HIGHLIGHT CONTENT

ข้อมูลและตัวอย่าง ภาพยนตร์ Malavita

  • 9,519
  • 06 พ.ย. 2013

ผู้กำกับมากฝีมือ “ลุค เบสซอง” เจ้าของผลงานอำนวยการสร้างTAKEN มาร์ติน สกอร์เซซี่ ผู้อำนวยการสร้าง เจ้าของรางวัลผู้กำกับระดับออสการ์ 2 เจ้าพ่อผู้กำกับระดับเทพ จับมือสร้าง “ตระกูลมาเฟีย” โชว์ความโหดเหนือธรรมชาติ

ประเภท Crime / Action
กำหนดฉาย 14 พฤศจิกายน 2013
บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
อำนวยการสร้าง มาร์ติน สกอร์เซสซี่ (Goodfellas , Shutter Island,Taxi Driver)
กำกับ/เขียนบท ลุค เบสซง (Taken, Transporter,The Professional ,The Fifth Element)
นำแสดง โรเบิร์ต เดอ นิโร (The Godfather: Part II, Goodfellas, Raging Bull) มิเชล ไฟเฟอร์ (Stardust,Batman Returns) ทอมมี่ ลี โจนส์ (No Country for Old Men,Lincoln)

เรื่องย่อ

เรื่องราวของครอบครัวมาเฟียตระกูลแมนโซนิส ที่ต้องทิ้งอดีตอันดำมืด ย้ายที่อยู่ไปยังเมืองนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ที่นั่นพวกเขาต้องลบทิ้งตัวตนเก่าและกลายเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาๆ ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าครอบครัว เฟร็ด เบลค (โรเบิร์ต เดอ นิโร) ภรรยา แม็กกี้ เบลค (มิเชล ไฟเฟอร์) และลูกสาว เบล เบลค (ไดแอนนา อากรอน) ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ FBI (รับบทโดย ทอมมี่ ลี โจนส์) ภายใต้โปรแกรมพิทักษ์พยาน แต่แล้วพวกเขาก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยในการละทิ้งชีวิตเก่าๆ และตัดสินใจที่จะสะสางปัญหาด้วย”วิธีแบบของของครอบครัว”

MALAVITA

ภาพยนตร์ตลกร้ายเรื่อง Malavita คือเรื่องราวเกี่ยวกับหัวหน้าแกงค์มาเฟียและครอบครัวที่ต้องย้ายไปอยู่ ณ เมืองเล็กๆที่สุดจะเงียบสงบในประเทศฝรั่งเศสภายใต้โปรแกรมพิทักษ์พยาน หลังจากให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เกี่ยวข้องในวงการมาเฟียกับทางการ เจ้าหน้าที่สแตนสฟิล์ด (ทอมมี่ ลี โจนส์) พยายามอย่างหนักที่จะดูแลความเป็นอยู่ของพวกเขา และทำให้ทุกอย่างออกมาเรียบร้อย แต่ทั้งครอบครัวซึ่งประกอบไปด้วยเฟร็ด มันโซนี(โรเบิร์ต เดอ นีโร) ภรรยา แม็กกี้ (มิเชล ไฟฟ์เฟอร์)  และลูกๆของพวกเขา เบลล์ (ไดแอนนา อักรอน) วาร์เรน (จอห์น ดีลีโอ) ก็ยังไม่สามารถละทิ้งนิสัยเดิมๆของพวกเขาได้และยังคงจัดการปัญหาต่างๆด้วยวิธีถนัดของครอบครัว จนทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นทั้งในสถานการณ์สุดเหลือเชื่อ

Malavita นำแสดงโดย นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ โรเบิร์ต เดอ นีโร(Raging Bull, Silver Linings Playbook) ทอมมี ลี โจนส์ (Lincoln, No Country for Old Men) นักแสดงหญิงที่เคยได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลออสการ์  มิเชล ไฟฟ์เฟอร์(Scarface, The Fabulous Baker Boys) ไดแอนนา อักรอน (“Glee,” I Am Number Four) และจอห์น ดีลีโอ (The Wrestler, Brooklyn’s Finest) ภาพยนตร์กำกับโดย ลุค เบสซง (Taken, Transporter) เขียนบทโดยลุค เบสซงและมิเชล คาลิโอ (“The Sopranos,” “Rescue Me”) ภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากงานเขียนของโตนิโน เบนาควิสตา

ภาพยนตร์กำกับโดย ลุค เบสซง, ไรอัน คาวานอจด์ (The Girl with the Dragon Tattoo, Limitless) และเวอร์จินี เบสซง ซิลลา (The Lady, The Extraordinary Adventures of Adèle Blanc-Sec) กำกับภาพโดย เธียร์รีย์ อาร์โบกัสท์   (The Patience Stone, The Secret Book) ตัดต่อโดยจูเลียน เรย์ (The Lady, The Extraordinary Adventures of Adèle Blanc-Sec) ดนตรีประกอบโดยอีฟเกเนีย เกลเพอรีน  (The Hunger Games, Rust and Bone) และซาช่า เกลเพอรีน (Eva, The Big Picture) ออกแบบงานสร้างโดย ฮักส์ ทิสซานดิเออร์  (Taken, The Chef) ออกแบบเครื่องแต่งกายโดย โอลิวิเยร์ เบริออท  (Taken, The Lady) ผู้อำนวยการสร้าง เจสัน เบคแมน (Safe Haven, Movie 43), Jason Colodne (Safe Haven, Movie 43)มาร์ติน สกอร์เซสซี (Goodfellas, The Departed) และทัคเกอร์ ทูเลย์ (The Fighter, Limitless) อำนวยการสร้างร่วมโดย รอน เบอร์เคิล  (The Secret Life of Girls, Out of the Furnace) และ เจสัน โคลเบค (Mirror, Mirror).

พบกับครอบครัวมันโซนี…หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า ครอบครัวเบลค

หลังจากหัวหน้าแกงค์มาเฟียอย่างเฟร็ดได้ทำการเปิดเผยรายชื่อผู้เกี่ยวข้องในวงการมาเฟียให้กับทางการแล้ว เขาและครอบครัวจึงจำเป็นจะต้องย้ายที่อยู่ไปยังนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ที่ซึ่งพวกเขาจะสำแดงให้ทุกคนเข้าใจถึงความหมายของคำว่าครอบครัวสุดเถื่อนที่แท้จริง Malavita คือผลงานการกำกับของลุค เบสซง ผู้กำกับชาวฝรั่งเศสที่ได้รับคำชื่นชมว่าเป็นผู้ที่มักจะพาผู้ชมไปพบกับแง่มุมที่น่าทึ่งในผลงานของเขา ตัวละครหลัก จิโอวานนิ มันโซนี รับบทโดย โรเบิร์ต เดอ นีโร

“จิโอวานนี หรือตอนนี้ต้องเรียกว่า เฟร็ด เบลค พยายามที่จะเริ่มชีวิตใหม่ที่อเมริกาในตอนแรก หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปยังปารีส และ ล่าสุด ย้ายมาอยู่ที่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส” เบสซงอธิบาย “ไม่มีที่ไหนเลยที่เหมาะสมกับเขา นนั่นเป็นเพราะเฟร็ดและครอบครัว ยังไม่สามารถละทิ้งวิถีการใช้ชีวิตแบบเดิมๆเวลาที่ต้องเผชิญกับปัญหา และตอนนี้เขาต้องมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆของฝรั่งเศส ที่สิ่งพวกเขาหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเสียที แต่สุดท้าย พวกเขาก็คิดผิด เพราะนี่คือสถานที่ที่เรื่องราวในภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้น”

อารมณ์ขันในภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจกันระหว่างครอบครัวเบลคและบรรดาเพื่อนบ้าน เบสซงเล่าว่า “มีการเผชิญหน้าหลายครั้งระหว่างครอบครัวนี้และผู้คนท้องถิ่นในนอร์มังดี ซึ่งเป็นเมืองแถบชนบทของฝรั่งเศส ที่ผู้ต่างพากันพยายามที่จะฉกฉวยเอาผลประโยชน์จากชาวอเมริกันที่ย้ายมาอยู่ใหม่ครอบครัวนี้  แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังหาเรื่องไปลองดีกับใคร!”

หนึ่งในความสนุกสำหรับทีมผู้สร้างก็คือการแสดงให้เห็นถึงคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันระหว่างตัวละครชาวอเมริกันและตัวละครชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับอารมณ์ขันในภาพยนตร์เรื่องนี้ “เราไม่ได้พยายามจะล้อเลียนวัฒนธรรมของชนชาติไหนนะครับ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาหรือฝรั่งเศสก็ตาม” เบสซงกล่าว “แต่เราแค่พยายามที่จะเล่นสนุกกับทุกๆฝ่าย ผมรู้ว่าการอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆที่ห่างไกลจากปารีสมันเป็นอย่างไร เพราะผมก็เติบโตขึ้นมาในสถานที่แบบนั้น นอกจากนี้ผมยังได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ๆแบบนิวยอร์ค แอลเอ ดังนั้นผมจึงรู้จักชาวอเมริกันดี มันเป็นเรื่องที่น่าสนุกและน่าตื่นเต้นในการจับเอาคนสองกลุ่มนี้มารวมกันครับ”

สำหรับโปรดิวเซอร์ เวอร์จินี เบสซง ซิลลา ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นการเปิดแง่มุมใหม่ให้กับภาพยนตร์แนวนี้เป็นอย่างยิ่ง   “เราเคยดูภาพยนตร์มาเฟียมาแล้วหลายเรื่อง ที่พวกเขาถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตนเองเสียใหม่” เธอกล่าว “ฉันอยากที่จะค้นหาดูว่าจะเกิดอะไรขึนกับคนกลุ่มนี้ ที่ต้องใช้ชีวิตแบบปิดบัง พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆที่ไม่คุ้นเคย ไม่ต่างอะไรกับปลาที่ขาดน้ำ ฉันคิดว่ามันสนุกดีค่ะกับปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขาที่มีต่อชาวฝรั่งเศส รวมทั้งวิธีในการปรับตัวให้เข้ากับที่อยู่ใหม่ของพวกเขาด้วย”

เบสซงและผู้เขียนบทร่วมอย่างไมเคิล คาเลโอ ได้เขียนบทของภาพยนตร์เรื่องนี้โดยมีเค้าโครงมาจากนวนิยายเรื่อง Malavita ของ โตนิโน เบนาควิสตา ซึ่งเริ่มเรื่องโดยการตั้งคำถามว่า “ชายที่เคยใช้ชีวิตท่ามกลางความรุนแรงจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองและใช้ชีวิตแบบธรรมดาได้ไหม?” โตนิโนเล่าว่า “ผมได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับโปรแกรมการพิทักษ์พยาน เพื่อนำมาใช้กับนวนิยายแนวคอเมดี้เรื่องนี้ ซึ่งเกี่ยวกับอดีตหัวหน้ามาเฟียที่ต้องเผชิญกับปัญหาในชีวิตอยู่ทุกๆวัน ผมคิดว่าความแตกต่างนี้จะเป็นอะไรที่น่าสนใจยิ่งขึ้น ถ้าพวกเขาต้องไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ ยิ่งต้องพบกับสิ่งที่ท้าทายมากขึ้น ทั้งการใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ และการปรับตัวให้เขากับประเทศใหม่ แห่งนี้”

ผู้เขียนยังกล่าวเพิ่มเติมอีก ถึงเรื่องของความรับผิดชอบและความยากลำบากของสมาชิกในครอบครัว “สมาชิกทุกคนในครอบครัวต้องใช้ชีวิตอย่างปิดบัง หลบซ่อนในเมืองที่ห่างไกล ด้วยความรู้สึกผิด” เขากล่าว “นั่นทำให้เรื่องราวที่เกี่ยวกับครอบครัวๆ ครอบครัวหนึ่งเรื่องนี้ ยิ่งทวีความไม่ธรรมดาขึ้นอีก ตัวละครแต่ละตัวต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายอย่างมาก พวกเขาไม่ต่างอะไรจากเอเลี่ยนในเมืองนี้ ซึ่งทำให้ทุกคนต้องพึ่งพาและรวมตัวกันไว้ และนั่นทำให้เกิดความรักและความสัมพันธ์ที่ดีของคนในครอบครัว”

เบนาควิสตากล่าวว่าเขายินดีที่จะมอบสิทธิ์ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้แก่ลุค เบสซง ด้วยความชื่นชมในผลงานของผู้กำกับผู้นี้ “ผมจำได้ว่าเคยชมภาพยนตร์เรื่อง The Last Battle และมีความรู้สึกว่าผมได้ค้นพบผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคของผมแล้ว มันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างบทกวีและความรุนแรง แม้ว่ามันจะมีทุนในการสร้างที่จำกัด แต่หลังจากที่ผมได้ชมภาพยนตร์แอคชั่นของเขา ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นคงไม่สามารถเสร็จสมบูรณ์ออกมาได้หากปราศจากความสามารถที่ยอดเยี่ยมของเบสซง”

เดิมที เบสซงไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่เมื่อบทของภาพยนตร์เริ่มที่จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น รวมทั้งการรวมตัวกันของทีมนักแสดงคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต เดอ นีโร ทอมมี่ ลี โจนส์ มิเชล ไฟฟ์เฟอร์ เขาจึงเริ่มมีความคิดที่จะเปลี่ยนความตั้งใจในตอนแรก  “เราได้ลองทำรายชื่อผู้กำกับที่มีคุณสมบัติที่จะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ออกมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราได้ตัวนักแสดงที่ยอดเยี่ยม ผมจึงเริ่มไม่อยากที่จะปล่อยภาพยนตร์เรื่องนี้ให้แก่ผู้กำกับคนอื่น” เบสซงกล่าว “ โรเบิร์ต ถามผมว่า ‘ ลุค ทำไมคุณไม่กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เองล่ะ’ ผมจึงคิดได้ว่า แล้วผมจะยอมปล่อยภาพยนตร์เรื่องนี้ไปได้อย่างไร”

Malavita คือภาพยนตร์ตลกร้ายสุดฉลาด ที่การันตีคุณภาพด้วยทีมงานที่จัดได้ว่าเป็นยอดฝีมือสำหรับภาพยนตร์แนวนี้  หนึ่งในนั้นก็คือ โปรดิวเซอร์มือดี เจ้ของรางวัลออสการ์อย่าง มาร์ติน สกอร์เซสซี

สำหรับเบสซง การเข้าร่วมโปรเจคและการสนับสนุนของสกอร์เซสซี ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัยมาก “ผมเป็นแฟนตัวจริงของสกอร์เซสซีครับ” เบสซงกล่าว “ผมโตขึ้นมาท่ามกลางภาพยนตร์อย่าง The Godfather, Scarface และ Goodfellas เมื่อเราได้ตัวนักแสดงอย่างโรเบิร์ต เดอ นีโรมา เราตัดสินใจที่จะติดต่อสกอร์เซสซี ว่าเขาสนใจที่จะเข้าร่วมโปรเจคนี้ด้วยหรือเปล่า หลังจากนั้นเราจึงส่งบทของภาพยนตร์ให้แก่เขา เขาอ่านและหัวเราะพร้อมกับบอกว่า ‘ผมเอาด้วยแล้วกัน ผมตกลงร่วมด้วยกับคุณ!’ มันเป็นอะไรที่เจ๋งมากและทำให้ทุกอย่างดูเพอร์เฟค ถือเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับมาร์ติน”

ทันทีที่ตัดสินใจเริ่มสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ หนึ่งในตัวเลือกแรกของผู้ที่จำมารับบทนำสำหรับเบสซง คงจะเป็ฯใครไปไม่ได้นอกจาก นักแสดงผู้เป็นหนึ่งในตำนานอย่างโรเบิร์ต เดอ นีโร ซึ่งก็เป็นตัวเลือกเดียวกันที่อยู๋ในใจของนักเขียนเจ้าของเรื่องอย่างเบนาควิสตาเช่นกัน “ เขาบอกว่า เขาใฝ่ฝันอยากให้โรเบิร์ต เดอ นีโรมารับบทนี้ “ เบสซงเล่า  “ผมรู้จักกับโรเบิร์ตมาหลายปี ดังนั้นเราจึงส่งบทหนังสือนิยายเรื่องนี้ให้แก่เขา ซึ่งเขาชอบมันมากและตกลงที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจคของเรา”

เบนาควิสตา รู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่ได้รู้ว่า โรเบิร์ต เดอ นีโร ไม่เพียงแค่ตกลงที่จะร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้น แต่เขายังกระตือรืนร้นและประทับใจอย่างมาก เกี่ยวกับเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้ “เมื่อคุณจินตนการเกี่ยวกับฉากต่างๆในหนังสือของคุณ คุณจะไม่มีทางคาดได้ว่ามันจะถูกแสดงออกมาโดยนักแสดงที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ผมรู้ว่าความฝันของผมคงจะไม่มีทางเป็นจริงได้ หากไม่มีเบสซง”

เดอ นีโร กล่าวว่าสิ่งที่ดึงดูดเขาให้ชื่นชอบในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ อารมณ์ขันและแง่มุมที่เรียบง่าย “มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมาเฟียที่ไม่ธรรมดาครับ” เขากล่าว “ ตัวละครของผมคือหัวหน้าแกงค์มาเฟียที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์ค เมื่อเขาต้องเข้ามาอยู่ใต้โปรแกรมการพิทักษ์พยาน เขาและครอบครัวต้องย้ายไปอยู่ที่ปารีส แม้สถานการณ์ทุกอย่างที่นั่นดูแปลกและสุดขั้ว แต่ตัวละครของผมนั้นมีความสมจริงและสามารถจะทำให้ทุกคนอินตามไปด้วยได้”

เดอ นีโร ได้ทำการค้นคว้าและทำความเข้าใจเกี่ยกวับโปรแกรมพิทักษ์พยานหรือที่เรียกว่า WITSEC ก่อนหน้าที่จะทำการถ่ายทำ “ผมพยายามเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์นี้ ว่ามันอาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมันเป็นเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง”

นอกจากนี้เขายังได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของมาเฟีย “เมื่อเราเริ่มทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ มีบางส่วนในโลกของเฟร็ด ที่ผมคิดว่าตัวเองยังทำความเข้าใจได้ไม่มากพอ”  เดอ นีโรกล่าว

เดอ นีโร ได้โทรศัพท์ไปหาผู้เขียนและเพือนนักเขียนคนอื่นๆของเขาที่มีประสบการณ์ในการเขียนเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรม ซึ่งได้ใช้เวลาหลายชั่วโมง ในการอธิบายให้เขาและเบสซงมีความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับชีวิตของเฟร็ด

ในขณะที่อยู่ในกองถ่าย เดอ นีโร ได้คุ้นเคยกับวิธีการถ่ายทำในแบบของเบสซง ซึ่งเขาพอว่ามันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก “ลุค ทำงานอย่างรวดเร็วมากครับ เขามีทุกอย่างอยู่ในหัวแล้ว เมื่อมาถึงกล้อง เขาจึงสามารถจัดการทุกอย่างได้อย่าเป็นมืออาชีพ ผมชอบวิธีการทำงานของเขามาก มันไม่เสียเวลาและมีประสิทธิภาพมากครับ”

ด้วยการมีนักแสดงยอดฝีมืออย่างโรเบิร์ต เดอ นีโรมาอยู่ในทีม จึงไม่ใช่งานง่ายเลย ในการหานักแสดงที่เหลือมารับบทบทตัวละครอื่นๆในภาพยนตร์ ผู้อำนวยการสร้างกล่าวว่า “มิเชล ไฟฟ์เฟอร์เป็นตัวเลือกแรกของลุคในการรับบทแม็กกี้ เธอตกลงในการเข้าร่วมโปรเจคนี้อย่างรวดเร็ว ด้วยเรื่องราวที่ดึงดูดและทีมงานคุณภาพ”

แม้ว่าทั้งเดอ นีโรและไฟฟ์เฟอร์จะเคยแสดงในภาพยนตร์เรื่อง   Stardust และ New Year’s Eve แต่ทั้งคู่กลับไม่เคยได้เข้าฉากด้วยกันเลย แต่อย่างไรก็ตามเดอ นีโรก็ยังรู้สึกสบายใจที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงหญิงมากความสามารถคนนี้ “ผมได้ค้นพบว่าเราเข้ากันได้ดีมากครับ ผมมีความสุขมากที่มิเชลเข้าร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้”

ไฟฟ์เฟอร์ได้พบกับผู้กำกับเบสซงเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการรับบทตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ “มิเชลสนใจในโปรเจคนี้อย่างมากครับ” เบสซงกล่าว “ผมคิดว่าการจับคู่ระหว่างเธอและเดอ นีโร ทำให้ผลงานภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมายอดเยี่ยม พวกเขาต่างอยากที่จะโชว์ความสามารถให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนเองเชื่อใจได้ พวกเขาเป็นผู้เล่นทีมที่ดีเยี่ยม”

ไฟฟ์เฟอร์กล่าวว่าเธออยากจะร่วมงานนี้เพราะโรเบิร์ต เดอ นีโร และเขาก็ไม่ทำให้เธอผิดหวัง “เขาเป็นเหมือนกับบุคคลต้นแบบ“ เธอกล่าว “เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงขั้นเทพที่ฉันนับถือค่ะ โรเบิร์ตเป็นคนที่สุภาพ และทำงานเข้ากับคนอื่นได้อย่างดี ฉันรู้สึกสนุกในการทำงานร่วมกับเขาและเบสซงเป็นอย่างมาก”

นักแสดงสาวมากความสามารถยังกล่าวต่ออีกว่า สิ่งที่ดึงดูดให้เธอแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ รายละเอียดความน่าสนใจในครอบครัวเบลค “ ปกติแล้วภาพยนตร์แนวมาเฟีย คือภาพยนตร์แบบที่ฉันชอบ ซึ่ง Malavita ทำให้มันแปลกใหม่และแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง มันคือเรื่องราวที่บอกเล่าถึงการปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก ซึ่งทำให้เกิดความตลกขบขัน นอกจากนี้มันยังเป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอีกด้วย”

แม็กกี้ถือได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของครอบครัว “เธอเป็นคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว แต่เธอก็เป็นคนที่พยายามอย่างมากในการทำให้สมาชิกในครอบครัวทุกคนมีกำลังใจที่ดี แม็กกี้เข้าใจในสถานการณ์และวิถีชีวิตใหม่ของครอบครัว แต่ก็อาจจะมีบางครั้งที่เธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เมื่อได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม”

ไฟฟ์เฟอร์กล่าวว่าเธอรู้สึกชอบการทำงานที่รวดเร็วของผู้กำกับเบสซงมาก แม้บางครั้งมันจะสร้างความท้าทายให้แก่เธอ “ฉันชอบค่ะ มันช่วยสร้างพลังให้กับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี ลุคเป็นคนที่คิดวางแผนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งฉันชอบในจุดนั้น เขาเป็นคนที่ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดีมากๆ  ”

ทอมมี ลี โจนส์ และ ลุค เบสซงเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี รวมทั้งยังเคยร่วมงานกันในภาพยนตร์อย่าง The Three Burials of Melquiades Estrada และกำลังจะร่วมงานกันอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง The Homesman  เบสซงกล่าวถึงเพื่อนนักแสดงของว่า  “ทอมมี่เป็นคนที่ไม่ชอบเสียเวลา เมื่อสิ่งที่คุณพูดนั้นถูก เขาก็พร้อมที่จะเข้าใจและเชื่อคุณ เขาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นอัจฉริยะ ดังนั้นเราจึงไม่เคยมีปัญหาในการทำงานร่วมกันครับ”

โจนส์กล่าวถึงสาเหตุที่เขาตัดสินใจแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเบสซงและทีมนักแสดงคนอื่นๆ  “การทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาดีมากครับ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยร่วมงานกับเดอ นีโรมาก่อน ซึ่งเมื่อได้รับข้อเสนอ ผมก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่ผมจะไม่มืทางปฏิเสธแน่นอน เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ผมร็สึกชื่นชมจากใจจริงตั้งแต่ผลงานชิ้นแรกของเขา”

นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าตัวเองรู้สึกถูกดึงดูดด้วยบทของภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นถึงแง่มุมใหม่ๆของภาพยนตร์ประเภทนี้  “ครอบครัวมาเฟียที่ต้องอยู่ภายใต้โปรแกรมพิทักษ์พยานในฝรั่งเศส มันเป็นเรื่องที่มีกลิ่นอายของความเป็นดรามาและคอเมดี้  คาแรคเตอร์ของผมคือ เจ้าหน้าที่ สแตนสฟิล์ด คือ FBI ที่คอยจับตามองครอบครัวนี้ เขาพยายามที่จะช่วยเหลือพวกเขาจากการปะทะเผชิญหน้า  ก่อนหน้านี้ผมเคยรับบทเป็นเจ้าหน้าที่จากทางการมาก่อน แต่บทบาทนี้แตกต่างออกไป ซึ่งทำให้ผมได้เรียนรู้และแสดงอะไรใหม่ๆครับ”

อีก 2 นักแสดงรุ่นใหม่ อย่างสาวสวย ไดแอนนา อักรอน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีจากบทเชียร์ลีดเดอร์สาวในซีรีส์ยอดฮิตอย่าง  Glee  และหนุ่มน้อยดาวรุ่ง จอห์น ดี เลโอ ซึ่งเคยรับบทในภาพยนตร์อย่าง The Wrestler และ Brooklyn’s Finest

“ไดแอนนาและจอห์นเป็นคนที่น่าอัศจรรย์มาก พวกเขาสนุกสนานและทำให้ฉันรู้สึกสนุกที่ได้ใช้เวลาด้วย ” ไฟฟ์เฟอร์กล่าว

“เมื่อได้รับข้อเสนอนการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ อักรอนก็ไม่รอช้าที่จะตกลงร่วมงานกับทีมงานคุณภาพที่เธอชื่นชม   “ลุค เบสซงคือผู้กำกับที่ฉัรู้สึกชื่นชมมานานแล้วค่ะและเขาคือหนึ่งสาเหตุหลักที๋ฉันตกงแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากนี้ทั้งโรเบิร์ต เดอ นีโร ทอมมี่ ลี โจนส์ มิเชล ไฟฟ์เฟอร์ ก็ยังเป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ฉันอยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคนี้ด้วย”

นักแสดงสาวรู้สึกตื่นเต้นมากกับการรับบทตัวละครที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก  “ฉันคิดว่าการอาศัยอยู่ในเมืองแถบชนบทของฝรั่งเศสและต้องพยายามทำตัวให้ธรรมดาที่สุดนั้นเป็นอะไรที่ฮามาก เมื่อฉันได้อ่านหนังสือ นเห็นภาพทั้งหมดอยู่ในหัวได้เลย นอกจากนี้ส่วนที่ฉันชอบมากก็คือความเป็นทริลเลอร์ของภาพยนตร์ ซึ่งเมื่อมาผสมผสานร่วมกันแล้ว ทำให้มันกลายเป็นเรื่องราวที่มีเอกลักษณ์มากๆ”

เช่นเดียวกับวัยรุ่นอเมริกันทั่วๆไป เบลมีปัญหากับการค้นหาตัวตนของตนเอง ซึ่งสถานการณ์ยิ่งแย่ขึ้นไปอีกเมื่อเธอต้องอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย  “เธออยากจะมีความรัก เธอฝันถึงการได้ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่ไกลห่างออกไป เธอมีความเป็นผู้ใหญ่ เป็นนักสังเกตุและขณะเดียวกันก็เป็นคนช่างฝัน มีฉากหนึ่งบนโต๊ะอาหาร ซึ่งเบลเพิ่งมีความรักเป็นครั้งแรก ฉันมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างและทันใดนั้น ฉันก็ลืมบทของตัวเอง! ลุคพูดว่าฉันเหมือนกับเบลจริงๆในชั่วขณะนั้น”

เบลรู้สึกผูกพันกับครอบครัวมาก  “ เธอภูมิใจในพ่อของตัวเองมากค่ะ ฉันรักท่านทั้งสอง ทั้งพ่อและแม่ แต่พ่อเป็นเหมือนกับบุคคลต้นแบบของเธอ มีอยู่ฉากหนึ่งที่พ่อของเธอแสดงความรู้สึกผิดต่อครอบครัว ที่สถานการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ และเบลเลือกที่จะปฏิเสธคำขอโทษของเขา เพราะสำหรับเธอ พ่อคือทุกสิ่งทุกอย่างทีเธอรักและศรัทธา”

ในขณะที่อักรอนถูกเลือกให้รับบทในภาพยนตร์เรื่องนี้ภายหลังจากที่ได้พบกับเบสซง แต่สำหรับบทบาทของวาร์เรนวิธีการคัดเลือกกลับแตกต่างออกไป  “เราได้จัดการออดิชั่นเพื่อตามหานักแสดงที่มีความสามารถครับ” เบสซงกล่าว “จอห์น ดี เลโอ เป็นคนหนึ่งที่อยากจะได้บทนี้มาก และเขาก็สามารถโชว์ให้เห็นถึงความสามารถของตัวเองได้เป็นอย่างดี เขาคือหนึ่งในนักแสดงรุ่นใหม่ที่ยอดเยี่ยม”

ดี เลโอนั่งอ่านบทภาพยนตร์อยู่พักหนึ่งแต่ตัดสินใจได้ในเวลาไม่นานว่าเขาต้องการที่จะรับบทนี้  “พวกเขาไม่เหมือนครอบครัวอื่นทั่วไป ” เขากล่าว “พวกเขาไม่สามารถทะเลาะกันเหมือนกับครอบครัวทั่วไปได้ด้วยซ้ำ พวกเขาต้องสามัคคีกันไว้ เพราะมีคนอื่นมากมายที่พยายามจะเอาชีวิตพวกเขา ดังนั้นครอบครัวจึงถือเป็นที่พึ่งที่สำคัญที่สุด”

นักแสดงหนุ่มรู้สึกในทันที่ว่าตัวละครของเขาใฝ่ฝันที่จะเป็นเหมือนพ่อ แม้ว่าเฟร็ดจะเป็นคนทำให้เกิดสถานการณ์แบบในปัจจุบันก็ตาม  “แต่วาร์เรนก็ไม่ได้โทษพ่อของเขา เพราะพ่อเป็นเหมือนบุคคลต้นแบบสำหรับเขา เขาอยากจะช่วยพ่อในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัว วาร์เร็นเป็นตัวละครที่มีความเป็นอิสระมาก  เหมือนกับเบล เขาพยายามทำทุกอย่างด้วยตนเองโดยไม่พึ่งพ่อแม่ทั้งๆที่มีอายุเพียงแค่ 14 และทั้งๆที่เขากลัวสุดๆ”

การได้ร่วมงานกับสุดยอดฝีมือแห่งฮอลลิวู้ด ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ใครก็ไม่มีวันลืม ดี เลโอกล่าวว่า “หลังจากช่วงถ่ายทำ ทุกๆคนผ่อนคลายและใจดีมากครับ จริงๆแล้วแม้แต่ตอนที่ถ่ายทำ พวกเขาก็ใจดีมากและในขณะเดียวกันก็มีความเป็นมืออาชีพมาก สำหรับผมประสบการณ์เหล่านี้ถือเป็นอะไรที่พิเศษมาก มันช่วยให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายครับ”

ภาพยนตร์เรื่อง Malavita ถ่ายทำในนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งผู้กำกับได้เลือกสถานที่ใช้ถ่ายทำบ้านที่พักอาศัยของครอบครัวเบลคไว้อย่างพิเศษ  “มันอยู่ห่างออกไปแค่เพียง 5 ไมล์จากบ้านของผมครับ เราหาโลเคชั่นทั้งหมดได้ภายในละแวกเดียวกัน ดังนั้นทุกๆวัน เราจึงเดินทางแค่เพียงใกล้ๆเพื่อการถ่ายทำ มันเป็นช่วงหน้าร้อนและทำให้เราไม่รู้สึกเหมือนกับทำงานอยู่ มันเป็นอะไรที่สนุกดีครับ”

เบสซงเล่าถึงวิธีค้นพบสถานที่ถ่ายทำของเขาให้ฟังว่า “เราเจอบ้านสำหรับครอบครัวเบลคตอนที่ลูกสาวของผมป่วยช่วงคริสมาสต์ และหมอเพียงคนเดียวที่เปิดทำการรักษาในช่วงนั้นอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆที่ผมไม่เคยไปมาก่อน เมื่อไปถึงที่นั่นผมก็รู้สึกได้ทันทีว่าที่นี่คือสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการถ่ายทำ”

การถ่ายทำในนอร์มังดีถือเป็นช่วงเวลาที่ดี สำหรับทีมนักแสดง “มันสวยงามมาก” อักรอนกล่าว “ที่นี่ไม่มีปาปารัสซี่ ซึ่งทำให้มันกลายเป็นสถานที่ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายทำ ในเมืองมีร้านอาหารเล็กๆ ที่เรามักจะไปด้วยกันทุกๆคืน มันทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวจริงๆ”

Malavita คือภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของผู้กำกับชั้นเซียนของฮอลลิวู้ดอย่าง ลุค เบสซง ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมาแล้วกว่า 30 ปี   “ ผมเริ่มทำงานในวงการภาพยนตร์มาตั้งแต่อายุ 17 และก็ยังไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร คนๆหนึ่งถึงเลือกที่จะดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ผมเคยเดินทางไปที่เกาหลีครั้งหนึ่ง และมีเด็กหนุ่มที่มีทรงผมโมฮอว์คสีชมพู เดินเข้ามาบอกผมว่า ‘ภาพยนตร์เรื่องโปรดของผมคือ Subway’ ผมพูดกับเขาว่า ‘แต่ตอนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างขึ้น คุณยังไม่เกิดเลยนะ’ มันเป็นอะไรที่ผมนึกแล้วก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ “

“สิ่งที่ผมหวังก็คือการสร้างภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมัน “ เบสซงกล่าวต่อ “เราอยากที่จะรู้สึกสนุก แม้กระทั่งในสถานการณ์ที่ค่อนข้างซีเรียส มันยังมีความตลกปนอยู่ได้ สิ่งที่สำคัญคือการหาจุดสมดุลให้ได้โดยไม่ต้องพยายามที่จะทำให้มันตลชกมากเกินไป แค่ทำทุกอย่างออกมาอย่างจริงจัง ผมเชื่อว่ามันจะทำให้ผู้ชมเกิดรอยยิ้มได้”

ประวัติทีมนักแสดง

โรเบิร์ต เดอ นีโร คือ หนึ่งในยอดฝีมือของวงการ การันตีด้วยการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มาแล้วถึง 5 ครั้ง โดยครั้งล่าสุด จากผลงานเรื่องเยี่ยมอย่าง  Silver Linings Playbook  ซึ่งเขาแสดงร่วมกับเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์และแบรดลีย์ คูเปอร์

เดอ นีโร คือยอดฝีมือผู้เก่งกาจที่เคยโชว์ความสามารถทางการแสดงของเขามาแล้วในบทบาทที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ดรามา Being Flynn, ภาพยนตร์แนวโรแมนติก คอเมดี้ New Year’s Eve ภาพยนตร์ทริลเลอร์สุดมันส์ Limitless, คอเมดี้สุดฮา Little Fockers  ภาพยนตร์แนวลึกลับ Red Lights เป็นต้น

เดอ นีโร ได้รับรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกในสาขานักแสดงสมบทชายยอดเยี่ยมจากการแสดงของเขาใน  The Godfather: Part II (1974) และในปี1980 เขาก็ชนะรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่สอง ซึ่งในคราวนี้คือสาขานักแสดงชายยอดเยี่ยมจากการรับบทใน  Raging Bull

เขาได้รับการเสนอชื่อเขาชิงรางวัลออสการ์จากบทบาทที่น่าจดจำในภาพยนตร์หลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น  Taxi Driver, The Deer Hunter, Awakenings และ Cape Fear

เดอ นีโร เริ่มต้นอาชีพนักแสดงของเขาในปี 1969 จากการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง  The Wedding Party  และในช่วงเวลาต่อมาคือปี  1974 เขาก็ได้รับรางวัลจากสมาคมนักวิจารณ์แห่งนิวยอร์ค สำหรับการแสดงของเขาใน  Bang the Drum Slowly  และยังได้รับรางวัลจากสมาคมนักวิจารณ์แห่งชาติในการแสดงภาพยนตร์เรื่อง Mean Streets

ผลงานเรื่องอื่นๆของเขาอาทิเช่น The Last Tycoon, 1900, True Confessions , Falling in Love, Once Upon a Time in America, King of Comedy,  Goodfellas , Casino, Brazil, The Mission, The Untouchables, Angel Heart, Midnight Run, Jacknife, Stanley and Iris, We’re No Angels, Backdraft, This Boy’s Life ,City by the Sea, Mad Dog and Glory, Frankenstein, Heat, Sleepers, Wag the Dog ,What Just Happened, Marvin’s Room, The Fan, Copland, Great Expectations, Jackie Brown, Ronin, Analyze This , Analyze That, Flawless, The Adventures of Rocky and Bullwinkle, Men of Honor, 15 Minutes, The Score, Showtime, Godsend, Hide and Seek, The Bridge of San Luis Rey, Meet the Parents ,Meet the Fockers, Righteous Kill , Everybody’s Fine

มิเชล ไฟฟ์เฟอร์ นักแสดงหญิงคุณภาพผู้เปี่ยมด้วยเสน่ห์แห่งวงการ ผู้ชนะรางวัลลูกโลกทองคำและเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 3 ครั้ง

ผลงานล่าสุดของเธอคือ  Dark Shadows ภาพยนตร์ซึ่งเป็นร่วมงานกันอีกครั้งระหว่างเธอและทิม เบอร์ตัน  จากจากนี้เธอยังได้แสดงในภาพยนตร์แนวดรามาของอเล็กซ์ เคิร์ทซแมนอย่าง People Like Us ร่วมกับคริว ไพน์ โอลิเวีย ไวล์ดและเอลิซาเบธ แบงส์ เป็นต้น

ไฟฟ์เฟอร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปี 1989 สำหรับการแสดงของเธอจากภาพยนตร์เรื่อง Dangerous Liaisons ร่วมกับจอห์น มัลโควิชและอูมา เธอร์แมน

ในปี1990 เธอชนะรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากผลงานภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง  The Fabulous Baker Boys และในปี 1993 ไฟฟ์เฟอร์ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งออสการ์และรางวัลลูกโลกทองคำจากการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง  Love Field

ผลงานเรื่องอื่นๆของเธอได้แก่ I Am Sam, What Lies Beneath, The Story of Us, A Midsummer Night’s Dream,  The Deep End of the Ocean, One Fine Day, To Gillian on Her 37th Birthday, Up Close & Personal, Dangerous Minds, Wolf, Batman Returns, The Witches of Eastwick, Tequila Sunrise, Alan Alda’s Sweet Liberty และ Ladyhawke.

ทอมมี่ ลี โจนส์ หนึ่งในนักแสดงชายที่มีพรสวรรค์และประสบความสำเร็จมากที่สุดของวงการ เจ้าของรางวัลออสการ์ที่เคยโชว์ความสามารถที่น่าอัศจรรย์ไว้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง อาทิเช่น Lincoln , Men in Black 3, Hope Springs, Emperor, No Country for Old Men, In the Valley of Elah เป็นต้น.

โจนส์เริ่มต้นอาชีพนักแสดงของเขา จากการแสดงใน Love Story จากนั้นจึงได้แสดงใน Coal Miner’s Daughter  ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ

โจนส์เคยได้รับการเสนอชื่อเขาชิงรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากการรับบทในภาพยนตร์เรื่องฮิตแห่งปี 1993 อย่าง  The Fugitive  ซึ่งด้วยความสามารถทางการแสดงของเขา ก็ทำให้โจนส์สามารถคว้ารางวัลนักลูกโลกทองคำไปครองได้สำเร็จ และในอีก 3 ปีต่อมา เขาก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกจากบท เคลย์ ชอว์ ใน JFK

ตลอดระยะเวลานับสิบปีในการทำงาน ทอมมี ลี โจนส์ได้ฝากฝีมือทางการแสดงของเขาไว้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Eyes of Laura Mars, Stormy Monday, The Package and Under Siege, Heaven and Earth, Natural Born Killers, The Client ,Batman Forever,  Blue Sky,  Cobb,  U.S. Marshals,  Double Jeopardy,  Rules of Engagement,  Space Cowboys,  The Hunted,  The Missing,  A Prairie Home Companion,  In the Electric Mist และ Captain America: The First Avenger เป็นต้น

ไดแอนนา อักรอน หนึ่งในนักแสดงสาวดาวรุ่งคนใหม่แห่งฮอลลิวู้ด เธอคือหนึ่งในนักแสดงจากซีรีส์สุดฮิต  “Glee” ซึ่งทำให้เธอเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ทีน ชอยส์ อวอร์ดมาแล้วถึง 3 ครั้ง

นอกจากนี้เธอยังเป็นที่รู้จักกันดีจากบทของเธอในภาพยนตร์แอคชั่น ไซไฟอย่าง I Am Number Four และ Burlesque ซึ่งเธอแสดงร่วมกับแชร์ คริสตินา อากิเรล่า

ผลงานเรื่องอื่นๆของเธอ อาทิ   The Romantics , Bold Native,Numb3rs,Heroes,Veronica Mars,Shark,Drake & Josh และ CSI: NY

จอห์น ดี เลโอ นักแสดงหนุ่มรุ่นใหม่ชาวอเมริกา ซึ่งเคยฝากผลงานการแสดงของเขาไว้แล้วมากมาย อาทิเช่น   The Wrestler, Brooklyn’s Finest, Cop Out ,Wanderlust. นอกจากนี้ยังเคยแสดงละครทางโทรทัศน์อย่าง  How to Make It in America” “Mercy” “Law & Order: SVU” “Life on Mars” และ “The Unusuals”  อีกด้วย

ประวัติผู้กำกับ

ลุค เบสซง เริ่มต้นอาชีพด้านภาพยนตร์ของเขาในปี 1977ด้วยการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับทั้งในประเทศฝรั่งเศสและอเมริกา หลังจากนั้นจึงได้ไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างซึ่งเป็นที่รู้จักในระดับสากล

ในปี1983 เขาได้เริ่มกำกับผลงานภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องแรกอย่างThe Last Battle, which ซึ่งได้เข้าฉายในเทซกาลภาพยนตร์ Avoriaz

หลังจากนั้น 2 ปี เบสซงกำกับภาพยนตร์เรื่อง Subway ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลCesar Awards ไปถึง 3 รางวัล ส่งให้ชื่อของลุค เบสซงและสไตล์การกำกับภาพยนตร์ของเขาได้รับการยอมรับในวงการภาพยนตร์ในทันที

หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ในอีกไม่กี่ปีถัดมาเขาก็กลับมาพร้อมผลงานใหม่อย่าง  The Big Blue ที่กวาดรายได้ไปได้อย่างงดงามและกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงแบบเป็นปรากฏการณ์ในช่วงนั้น

ในปี 1995 เขาได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Fifth Element ซึ่งกลายมาเป็นภาพยนตร์ฝรั่งเศสซึ่งทำรายได้สูงสุดในสหรัฐเท่าที่เคยมีมา และทำให้เขาได้รับรางวัล ซีซาร์อวอร์ดในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมไปครอง

ในปี 1999 เขากำกับภาพยนตร์เรื่อง Joan of Arc ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลซีซาร์อวอร์ดในสาขาเดิมอีกครั้ง

ใบปี 2000 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการของเทศกาลภาพยนตร์คานส์ครั้งที่ 53 ซึ่งถือได้ว่เป้นประธานที่มีอายุน้อยที่สุดของประวัติศาสตร์เทศกาลภาพยนตร์นี้

ผลงานที่ผ่านมาทั้งหมดของเขา 2011 The Lady, Arthur 3: The War of the Two Worlds,The Extraordinary Adventures of Adele Blanc-Sec, Arthur and the Revenge of Maltazard, Arthur and the Invisibles, Angel-A, Joan of Arc, The Fifth Element,Leon: The Professional, Atlantis,La Femme Nikita, The Big Blue,Subway, The Last Battle, L’Avant-Dernier

http://www.youtube.com/watch?v=cE4G1MSZV-o