เจาะใต้ดินค้นเรื่องจริงของ 33 ชีวิตคนงานเหมืองซานโฮเซ่
สู่หนังแห่งปาฏิหาริย์ The 33
ภาพจริงของคนงานเหมืองซานโฮเซ่ 33 คน ที่ติดอยู่ใต้ดิน
วันที่ 5 สิงหาคม 2010เริ่มต้นขึ้นตามปกติสำหรับคนงานในเหมืองซานโฮเซใกล้เมืองโกปยาโป ประเทศชิลีขณะที่คนงานเหมือง 33 คนเดินทางลึกลงไปยังเหมืองขนาดใหญ่ พวกเขาไม่อาจจินตนาการถึงเหตุการณ์ซึ่งจะทำให้ตนเองกลายเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวสะเทือนขวัญที่ตรึงความสนใจของคนทั้งโลก
หกสิบเก้าวันต่อมาในวันที่ 13 ตุลาคม ผู้คนกว่าพันล้านคอยจับจ้องเมื่อคนงานเหล่านั้นโผล่ขึ้นมาทีละคนๆ จากซากเหมืองซึ่งในเวลานั้นพังทลายลงมาแล้วและขังพวกเขาไว้นานถึงสองเดือนนับเป็นปาฏิหาริย์สำหรับคนงานเหมืองและครอบครัว อีกทั้งยังเป็นชัยชนะสำหรับรัฐบาลชิลีและทีมกู้ภัยจากนานาประเทศแต่ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างในเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจนี้ซึ่งยังไม่ได้รับการบอกเล่า
ภาพจริงของคนงานเหมืองซานโฮเซ่ 33 คน ที่ติดอยู่ใต้ดิน
มาตอนนี้เมื่อเวลาผ่านไปห้าปีหลังการกู้ภัยครั้งประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์เรื่อง “The 33” จะได้ถ่ายทอดความยากลำบากของเหล่าคนงานเหมืองและการต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่ออยู่รอด แม้เมื่อต้องเผชิญกับความเป็นจริงอันโหดร้ายว่าความช่วยเหลืออาจไม่มีทางมาถึง หนังเรื่องนี้ยังได้เผยให้เห็นความหวังและความแน่วแน่ของครอบครัวคนงานเหมืองซึ่งไม่รู้ว่าผู้เป็นที่รักยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่จะไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาถูกหลงลืม รวมถึงความมุ่งมั่นของหน่วยกู้ภัยซึ่งฝ่าฟันอุปสรรคนานาประการเพื่อนำคนงานเหมืองกลับบ้านให้ได้
ผู้กำกับแพทริเชีย ริกเกน กล่าวว่า “หนังเรื่องนี้ว่าด้วยการถูกขังไว้ให้เผชิญหน้ากับความตายตามลำพัง แต่ก็พูดถึงการมีศรัทธาและการได้ชีวิตกลับคืนมาอีกครั้งด้วย มันเป็นเรื่องของการเกิดใหม่ความเข้มแข็งของจิตวิญญาณมนุษย์และอื่นๆ อีกมาก
“สิ่งแรกๆ ที่ทำให้ฉันสนใจโครงการหนังเรื่องนี้” เธอกล่าวต่อ “ก็คือการตระหนักว่ามีคนที่ประทับใจเรื่องราวนี้อยู่มากแค่ไหนในการพัฒนาตัวหนัง ฉันอยากสำรวจว่าอะไรที่ทำให้เรื่องนี้ตรงใจผู้คนทั่วโลกอะไรที่ทำให้ผู้คนเทใจให้ชีวิตของคน 33 คนที่ไม่เคยรู้จัก”
ผู้อำนวยการสร้าง ไมค์ เมดาวอย ผูกพันกับเรื่องนี้เป็นพิเศษหลังใช้ชีวิตช่วงก่อร่างสร้างตัวอยู่ในชิลีเป็นเวลาสิบปีเขาได้พบกลุ่มคนงานเหมืองชาวชิลีเป็นครั้งแรกเมื่อกลุ่มคนงานไปเยือนลอสแองเจลีสหลังจากได้รับการช่วยเหลือไม่นานนักเมื่อพวกเขาเริ่มต้นเล่าเรื่องราวส่วนตัว เมดาวอยกล่าวว่า “เหมือนเข็มนาฬิกาหมุนกลับไปตอนผมอายุ 17 มันทำให้ผมนึกถึงความใจกว้างและอารมณ์ขันของชาวชิลีแต่ผมก็รู้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ได้เกี่ยวกับความทุกข์ยากที่พวกเขาต้องประสบเท่านั้นหนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ตอนจบที่ทุกคนเห็นแต่เป็นเรื่องราวส่วนตัวของผู้คนทั้งบนดินและใต้ดินที่ยึดมั่นในความรักและศรัทธาเพื่อผลลัพธ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้”