขาได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วโลกด้วยบทบาทที่แสดงเป็น แอนทวน ในภาพยนตร์ที่เลียม นีสัน แสดงนำเรื่อง Taken เขายังประกบคู่กับแคทเธอรีน เดอนีฟ ในภาพยนตร์เรื่อง Les Biens-Aimes ภาพยนตร์เรื่อง Le Femme Invisible เขาร่วมงานกับเจอราร์ด เดพาร์ดิว และ ชาร์ล็อตต์ แรมพ์ลิง และในเรื่อง Largo Winch ที่ร่วมงานกับคริสติน สก็อตต์ โธมัส เขารับบทเป็น ดิมิตรี ในภาพยนตร์ภาษาฝรั่งเศสที่กำลังจะเข้าฉาย เรื่อง Goodbye Morocco บัควิคเกิดที่เบลเกรด แม่ของเขาเป็นผู้พิพากษา ส่วนพ่อเป็นวิศวะ เขาเริ่มศึกษาด้านการแสดงตอนอายุ 14 ปี และเข้าศึกษาวิชาการแสดงที่ BelgradeUniversityเขาแสดงละครเวทีที่เบลเกรดและผลงานทางทีวีหลายเรื่องก่อจะมาแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องแรก French California ซึ่งมีการฉายรอบปฐมทัศน์ที่เมืองคานส์ปี 2006 โคล เฮาเซอร์ (คอลลินส์) เกิดในครอบครัววงการบันเทิง การแสดงครั้งแรกของเฮาเซอร์เป็นผลงานในภาพยนตร์ เรื่อง School Ties นำแสดงโดยนักแสดงวัยรุ่นและนักแสดงชื่อดังหลายคน เช่น แม็ตต์ เดม่อน, คริส โอ'ดอนเนล และ เบ็น แอ็ฟเฟล็ค และภาพยนตร์เรื่อง Dazed & Confused หลังจากนั้นเฮาเซอร์ได้กลับมาร่วมงานกับเดม่อนและแอ็ฟเฟล็คในภาพยนตร์เรื่อง Good Will Hunting ต่อมาเขารับบทแสดงเป็นหัวหน้าพวกสกินเฮดลัทธินาซี ซึ่งเป็นผลงานของจอห์น ซิงเกิลตัน เรื่อง Higher Learning ต่อมาเฮาเซอร์ได้กลับมาร่วมงานกับซิงเกิลตันอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง 2 Fast 2 Furious คู่กับพอล วัลเกอร์ และ อีวา เมนเดซ เฮาเซอร์ยังรับบทแสดงเป็นทหารเชลยศึกอเมริกันผู้เหยียดผิว ในภาพยนตร์เรื่อง Hart's War คู่กับบรูซ วิลลิส และ โคลิน ฟาร์เรล เขาได้ร่วมงานกับวิลลิสอีกครั้งตอนที่รับบทเป็น Navy Seal ในภาพยนตร์เรื่อง Tears of the Sun กำกับโดย แอนทวน ฟูควา เฮาเซอร์ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ในการรับบทเป็น โรบิน ไรท์ เพ็นน์ ในภาพยนตร์เรื่อง White Oleander ที่คว้ารางวัล ‘Breakthrough Performance of the Year’ ที่งาน Young Hollywood Awards นอกจากนั้นเขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award สาขา ‘นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม’ จากการรับบทเป็น ‘จ่าสิบเอกคอตต้า’ ในภาพยนตร์ของโจเอล ชูมัคเกอร์ เรื่อง Tigerland เขากลับมาร่วมงานกับฟูควาอีกครั้งในภาพยนตร์ระทึกขวัญที่กำลังจะเข้าฉาย เรื่อง Olympus Has Fallen คู่กับเจอราร์ด บัตเลอร์ เฮาเซอร์ยังกำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรกอีกด้วย ในภาพยนตร์ปี 2013 เรื่อง The Westies ที่สร้างขึ้นจากหนังสือของ TJ English ในชื่อเรื่องเดียวกัน สำหรับผลงานทางทีวี เฮาเซอร์เพิ่งแสดงและอำนวยการสร้างภาพยนตร์แนวดราม่าของเจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ ทางช่อง NBC เรื่อง Chase รวมถึงซีรี่ส์แนวดราม่าเกี่ยวกับอาชญากรรม เรื่อง K-Ville คู่กับแอนโทนี่ แอนเดอร์สัน ยูเลีย สไนเกอร์ (เออริน่า) เป็นนางแบบระดับโลกและอดีตนักแข่งหมากรุก ตอนอายุ 15 ปีเธอเคยได้รับรางวัล Candidate of Chess Master อันทรงเกียรติจาก International Chess Federation ยูเลียได้รับปริญญาด้านการสอนที่ State Pedagogical University ระหว่างที่กำลังศึกษาต่อ ยูเลียได้กลายเป็นนางแบบผู้ประสบความสำเร็จ และมีสัญญาร่วมกับสินค้าเครื่องประดับแบรนด์ชั้นนำของฝรั่งเศส อาชีพการแสดงของเธอเริ่มขึ้นเมื่อเธอเข้ามาร่วมงานกับVakhtangov Theatre Academy อันมีชื่อเสียง และได้รับเลือกให้มาแสดงภาพยนตร์อินดี้ 2 เรื่อง ก้าวสำคัญของยูเลียเกิดขึ้นเมื่อเธอได้รับข้อเสนอให้มารับบทนำ ในภาพยนตร์แนวไซไฟของรัสเซียเรื่องดัง TheInhabitedIslandต่อมาเธอได้แสดงภาคต่อ The Inhabited Island: Fight ซึ่งทำให้เธอได้เป็นดาวในรัสเซีย ยูเลียได้เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับ L’Oreal เสื้อผ้า MEXX และน้ำหอม MEXX ยูเลียต้องแบ่งเวลาระหว่างการแสดง TV โรงละครและภาพยนตร์ สำหรับผลงานละครเวที เธอรับบทเป็นผู้ชายในการแสดงที่ประสบความสำเร็จของคิง เลียร์ ซึ่งได้รับรางวัล European and Russian theater awards มาหลายรางวัล ล่าสุดยูเลียเพิ่งปิดกล้องจากการแสดงในภาพยนตร์อินดี้ เรื่อง Delirium กำกับโดย ลี รอย คันซ์ ประวัติผู้สร้างภาพยนตร์ จอห์น มัวร์ (ผู้กำกับ) เกิดและศึกษาที่ไอร์แลนด์ ตอนอายุ 10 ขวบเขาเริ่มให้ความสนใจด้านการถ่ายภาพเหมือนอย่างที่ผ่านมา เขาได้เป็นตากล้องด้านข่าว จากนั้นทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยตากล้องในภาพยนตร์ที่ควบคุมโดยผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง เช่น นีล จอร์แดน และ จิม เชริแดน การกำกับโฆษณาของมัวร์ที่มีรูปแบบใหม่ มีสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ที่ทันสมัย ทำให้เขาได้รับความสนใจจากทั่วโลก โฆษณาที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่ Adidas, Guinness และโดยเฉพาะ SEGA หลังจากโฆษณาในปี 1999 ของ  SEGA ตัวแรกที่ฉายในงาน MTV Music Video Awards, Twentieth Century Fox และ Davis Entertainment ทำให้มัวร์ได้รับการยอมรับด้านการกำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในเรื่อง Behind Enemy Lines ซึ่งเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัย นำแสดงโดย จีน แฮ็คแมน และ โอเว่น วิลสัน หลังจากความสำเร็จของเขาในภาพยนตร์เป็นครั้งแรก มัวร์ทำสัญญาด้านผลิตและทำสัญญาของสตูดิโอ ร่วมกับ Fox และเริ่มบริษัทผลิตภาพยนตร์ Point Road ในปี 2004 เขาสร้างภาพยนตร์เรื่อง Flight of the Phoenix นำแสดงโดย เด็นนิส เควด และ จิโอแวนนี่ ริบิซี่ ต่อจากการรีเมคหนังคลาสสิคปี 1970 เรื่อง The Omen ของ Twentieth Century Fox ที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกจากการเปิดตัวในเดือนมิถุนายน 2006 ช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2008 ภาพยนตร์ของมัวร์ เรื่อง Max Payne นำแสดงโดย มาร์ค วาห์ลเบิร์ก เปิดตัวที่อันดับ 1 บ็อกซ์ออฟฟิศ ผู้เขียน/ผู้อำนวยการสร้างบริหาร สคิป วูดส์ มีผลงานที่มีชื่อเสียงอย่าง Swordfish, Hitman, X-Men Origins: Wolverine และ A-Team ผลงานของนักเขียนบทในแอลเอเรื่อง Ten ได้เสร็จสิ้นการถ่ายทำช่วงต้นในช่วงปลายปี 2012 นำแสดงโดย อาร์โนลด์ ชวาสเน็กเกอร์, แซม เวอร์ธิงตัน และ เทอร์เรนซ์ ฮาเวิร์ด ผู้เขียนบทและผู้อำนวยการสร้างบริหาร เจสัน เคลเลอร์ เริ่มเขียนบทการแสดงระหว่างที่เรียนด้านภาพยนตร์และการละครที่RegentsCollegeในลอนดอน เขาผลิตการแสดงมากมายที่ลอนดอน ชิคาโก้ และลอสแองเจลิส ในปี 1995 เขาได้รับรางวัล New Harmony Writing Fellowship จากการแสดงเรื่อง “Paris Moon” บทภาพยนตร์ต้นฉบับเรื่องแรกที่เคลเลอร์อำนวยการสร้าง ต้องใช้การค้นคว้าอย่างกว้างขวางและอาศัยพัฒนา อาทิเช่น ภาพยนตร์แอ็คชั่นระทึกขวัญที่น่าตื่นเต้น เรื่อง_ Machine Gun Preacher นำแสดงโดย เจอราร์ด บัตเลอร์ กำกับโดยมาร์ค ฟอสเตอร์ มีกำหนดฉายในเดือนกันยายน 2011 เคลเลอร์ยังเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Mirror, Mirror นำแสดงโดย จูเลีย โรเบิร์ตส และ ลิลลี่ คอลลินส์ กำกับโดย ทาร์เซม ซิงห์ และภาพยนตร์ที่กำลังจะฉาย เรื่อง The Tomb นำแสดงโดยอาร์โนลด์ ชวาสเน็กเกอร์ และ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน กำกับโดยผู้กำกับชาวเดนมาร์ก มิคาเอล ฮาฟสตรอม ผู้กำกับภาพ โจนาธาน ซีล่า ก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับผู้กำกับฯ จอห์น มัวร์ ในภาพยนตร์เรื่อง Max Payne และ The Omen ผลงานเรื่องอื่นของเขาที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้กำกับภาพ ได้แก่ Law Abiding Citizen, Powder Blue, ภาพยนตร์แนวสยองขวัญกับแคมป์พักร้อน Midnight Meat Train นำแสดงโดย แบรดลีย์ คูเปอร์, Grimm Land, Randy and the Mob, Dreamland และ Soul Plane ซีล่าเกิดที่ปารีสและย้ายตามครอบครัวมาอยู่ที่ลอสแองเจลิส ตอนอายุ 10 ขวบ คุณปู่ของเขาซึ่งเป็นชาวโปแลนด์พาเขามาเยี่ยมฉากของเรื่อง Schindler’s List ที่ Krakow เป็นแรงบันดาลใจทำให้เขาอยากทำหนัง ตอนอายุยังน้อยเขาเริ่มทำงานเป็นหัวหน้าคนงานและช่างไฟในการแสดงหลายเรื่อง ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของวิลมอส ซิกมอนด์ ในเรื่อง The Body จนนำไปสู่การเป็นผู้ช่วยตากล้องในภาพยนตร์สารคดี เรื่อง “Cypress Hill: Still Smokin” ต่อมาเขามีผลงานโฆษณาและมิวสิควีดีโออีกหลายตัว เช่น LL Cool J ก่อนจะมีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกในฐานะผู้กำกับภาพกอง 2 ในภาพยนตร์เรื่อง Winter Break ผู้ออกแบบฉาก แดน ที. ดอร์แรนซ์ ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับศิลป์ในภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงหลายเรื่อง เช่น Saving Private Ryan ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscarâ สาขาการกำกับศิลป์ยอดเยี่ยม, Braveheart และ Mission: Impossible 2 และ 3 ชื่อเสียงครั้งแรกในฐานะผู้ออกแบบฉากมาจากภาพยนตร์ของริชาร์ด ดอนเนอร์ เรื่อง Timeline ตามมาด้วยการร่วมงานกับจอห์น มัวร์ ในเรื่อง Max Payne ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาหลังจากนั้นในฐานะผู้ออกแบบฉาก ได้แก่ Paperboy และ Playing for Keeps ดอร์แรนซ์เริ่มทำงานที่ลอสแองเจลิส โดยร่วมงานกับบริษัทออกแบบฉากโรงละคร จุดเปลี่ยนของเขามาจากการเป็นผู้ช่วยการผลิตในภาพยนตร์ของโทนี่ สก็อตต์ ที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่อง Days of Thunder ต่อมาเขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับศิลป์ในภาพยนตร์ของผู้กำกับฯ สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก และ ฟรานเซส ฟอร์ด คอพโพล่า ในภาพยนตร์เรื่อง Hook และ Dracula ที่ได้รับการยกย่อง ผลงานต่อมาของเขาที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้กำกับศิลป์ ได้แก่ Maverick, Assassins, Father’s Day, We Were Soldiers, Collateral, Serenity, Fantastic Four: Rise of the Silver Surfer และภาพยนตร์ของหลุยส์ เลทเทอร์เรียร์ เรื่อง  The Incredible Hulk ผู้ลำดับภาพฯ แดน ซิมเมอร์แมน, A.C.E. ตามรอยเท้าคุณพ่อของเขา (ดอน ซิมเมอร์แมน ผู้ลำดับภาพชื่อดัง) ด้วยการเป็นผู้ลำดับภาพฯ เขาเริ่มจากการเป็นผู้ช่วยผู้ลำดับภาพในเรื่อง Liar, Liar, Half-Baked, Patch Adams, The Cat in the Hat และภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาในฐานะผู้ลำดับภาพฯ เป็นเรื่อง The Omen ที่กำกับโดย จอห์น มัวร์ เขายังลำดับภาพในเรื่อง Max Payne อีกด้วย ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงของซิมเมอร์แมน ได้แก่ AVP: Requiem, Predators, Spy Kids: All the Time in the World, Season of the Witch, Inseparable และ Deadfall ผู้ออกแบบฉาก โบจาน่า นิคิโทวิค ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA Award จากผลงานในภาพยนตร์แนวดราม่าที่กำกับโดยราล์ฟ ฟีนส์ปี 2011 เรื่อง Coriolanus ซึ่งเป็นการถ่ายทอดบทละครของเช็คสเปียร์แนวร่วมสมัย ผลงานอื่นของเธอที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยนิโคลาส เคจ เรื่อง Ghost Rider: Spirit of Vengeance นิคิโทวิคเกิดและโตขึ้นที่เบลเกรด แถบเซอร์เบีย เธอสำเร็จการศึกษาจาก Faculty of Applied Arts อันเลื่องชื่อของเมือง เธอผ่านผลงานละครเวที โอเปร่า และการแสดงบัลเล่ต์มาแล้วกว่า 100 เรื่อง เธอได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายแห่งปีจาก Serbia’s Association of Applied Arts จากนั้นเธอเริ่มมีผลงานอีกมากมายร่วมกับมิเลน่า คาโนเนโร่ เจ้าของรางวัล Oscar มากมาย เธอเป็นผู้ช่วยให้กับดีไซน์เนอร์แห่งตำนานในหลายโปรเจ็กต์ อาทิเช่น Marie Antoinette กำกับโดยโซเฟีย คอพโพล่า และได้รับรางวัล Academy Award จากการออกแบบเครื่องแต่งกาย, The Life Aquatic, The Wolfman และโอเปร่าเรื่อง “Tosca” ที่มีการเปิดตัวฤดูกาลปี 2010 ที่งาน New York’s Metropolitan Opera นักประพันธ์ดนตรี มาร์โค่ เบลทรามิ ประพันธ์ดนตรีในภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของผู้กำกับแคทธริน บิเกโลว์ เรรื่อง The Hurt Locker ซึ่งได้รับรางวัล Academy Awards 6 รางวัล รวมถึงสาขาภาพยนตร์และผู้กำกับยอดเยี่ยม รวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award สำหรับดนตรีประกอบภาพยนตร์ของจม แมงโกลด์ เรื่อง 3:10 to Yuma อีกด้วย เบลทรามิยังประพันธ์ดนตรีให้กับเจมส์ แวตคินส์ ในเรื่อง The Woman in Black นำแสดงโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์ และภาพยนตร์รางวัล Sundance Audience Award เรื่อง The Sessions นำแสดงโดย เฮเลน ฮันต์, จอห์น ฮอคส์ และ วิลเลียม เอช. เมซี่ ดนตรีของเขายังอยู่ในภาพยนตร์ระทึกขวัญปี 2013 เรื่อง Snowpiercer และภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นไซไฟของมาร์ค ฟอสเตอร์ เรื่อง World War Z นำแสดงโดย แบรด พิตต์ ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่ The Thing; Soul Surfer; ภาพยนตร์ของเวส คราเวน เรื่อง Scream 4 และ  My Soul to Take; Jonah Hex; ภาพยนตร์ของอเล็กซ์ โพรย่า เรื่อง Knowing and I Robot; ภาพยนตร์ของเล็น ไวส์แมน เรื่อง Live Free or Die Hard; The Three Burials of Melquiades Estrada ของผู้กำกับทอมมี่ ลี โจนส์;ภาพยนตร์ของกิลเลอร์โม่ เดล โตโร เรื่อง Hellboy และ Don’t Be Afraid of the Dark และภาพยนตร์ของโจนาธาน มอสทาว เรื่อง  Terminator 3: Rise of the Machines ในฐานะเพื่อนรักของนักประพันธ์ชื่อดัง เจอร์รี่ โกลด์สมิธ เบลทรามิมีชื่อเสียงโด่งดังจากการประพันธ์ดนตรีในภาพยนตร์ของเวส คราเวน เรื่อง Scream เบลทรามิถ่ายทอดมุมมองดนตรีแนวสยองดั้งเดิมที่ได้แรงบันดาลใจจาก เอ็นนิโอ มอร์ริโคน ไอดอลของเขาและอิงจากแนวดนตรีตะวันตก A Good Day to Die Hard - Tv Spot 30Sec New http://www.youtube.com/watch?v=w4mLonnCsZM&feature=youtu.be A Good Day to Die Hard - '21st Century Die Hard' Featurette (ซับไทย) http://www.youtube.com/watch?v=pVR9WHd4bz8&feature=youtu.be A Good Day to Die Hard - 'Putting the Pedal to the Metal' Featurette (ซับไทย) http://www.youtube.com/watch?v=F28G52GqTgk&feature=youtu.be A Good Day to Die Hard - Trailer H http://www.youtube.com/watch?v=xqqKKsfPmFw&feature=youtu.be A Good Day to Die Hard- Featurette Jai Courtney From The Set http://www.youtube.com/watch?v=lUGxFxsp6HM&feature=youtu.be  

เข้าฉาย 14 กุมภาพันธ์นี้้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น