HIGHLIGHT CONTENT

Q&A The Purge คืนอำมหิต

  • 5,965
  • 02 ก.ค. 2013

อีธาน ฮอว์ค รับบท เจมส์ แซนดิน ใน THE PURGE

 Q: THE PURGE เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร?

A: THE PURGE ดำเนินตามขนบที่ยาวนานของหนังไซไฟการเมืองที่ผิดเพี้ยนเล็กๆ น่ะครับ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่น่าจะเขียนขึ้นโดยฟิลิป เค. ดิ๊ค หรือเคิร์ท วอนเนกัท ไอเดียนี้ดูเหมือนจะเกือบน่าขันเกินไปด้วยซ้ำ แต่พอคุณพิจารณามันใกล้ๆ มันกลับแทบจะสมจริงเกินไป มันเป็นปริศนาทางศีลธรรมจริงๆ และมันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมสนใจหนังเรื่องนี้ด้วยครับ

Q: คุณคิดว่าสถานการณ์ที่เราเห็นใน THE PURGE จะเป็นไปได้ในอนาคตรึเปล่า

A: ผมคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องไซไฟเยี่ยมๆ คือมันเป็นการกล่าวถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วแบบเกินจริง แล้วทำให้คุณมองเห็นมันในอีกมุมหนึ่งน่ะครับ ลองนึกถึงนักเขียนอย่างฟิลิป เค. ดิ๊คหรือเคิร์ท วอนเนกัทดูสิ ไอเดียที่ว่าคนรวยกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ในชุมชนที่มีรั้วรอบขอบชิด และไม่แคร์ว่าจะเกิดะไรขึ้นกับคนจนข้างนอกไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลเกินตัวเลย มันเป็นหัวใจของหนังเรื่องนี้ครับ ประเด็นเรื่องเชื้อชาติ ชนชั้นและเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่น่าสนใจใน THE PURGE หนังเรื่องนี้นำเสนอมุมมองที่ไม่เหมือนใครครับ

Q: แล้วหนังเป็นพิธีชำระล้างบาปของพวกเรารึเปล่า

A: เห็นได้ชัดว่า THE PURGE เป็นหนังรุนแรงที่มีข้อคิดต่อต้านความรุนแรง มันตั้งคำถามที่ว่าหนังเป็นที่ที่เหมาะต่อการระบายความรุนแรงของเรารึเปล่า แล้วเราทำยังไงกับนิสัยส่วนที่รุนแรงของตัวเราเอง เท่าที่มีคนบอกเล่าเรื่องราวมา เรื่องราวพวกนั้นก็มีความรุนแรงเสมอ ลองดูโศกนาฏกรรมกรีกโบราณหรือ Julius Caesar ของเชคสเปียร์ดูสิครับ วรรณคดีมากมายที่จบลงด้วยการสังหารหมู่ แต่ทุกคนกลับสนใจเรื่องราวพวกนี้ ในแง่หนึ่งแล้ว หนังก็ทำหน้าที่เหมือนกับใน A CLOCKWORK ORANGE มันจะทำให้คุณจมอยู่ในความรุนแรงที่มากล้นจนกระทั่งคุณอยากให้มันหยุดน่ะครับ

Q: สแตนลีย์ คูบริค เป็นหนึ่งในอิทธิพลสำคัญของหนังเรื่องนี้รึเปล่า เราคิดว่ามันเหมือนกับ NIGHT OF THE LIVING DEAD อยู่นะ

A: ผมคิดว่าเจมส์ เดอโมนาโก (ผู้กำกับ) ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากคูบริค, NIGHT OF THE LIVING DEAD แล้วก็จอห์น คาร์เพนเตอร์ แล้วมันก็มีอะไรหลายๆ อย่างของ ESCAPE FROM NEW YORK อยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วย ผมกับเจมส์ เดอโมนาโกได้พบกันระหว่างถ่ายทำรีเมกเรื่อง ASSAULT ON PRECINCT 13 เราชื่นชอบการทำงานในหนังเรื่องนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราทั้งคู่รักเกี่ยวกับหนังของจอห์น คาร์เพนเตอร์ และเราไม่ได้ทำในหนังเรื่องนั้นคือการเพิ่มข้อคิดเข้าไปในเรื่อง ผมคิดว่าเจมส์ตั้งใจสร้างรีเมกแบบจอห์น คาร์เพนเตอร์จริงๆ ด้วยหนังเรื่องนี้ ความหวังของผมก็คือมันจะทำหน้าที่เป็นเหมือนหนังไดรฟ์อินคืนวันศุกร์ แต่มันก็จะทิ้งเรื่องให้คิดสำหรับผู้ชมมากกว่าปกติหน่อยน่ะครับ

Q: คุณเป็นนักเขียนด้วย คุณเคยตีพิมพ์หนังสือหลายเล่มและเคยเขียนบทสำหรับหนังบางเรื่องของคุณมาแล้ว คุณได้เสนอแนะไอเดียอะไรสำหรับตัวละครของคุณใน THE PURGE รึเปล่า

A: ที่สุดแล้ว หนึ่งในสิ่งที่การเขียนสอนผมคือการเคารพนักเขียนคนอื่นๆ เจมส์ เดอโมนาโกมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนจริงๆ บทหนังเรื่องนี้ก็ดีเยี่ยม มันเป็นเรื่องยากๆ ในการสร้างหนังไฮคอนเซ็ปต์แบบนี้ภายใต้ทุนสร้างที่จำกัดจำเขี่ยมากๆ เราก็เลยต้องทุ่มเทสุดตัว และนั่นก็คือความสนุกของมันครับ

Q: จะว่าไปแล้ว คุณมีพิธีชำระล้างบาปในแบบของตัวเองรึเปล่า คุณมีวิธีการปลดปล่อยความหงุดหงิดหรือความโกรธเคืองบ้างมั้ย

A: ผมคิดว่าการหาวิธีที่เหมาะสมในการระบายความโกรธของคุณออกมาเป็นหนึ่งในปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเป็นผู้ใหญ่เลยนะครับ ถ้าคุณเก็บอารมณ์นั้นไว้ มันก็เป็นเรื่องผิด ถ้าคุณปลดปล่อยมันออกมา มันก็ผิดอีก ผมเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกครับว่าเราควรจะจัดการกับความโกรธยังไงดี

Q: ในฐานะคนเป็นพ่อ คุณเข้าใจความรู้สึกของตัวละครของคุณใน THE PURGE และปัญหาทางด้านศีลธรรมที่เขาต้องเผชิญเพื่อคุ้มครองครอบครัวของเขารึเปล่า

A: เราสร้างเจมส์ แซนดินให้เป็นตัวละครที่แสดงได้ยากครับ เขาคิดว่าเขาเป็นคนดีแต่ก็ไม่ใช่ เขาไม่ได้เป็นตัวร้ายซะทีเดียว แต่เขาเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาและก็ไม่รู้ตัวเอง ในหลายๆ แง่มุม ในฐานะการเป็นนักแสดง การสวมบทเป็นผู้ร้ายหรือพระเอกก็เป็นเรื่องง่าย แต่ตัวละครที่ผมเล่นใน THE PURGE อยู่ตรงกลางระหว่างนั้นครับ สิ่งหนึ่งที่น่ารังเกียจแต่ก็น่าสนใจเกี่ยวกับเขาคือการที่คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงความรู้สึกของเขาได้ ที่สุดแล้วเขาก็เป็นคนค่อนข้างตื้นเขินและวัตถุนิยม เขาอยากจะประสบความสำเร็จและไม่กังวลว่าความสำเร็จของเขาจะมีความหมายอย่างไรต่อโลกในภาพรวม ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากพวกเราส่วนใหญ่ที่รับเงินมาโดยไม่ตั้งคำถามซักเท่าไหร่ว่าเงินพวกนั้นมาจากไหน

Q: คุณคิดยังไงเกี่ยวกับการโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรงในหนังปัจจุบันนี้

A: ผมไม่คิดว่าหนังที่รุนแรงจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนทำตัวรุนแรงหรอกนะครับ ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมในการใช้ความรุนแรงพูดถึงความรุนแรงครับ

Q: คุณเลือกหนังที่คุณจะเล่นยังไง

A: ผมพยายามที่จะสร้างอาชีพนักแสดงของตัวเองจากสัญชาตญาณครับ มันมีอะไรบางอย่างที่วิพากษ์สังคมและการเมืองในหนังเรื่องนี้ที่ผมสนใจ ผมเป็นนักแสดงดรามาครับ ผมไม่ได้เป็นนักแสดงตลก แต่ด้วยความที่ว่ามีการสร้างหนังดรามาไม่มากนักหรอก มันก็เลยกระตุ้นให้คุณเปิดกว้างเกี่ยวกับการแสดงหนังแนวอื่นๆ น่ะครับ

Q: นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ คุณเลือกที่จะแสดงในหนังอย่าง SINISTER และ THE PURGE รึเปล่า

A: เจสัน บลูมกับผมเป็นเพื่อนกันมากว่ายี่สิบปีแล้ว เราก่อตั้งคณะมาลาพาร์ท เธียเตอร์ คัมปะนีด้วยกัน ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนหนังที่ย้อนกลับไปยุค 50s และเราก็ย้อนกลับไปสร้างหนังแบบโรเจอร์ คอร์แมน ที่ศิลปะจะต้องเป็นรองแนวหนัง นั่นเป็นสิ่งที่ผมพยายามจะทำครับ ปีนี้ เราสามารถสร้าง BEFORE MIDNIGHT ได้ สิ่งที่เจสัน บลูมทำกับหนังอย่าง SINISTER และ THE PURGE คือการนำเอาหนังแบบหนังไดรฟ์อินคืนวันศุกร์มาทำให้มีคุณภาพ มันมีประวัติยาวนานของการที่นักแสดงละครเวทีพบหนทางรุ่งโรจน์ในการแสดงหนังแนวต่างๆ ผมก็เลยพยายามเลือกเดินทางนั้นครับ

Q: แผนการต่อไปสำหรับคุณเป็นยังไงบ้าง

A: ในฤดูร้อนปีนี้ ผมคิดว่าผมจะเสร็จจากโปรเจ็กต์ที่ผมทำงานร่วมกับริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ THE 12-YEAR PROJECT น่ะครับ เราสร้างหนังสั้นกันทุกปีมาสิบสองปีแล้ว มันเป็นหนังเกี่ยวกับเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งน่าจะน่าสนใจทีเดียวครับ

Q: ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น

A: สำหรับผม มันให้ความรู้สึกเหมือนมันเป็นช่วงเวลาพิเศษสุดที่จะเป็นผู้ใหญ่ครับ ในตอนนี้ ผมสนุกมากกับการได้หยิบจับอะไรหลายๆ อย่าง มันเป็นสิ่งที่ผมฝันถึงเสมอ การไม่ได้ทำอะไรอย่างเดียวน่ะครับ ผมรักงานละครเวที การเขียนบทและการทำงานใน BEFORE MIDNIGHT กับริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์และจูลี เดลพายเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดในหน้าที่การงานของผม การสร้างหนังตามแบบฉบับที่คุณอยากจะดูในคืนวันศุกร์ และสร้างให้มันเป็นหนังดีมีคุณภาพ ที่ทำให้เส้นแบ่งระหว่างศิลปะชั้นสูงกับศิลปะชั้นต่ำเลือนรางไป เป็นสิ่งที่ผมสนใจมาโดยตลอดครับ

Q: โดยทั่วไปแล้ว มันมีไซไฟสองกระแส กระแสแรกมองโลกในแง่ร้าย อีกกระแสหนึ่งมองโลกในแง่บวก ที่อนาคตเป็นโลกที่สวยงาม คุณจินตนาการอนาคตอันใกล้ไว้อย่างไรบ้าง

A: ผมเป็นคนมองโลกแง่บวกเสมอครับ มันดีกว่าอีกแบบหนึ่งเยอะเลย ผมคิดว่าทุกๆ แง่บวกจะมีแง่ลบและทุกๆ แง่ลบจะมีแง่บวก สิ่งแวดล้อมของโลกกำลังเผชิญกับหายนะ ซึ่งเป็นข่าวร้ายครับ ข่าวดีก็คือเราไม่เคยให้ความสำคัญกับมันเลย แต่ตอนนี้ เราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้แล้ว ซึ่งมันมีเรื่องให้เราสุขได้อีกเยอะครับ

เจสัน บลูม อำนวยการสร้าง THE PURGE

Q: หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

A: เจมส์ เดอโมนาโก (มือเขียนบท/ผู้กำกับ) กับผมรู้จักกันมาประมาณ 10 ปีแล้ว อีธานรู้จักกับเจมส์จาก ASSAULT ON PRECINCT 13 ที่เจมส์กำกับ ดังนั้น ทั้งผมกับอีธานต่างก็รู้จักเขาก่อนหน้าหนังเรื่องนี้ เจมส์เสนอ THE PURGE ให้กับผม และผมก็คิดว่ามันเป็นไอเดียที่เจ๋งมาก ผมชอบที่ว่าในโลกสมมติของหนังเรื่องนี้ พิธีชำระล้างบาปมีอยู่ในอเมริกามาเจ็ดปีแล้ว ครอบครัวในหนังผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วอย่างน้อยก็เจ็ดครั้ง พวกเขาก็เลยคิดว่าพวกเขามีภูมิคุ้มกันความรุนแรงแล้ว ผมชอบไอเดียนั้นครับ ผมบอกเจมส์ให้เขียนบทแล้วเราจะสร้างหนังเรื่องนี้กัน มันมันไม่ได้เกิดขึ้นแบบนั้นเสมอไปหรอกนะครับ แต่ครั้งนี้ มันเป็นแบบนั้นเลย

Q: คุณได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากความสำเร็จในการพัฒนาโมเดลการสร้างภาพยนตร์ใหม่ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คุณช่วยอธิบายถึงโมเดลนั้นหน่อยได้มั้ย

A: โมเดลของผมคือการสร้างหนังที่มีคอนเซ็ปต์ใหญ่ และเข้าฉายทั่วประเทศ ด้วยทุนต่ำครับ แม้ว่าการเข้าฉายทั่วประเทศอาจไม่จำเป็น แต่บางครั้ง เราก็พยายาม เราวางแผนนำ PARANORMAL ACTIVITY, INSIDIOUS, SINISTER รวมถึง THE PURGE เข้าฉายทั่วประเทศ หนังทั้งหมดนี้ทุนสร้างต่ำก็จริง แต่ก็มีคอนเซ็ปต์ใหญ่ทุกเรื่อง นั่นคือสิ่งที่บริษัทของเราทำครับ

Q: หลังจากความสำเร็จของ PARANORMAL ACTIVITY และหนังเรื่องอื่นๆ ของคุณ มีใครพยายามจะลอกเลียนแบบโมเดลของคุณรึเปล่า

A: ผมคิดว่าหลายคนกำลังพยายามลอกเลียนแบบโมเดลนี้อยู่ แต่มันเป็นเรื่องยากครับ เราไม่ได้มีสูตรลับหรืออะไรทำนองนั้น แต่มันเป็นโมเดลที่เลียนแบบได้ยาก ถ้ามีคนเข้ามาพร้อมกับเวอร์ใหม่ที่ดีที่สุดของ TRANSFORMERS ผมอาจจะเป็นผู้อำนวยการสร้างคนเดียวในฮอลลีวูดที่จะบอกว่า มันฟังดูเป็นไอเดียที่ยอดเยี่ยมนะแต่เราไม่ใช่บริษัทที่เหมาะกับมัน ผู้อำนวยการสร้างคนอื่นๆ ที่พยายามจะทำเหมือนเรามักจะพยายามสร้างหนังแบบของเราระหว่างหนังทุนสร้างสูงของพวกเขา แต่เราทำแบบนี้ตลอด ดังนั้น มันก็เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญกับมันครับ

Q: คุณพูดถึง TRANSFORMERS คุณช่วยพูดอะไรเกี่ยวกับไมเคิล เบย์หน่อยได้มั้ย เขาได้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างของหนังเรื่องนี้ด้วยนี่

A: เป็นเรื่องเยี่ยมมากที่เราได้ผู้กำกับอย่างไมเคิล ที่โด่งดังจากการอำนวยการสร้างหนังทุนสูง มาเกี่ยวข้องกับ THE PURGE แบรด ฟูลเลอร์และแอนดรูว์ ฟอร์ม ที่ร่วมงานกับไมเคิลที่แพลตินัม ดูนส์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างของหนังเรื่องนี้ตลอดทั้งเรื่อง แล้วเราก็ได้ทีมงานจำนวนมากของเรามาจากไมเคิล ซึ่งรวมถึงมือลำดับภาพของเราด้วย

Q: นอกเหนือจากทุนสร้างที่ต่ำแล้ว ในโมเดลของคุณ ยังมีเรื่องของเนื้อหาหนังด้วย คุณชื่นชอบหนังแนวไหนเป็นพิเศษรึเปล่า

A: ตอนที่เรานั่งลงคุยกับผู้กำกับ เราไม่ได้บอกว่าเรากำลังมองหาหนังสยองขวัญ เราบอกว่าเรากำลังมองหาหนังทุนสร้างต่ำที่จะเข้าฉายทั่วประเทศ เรานึกถึงว่ามีหนังอะไรที่เราจะสร้างด้วยทุนต่ำได้บ้าง ถ้าคุณดูจากเงื่อนไขพวกนี้ ประมาณ 80% ถึง 90% คุณจะได้สร้างหนังสยองขวัญ ผมไม่คิดว่าโมเดลนี้จะเวิร์คสำหรับดรามา เราอาจจะไม่สามารถสร้างดรามาได้ภายใต้โมเดลนี้และมันก็ไม่เคยเวิร์คสำหรับคอเมดีเลยด้วย

Q: อะไรคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการสร้างหนังเรื่องนี้

A: โลเกชันเป็นเรื่องที่เราเป็นห่วงครับ ตัวบ้านเองก็เป็นตัวละครในหนังเรื่องนี้ด้วย มันจะต้องเพอร์เฟ็กต์ เราหาบ้านหลังนั้นไม่เจอจนกระทั่งสิบวันก่อนที่เราจะเริ่มต้นถ่ายทำ หลังจากที่เราทำข้อตกลงเรียบร้อย เราก็ถ่ายทำในบ้านหลังนั้นได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เราก็เลยต้องทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพครับ

Q: คุณเลือกนักแสดงของเรื่องยังไง คุณเคยทำงานกับอีธาน ฮอว์คมาก่อนนี่

A: ผมกับอีธานเป็นเพื่อนกันมากว่ายี่สิบปีแล้ว เราสนุกมากตอนทำงานใน SINISTER ด้วยกัน เขาก็เลยเป็นตัวเลือกแรกสำหรับหนังเรื่องนี้ เขาบอกว่าเขาอยากจะแสดงหนังพวกนี้อีกเรื่องหนึ่ง เราก็เลยส่งบทให้เขา พอเขาอ่าน เขาก็ตกลงเลย เขาน่าทึ่งมากครับ

Q: แล้วเลนา เฮดดี้ล่ะ

A: ผมกับเลนาเป็นเพื่อนกับปีเตอร์ ดิงค์เลจ ที่แสดงกับเธอในซีรีส์ Game of Thrones ครับ ผมกับพีทคุยกับทางอีเมล์แล้วเขาก็รบเร้าให้ผมดูผลงานของเธอ ผมดีใจที่เราทำตามเขาเพราะเธอเป็นคนที่วิเศษสุดและเหมาะกับหนังเรื่องนี้จริงๆ

Q: คุณคิดว่าเหตุการณ์เศร้าสลดเมื่อเร็วๆ นี้ได้ส่งผลให้คุณตัดสินใจถ่ายทำหนังเรื่องนี้รึเปล่า ปัจจัยนั้นมีผลอะไรต่อฮอลลีวูดบ้างมั้ย

A: ผมคิดว่า THE PURGE แสดงความคิดเห็นต่อความรุนแรงในหลายๆ ทิศทางที่แตกต่างกันออกไป แต่ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือเราควรจะตรึกตรองถึงประเด็นนี้โดยปราศจากความรุนแรงและพูดถึงมันอยู่เรื่อยๆ หวังว่าหนังเรื่องนี้จะกระตุ้นให้เราทำแบบนั้นนะครับ

Q: คุณจะบอกได้มั้ยว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสอนศีลธรรม

A: มันเป็นเรื่องเสี่ยงในการสอดแทรกข้อคิดทางสังคมเข้าไปในหนังสยองขวัญ แต่นั่นก็เป็นหนังที่ผมคิดภาพเอาไว้และเป็นหนังที่เราได้สร้างขึ้นมา นอกจากนั้น ผมยังชื่นชอบการทดลองเทคนิคเล่าเรื่องที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งมักจะปรากฏอยู่ในหนังอินดีด้วยครับ

Q: นอกเหนือจากในเรื่องโมเดลธุรกิจคุณแล้ว คุณชื่นชอบหนังสยองขวัญรึเปล่า

A: สิ่งที่ผมชื่นชอบคือโมเดลการสร้างหนังแบบนี้ ซึ่งผมคิดว่าทั้งใหม่และก็แตกต่าง หนังสยองขวัญเข้ากับโมเดลนี้ได้ค่อนข้างลงตัว ผลก็คือผมได้สร้างหนังสยองขวัญหลายเรื่อง และผมก็ชอบหนังพวกนั้น ผมเองก็ไม่ได้รอบรู้ประวัติศาสตร์หนังสยองขวัญซักเท่าไหร่ แต่ผมได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับหนังสยองขวัญจากผู้กำกับทุกคนที่ผมได้ร่วมงานด้วย เช่นสก็อตต์ เดอร์ริคสัน, เจมส์ วานและเจมส์ เดอโมนาโกน่ะครับ

Q: คุณหวังว่าผู้ชมจะได้ข้อคิดอะไรกลับไปจาก THE PURGE บ้าง

A: ผมหวังว่าผู้ชมจะได้พูดคุยถึงคอนเซ็ปต์ของ THE PURGE และความหมายของมัน รวมถึงการที่มันสามารถเกิดขึ้นจริงด้วยครับ

Q: คุณเข้ามาทำงานในวงการหนังได้ยังไง

A: รูมเมทสมัยมหาวิทยาลัยของผมคือโนอาห์ บอมบัค หนังเรื่องแรกของผมก็เป็นหนังเรื่องแรกของผมด้วยที่ชื่อ KICKING AND SCREAMING ผมอยากจะเป็นผู้อำนวยการสร้างเสมอมา ผมไม่เคยอยากเป็นมือเขียนบทหรือผู้กำกับ ผมเริ่มต้นจากจุดนั้นครับ

Q: คุณเคยนึกถึงการผลิตหน้ากากจาก THE PURGE ออกมาเป็นสินค้าบ้างมั้ย

A: เรานึกกันถึงฮัลโลวีนครับ เราเคยสร้างบ้านผีสิงในลอสแองเจลิสสำหรับเทศกาลฮัลโลวีน ที่มีชื่อว่า The Blumhouse of Horrors เราจัดงานอีเวนต์ด้วย บางที เราอาจจะขายหน้ากากพวกนั้นในงานก็ได้ครับ

Q: คุณคิดว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จได้เท่ากับ PARANORMAL ACTIVITY รึเปล่า

A: มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนึกถึงหนังในแบบนั้นก่อนที่มันจะเข้าฉาย ผมคิดว่า PARANORMAL ACTIVITY จะต้องเวิร์ค แต่ไม่มีใครคาดคิดหรอกครับว่ามันจะประสบความสำเร็จขนาดนั้น ผมสร้าง PARANORMAL ACTIVITY เพราะผมทำงานให้มิราแมกซ์และฮาร์วีย์ วีนสไตน์ในยุค 90s มาก่อน และเราก็บอกผ่าน THE BLAIR WITCH PROJECT ไป ฮาร์วีย์ไม่เคยปล่อยให้ผมลืมเรื่องนั้นเลย มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเพราะในตอนที่คุณกำลังเริ่มต้นในวงการนี้ ทุกคนต่างก็บอกให้คุณทำตามหัวใจเรียกร้อง ทั้งหมดนั่นไม่ได้มีความหมายอะไรจนกระทั่งคุณได้สัมผัสมันด้วยตัวเองครับ

Q: ถ้าโลกที่ถูกพูดถึงในหนังเป็นเรื่องจริง คุณจะทำอะไรระหว่างพิธีชำระล้างบาป

A: ผมก็จะไปหลบซ่อนใต้เตียง ปิดหน้าต่าง แล้วรอให้หมดสิบสองชั่วโมงครับ ผมคงจะไม่ก้าวเท้าออกไปนอกบ้านเลยล่ะ