HIGHLIGHT CONTENT

ข้อมูลภาพยนตร์ “Kick-Ass 2”

  • 14,392
  • 13 ส.ค. 2013

คิกแอส  เกรียนโคตรมหาประลัย 2

ชื่อภาพยนตร์ Kick-Ass 2
ชื่อไทย คิกแอส เกรียนโคตรมหาประลัย 2
วันที่เข้าฉาย 22 สิงหาคม 2556
จัดจำหน่าย บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์ อีสต์)

คิ๊กแอส, ฮิทเกิร์ล และเร็ดมิสต์ กลับมาแบบพร้อมหน้าพร้อมตาใน Kick-Ass 2 ภาคต่อของหนังฮิตแหวกตลาดประจำปี 2010 หลังจากความห้าวหาญของคิ๊กแอส (แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน) ที่ออกปราบเหล่าร้ายด้วยตนเอง ได้สร้างแรงบันดาลให้เกิดเป็นกลุ่มนักปราบอธรรมสวมหน้ากากทำมือ ซึ่งนำทีมโดยสุดแสบอย่างผู้พันสตาร์ส แอนด์ สไตรป์ส (จิม แคร์รี่ย์) คิ๊กแอส ฮีโร่ของเราได้เข้าร่วมกลุ่มลาดตระเวนกับทีมนักปราบอธรรมนี้ และเมื่อเหล่าซูเปอร์ฮีโร่มือสมัครเล่นเหล่านี้ถูก เร็ดมิสต์ (คริสโตเฟอร์ มินท์ซ-แพลส) ที่กลายมาเป็นมหาวายร้าย มาเธอร์ฟั%&*‏^เกอร์ ตามล่า มีเพียงฮิทเกิร์ล (โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์) พร้อมดาบคู่ใจเท่านั้นที่จะปกป้องการกวาดล้างครั้งนี้ได้

ครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็นมือสังหารรุ่นเยาว์ ฮิทเกิร์ล กับฮีโร่หนุ่มสวมหน้ากาก คิ๊กแอส พวกเขาพยายามใช้ชีวิตตามประสาวัยรุ่นธรรมดาๆ ที่ชื่อ มินดี้กับเดฟ ขณะที่ใกล้จะเรียนจบ แถมยังไม่แน่ใจเสียด้วยว่าจะทำยังไงดีกับสถานะซูเปอร์ฮีโร่ของตน เดฟตัดสินใจตั้งทีมซูเปอร์ฮีโร่ทีมแรกของโลกร่วมกับมินดี้ แต่โชคร้ายที่มินดี้ดันโดนจับได้ขณะสวมหน้ากาก ฮิทเกิร์ล ออกทำงาน เธอจึงถูกบีบให้ต้องเกษียณงานปราบอธรรม และทำให้เธอต้องออกไปเผชิญโลกที่แสนสยองของเหล่าสาววัยรุ่นไฮสกูลสุดโหดเพียงลำพัง เมื่อไม่มีพรรคพวกให้ปรึกษา เดฟจึงหันไปผนึกกำลังกับทีมจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ ที่บริหารงานโดยอดีตมาเฟียที่ชื่อผู้พันสตาร์ส แอนด์ สไตรป์ส

  ขณะที่พวกเขาเริ่มทำให้ชีวิตบนท้องถนนเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลับมีมหาวายร้าย มาเธอร์ฟั%&*^เกอร์ ทำการรวบรวมทีมชั่วช้า และยังวางแผนการที่จะทำให้คิ๊กแอสและฮิทเกิร์ล ต้องชดใช้ในสิ่งที่เคยกระทำต่อพ่อของเขา แต่แผนการของเขายังมีปัญหาหนึ่งอย่าง เพราะถ้าใครขืนไปแหย่สมาชิกคนใดคนหนึ่งของทีมจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ เท่ากับต้องเจอกับสมาชิกทุกคนในทีมซูเปอร์ฮีโร่ทีมนี้

จากบทภาพยนตร์จากฝีมือของผู้กำกับ เจฟฟ์ แว็ดโลว์ (Cry_Wolf, Never Back Down) และสร้างจากหนังสือการ์ตูนที่เป็นผลงานการสรรค์สร้างของ มาร์ก มิลลาร์ (Wanted, Kick-Ass) และจอห์น เอส โรมิตา จูเนียร์ (Kick-Ass), ภาพยนตร์แอ็กชั่นตลกเรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย แมทธิว วอห์น (X-Men: First Class, Kick-Ass), อดัม โบห์ลิ่ง (Kick-Ass, Layer Cake), ทาร์ควิน แพ็ค (X-Men: First Class, Kick-Ass) และเดวิด รี้ด (Kick-Ass, Layer Cake)

ทีมงานหลังกล้องที่ล้วนแต่มีชื่อเสียงที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ เหล่าทีมงานหลังกล้องของ Kick-Ass นำทีมโดยผู้กำกับภาพ ทิม มอริซ โจนส์ (The Woman in Black, Kick-Ass), ผู้ลำดับภาพ เอ๊ดดี้ แฮมิลตัน (X-Men: First Class, Kick-Ass), โปรดักชั่นดีไซเนอร์ รัสเซลล์ เดอ โรซาริโอ (Kick-Ass, Mean Machine), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แซมมี่ เชลดอน ดิฟเฟอร์ (X-Men: First Class, Kick-Ass), ผู้แต่งดนตรีประกอบ เฮนรี่ แจ็คแมน (Wreck-It Ralph, Kick-Ass) และแมทธิว มาร์จีสัน (X-Men: First Class, Puss in Boots), ผู้ออกแบบทรงผมและแต่งหน้า เฟ แฮมมอนด์ (ภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Rush, Life of Pi) และผู้ประสานงานสตั๊นต์ เจมส์ โอดี (Snow White and the Huntsman, X-Men: First Class)

ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์แอ็กชั่นตลกเรื่องนี้ คือ มิลลาร์ โรมิตา จูเนียร์, สตีเฟ่น มาร์กส์, คลอเดีย วอห์น, ปิแอร์ ลาแกรนจ์ และเทรเวอร์ ดุ๊ก มอเร็ตซ์

Kick-Ass 2 ถ่ายทำกันที่ไพน์วู้ด สตูดิโอส์ และตามโลเกชั่นในลอนดอนและโตรอนโต้

เบื้องหลังงานสร้าง

งานเขียนบทจนถึงงานถ่ายทำ: คิ๊กแอสกลับมาอาละวาดอีกครั้ง

“Kick-Ass” หนังสือการ์ตูนที่ มาร์ก มิลลาร์ ได้สร้างสรรค์ร่วมกับศิลปิน จอห์น เอสโรมิตา จูเนียร์ และเปิดตัวครั้งแรกในปี 2008 ได้ท้าทายแฟนๆ ที่อยากรู้อยากเห็นด้วยคำถามง่ายๆ เพียงข้อเดียวว่า “ทำไมถึงไม่มีใครพยายามจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่กันบ้าง” ชายสองคนนี้ได้ตอบคำถามนี้ด้วยการโจมตีที่รุนแรง ตัวละครที่น่าจดจำและบทพูดที่เหมาะเจาะ

เพราะได้แรงหนุนจากความสำเร็จระดับบล็อกบัสเตอร์ของภาพยนตร์แอ็กชั่นจากค่ายยูนิเวอร์แซล เรื่อง Wanted ซึ่งสร้างจากหนังสือชื่อเรื่องเดียวกันของเขา ทำให้มิลลาร์เริ่มต้นสำรวจความเป็นไปได้ที่จะนำ “Kick-Ass” มาขึ้นจอใหญ่ เพราะ “Kick-Ass” เป็นหนังสือการ์ตูนอิสระ ทำให้ทีมผู้สร้างมีอิสระมากขึ้นในการหาตัวหุ้นส่วนที่จะมาร่วมกันสร้างภาพยนตร์โดยจะต้องเป็นผู้ที่ชื่นชอบและชื่นชมในโครงเรื่องสุดแหวกแนวของมัน

ในเวลานั้น ผู้กำกับแมทธิว วอห์น กำลังมองหางานที่จะเป็นผลงานหนังเรื่องต่อไปของเขาอยู่พอดี และเขาก็เพิ่งจะได้รับการแนะนำให้รู้จักกับมิลลาร์ โดยผู้แนะนำก็คือ เจน โกลด์แมน ผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Stardust และสามีของเธอ โจนาธาน รอสส์ ต่อมา มิลลาร์ได้เสนอไอเดียให้กับวอห์นมากมาย แต่ไอเดีย Kick-Ass เข้าตาวอห์นมากที่สุด เขาจึงตั้งใจที่จะนำเอาจิตวิญญาณแบบเดียวกันของหนังสือการ์ตูนมาใส่เอาไว้ในเวอร์ชั่นหนัง ถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงการต้องใส่หลายต่อหลายฉากที่ ฮิทเกิร์ล ซึ่งเป็นเด็กหญิงวัยเพียง 11 ปี จะต้องสังหารผู้ร้ายที่ใช้อาวุธหนักหลายสิบคนด้วยอาวุธร้ายแรงและยังสบถออกมาเป็นพรวน แต่เมื่อโปรเจ็กต์นี้ถูกปฏิเสธโดยสตูดิโอส์ยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวู้ด วอห์นจึงตัดสินใจที่จะออกทุนสร้างหนัง Kick-Ass เอง

Kick-Ass ที่เขียนบทโดยโกลด์แมนและวอห์น ได้ถูกนำขึ้นจอโดยนำเสนอเรื่องราวสุดโลดโผนของ เดฟ ลิซิวสกี้ วัยรุ่นหนุ่มชาวแมนฮัตตันที่ตั้งใจจะกลายมาเป็นซูเปอร์ฮีโร่เล่นจริงเจ็บจริง เขาจึงสวมใส่ชุดเว็ทสูทสีเขียวเหลือง และเรียกตัวเองว่า คิ๊กแอส ผู้เข้าถึงจินตนาการของผู้คน และกลายเป็นปรากฏการณ์ออนไลน์ ในไม่ช้า คิ๊กแอสพบว่าเขาไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่เพียงหนึ่งเดียวของเมืองนี้เมื่อเขาได้พบคู่หูดูโอพ่อลูกปราบอธรรม ที่ไม่กลัวตาย แถมยังผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี อย่าง บิ๊กแด๊ดดี้และมือสังหารนินจา ฮิทเกิร์ล เมื่อ คิ๊กแอส ได้เข้าไปพัวพันกับภารกิจโค่นอาณาจักรผู้ร้ายของเจ้าพ่อมาเฟีย แฟรงก์ ดีอามิโค่ ฮีโร่ของเราก็ต้องเผชิญกับศัตรูที่สมน้ำสมเนื้ออย่าง คริส ลูกชายวัยรุ่นของแฟรงก์ ผู้ตั้งฉายาให้ตัวเองว่า เร็ดมิสต์

จะว่าไปแล้ว Kick-Ass ก็คือการเสี่ยงเดิมพันครั้งใหญ่ แต่เป็นความเสี่ยงที่ทางทีมผู้สร้างได้เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับแล้ว  Kick-Ass ถ่ายทำกันในปี 2008 โดยวอห์นได้นำภาพยนตร์เรื่องนี้ไปฉายให้กับผู้สนใจจะจัดจำหน่ายได้ดูกันในหนึ่งปีต่อมา และเขาได้เซ็นสัญญากับไลออนส์เกท และยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ที่จัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ในตลาดอเมริกาและตลาดต่างประเทศในปี 2010  Kick-Ass ได้รับเสียงวิจารณ์ในระดับที่น่าทึ่ง อย่างเช่น ริชาร์ด คอร์ลิสส์ จากนิตยสาร Time ได้เขียนชมภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “มันทะยานฉิวราวกับใช้พลังเจ็ท กับไอเดียหลักของเรื่องที่จับคู่ภารกิจห้าวหาญของซูเปอร์ฮีโร่เข้ากับความเป็นจริงของชีวิตวัยรุ่นกลางเมืองหลวง และความไหลลื่นที่สุดว่องไวของสไตล์ของหนัง”

ถึงแม้ภาพยนตร์แปลกแหวกแนวเรื่องนี้จะทำให้นักวิจารณ์หลายคนต้องเลิกคิ้วด้วยความฉงน แต่กลับเป็นที่ชื่นชมและชื่นชอบของกลุ่มคนดูที่เข้าใจในความต้องการของวอห์นที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับภาพยนตร์แนวนี้ ในทางกลับกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถทำรายได้จากทั่วโลกไปเกือบ $100 ล้าน และได้พิสูจน์ความสำเร็จของมันเมื่อหนังลงแผ่นดีวีดีและบลูเรย์ จนทำให้มีสาวกผู้ติดตามอยู่ไม่น้อย

ตลอดเวลานั้น มิลลาร์และโรมิตา ยังคงทำงานสานต่อเรื่องราวนี้ต่อมา บทแรกของหนังสือการ์ตูนซีรีส์ภาคต่อ “Kick-Ass 2, Issue 1” เปิดตัวในวันที่ 20 ตุลาคม 2010 หนังสือชุดนี้ทำให้พวกเราได้กลับมาผูกพันกับมินดี้และเดฟอีกครั้ง ขณะที่พวกเขาพยายามที่จะรักษาความลับของพวกเขาในฐานะ ฮิทเกิร์ลและคิ๊กแอส เอาไว้เป็นความลับ ขณะที่มินดี้ช่วยฝึกเดฟให้เป็นฮีโร่ที่เก่งขึ้น ผู้สามารถทนต่อหมัดได้มากขึ้น  ขณะเดียวกันนั้น เร็ดมิสต์ก็กลับมาพร้อมทัศนคติแบบใหม่ที่โรคจิตมากขึ้น พร้อมกับชื่อที่เปลี่ยนไปจนใครก็บ้าได้ไม่ทัน คริส ซึ่งตั้งกลุ่มซูเปอร์วายร้ายขึ้นมา ได้ยกระดับเกมส์ให้อันตรายมากขึ้นเมื่อเขาพยายามที่จะกำจัดคู่หูที่เคยทำให้พ่อที่ชั่วร้ายของเขาตาย

24 ชั่วโมงหลังจากเปิดตัว “Kick-Ass 2, Issue 1” ขายหมดเกลี้ยง และหนังสือ “Hit Girl” ก็กลายมาเป็นหนังสือการ์ตูนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดาหนังสือการ์ตูนที่มีผู้หญิงเป็นตัวนำในระยะเวลามากกว่าหนึ่งทศวรรษ สองบทแรกของซีรีส์ “Kick-Ass 3” อยู่ระหว่างการเปิดตัว เป็นการจบความเป็นเรื่องไตรภาค และยังนำเรื่องราวของ เดฟ ลิซิวสกี้ ไปพบกับตอนจบที่น่าตื่นเต้นในปีนี้

มิลลาร์ได้นำพวกเราเดินผ่านพัฒนาการของตัวละครที่มีเอกลักษณ์ตัวนี้ “Kick-Ass เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ตัดสินใจจะกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ และได้สร้างอิทธิพลกับคนอื่นๆ ให้ทำแบบเดียวกัน Kick-Ass 2 ได้นำไอเดียนั้นมา และเดินเรื่องไปกับมัน บัดนี้ เรามีคนกลุ่มนี้ที่ได้แรงบันดาลใจจากการกระทำที่กล้าหาญของคิ๊กแอส พวกเขาได้ตั้งแก๊งต่อสู้กับอาชญากรรมที่ชื่อว่าจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ ขณะเดียวกัน คริสกำลังเดินไปบนเส้นทางตรงกันข้าม เขาตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองเป็นซูเปอร์วายร้ายและระดมพลังสร้างกองทัพของเขาขึ้นมาเอง มันมีเรื่องราวในแบบเดียวกับในภาพยนตร์เรื่องแรก และทำให้มันกลายเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น มันให้ความรู้สึกรุนแรงขึ้น มากขึ้นในแบบที่คุณมักจะต้องการในภาพยนตร์ภาคต่อ”

เมื่อมิลลาร์และโรมิตาได้สร้างตัวละครเหล่านี้ขึ้นมา และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย ชายทั้งสองคนได้ยึดถือชะตากรรมของซูเปอร์ฮีโร่คนธรรมดาของพวกเราอย่างจริงจัง โรมิตาอธิบายว่าเขากับมิลลาร์ต่างเอาใจช่วยในชะตากรรมของเดฟ, มินดี้ และสมาชิกคนอื่นๆ ของจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ เสมือนที่แฟนพันธุ์แท้ทำกัน มันจึงยากที่จะสร้างสถานการณ์ที่เลวร้ายให้เกิดขึ้นกับพวกเขา โรมิตากล่าวว่า “ตัวละครที่น่าสนใจทุกตัวที่อยู่ในกลุ่มจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ คุณอยากให้พวกเขาชนะ ผมก็เช่นกัน ในฐานะของศิลปินที่เป็นผู้สร้างสรรค์หนังสือการ์ตูน ผมก็อยากให้ตัวละครเหล่านี้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ เพราะผมไม่อยากให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับพวกเขา ผมชอบพวกเขาทุกคนเลยครับ”

ความสำเร็จระดับไม่คาดฝันของ Kick-Ass ทำให้ต้องมีการสร้างภาคต่อ แต่ถึงกระนั้นแล้วก็ยังต้องใช้เวลานานถึงสองปีเพื่อให้บทต่อไปของเรื่องนี้เริ่มต้นดำเนินงานสร้าง ทุกอย่างเริ่มต้นในปี 2011 วอห์นได้พบกับ เจฟฟ์ แว็ดโลว์ ผู้กำกับหนัง Cry_Wolf เพื่อพูดคุยกันเกี่ยวกับโปรเจ็กต์หนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ Bloodshot แว็ดโลว์เป็นคนเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนั้น และวอห์นได้รับการวางตัวให้เป็นผู้กำกับ

การงานอื่นๆ เป็นผลให้วอห์นไม่สามารถที่จะทำงานกับ Bloodshot ต่อไปได้ แต่เขายังคงสนใจที่จะร่วมงานกับผู้กำกับหนุ่มคนเก่งผู้นี้ เมื่อภาระติดพันจากงานภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่อง X-Men ทำให้วอห์นไม่มีเวลาว่างเหลืออีกเลย เขาจึงส่งต่อหน้าที่ในงานเขียนบทและกำกับต่อให้กับแว็ดโลว์ ซึ่งยังคงมอบหมายให้วอห์นทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง

แว็ดโลว์ยืนยันว่าวอห์นได้ส่งไม้ต่อให้กับเขา และเขาก็ตั้งใจทำงานเขียนบทนั้นโดยที่ยังไม่มีการเซ็นสัญญาว่าจ้างด้วยซ้ำ เขาเล่าว่า “ผมเขียนบทเรื่องนี้เพื่อจะกำกับมันด้วย ผมไม่คิดจะปล่อยให้คนอื่นเป็นคนกำกับหรอกนะ นั่นคือข้อดีของการยอมรับความเสี่ยงที่จะเขียนบทโดยยังไม่มีการทำสัญญา ถึงแม้ว่าแมทธิวกับผมจะพูดคุยกันบ่อยมาก แต่ผมก็กระโดดเข้าใส่โอกาสนี้ก่อนหน้าที่จะมีการวางแผนอย่างจริงจังเสียอีก ผมอยากทำหนังเรื่องนี้ และผมก็เขียนบทขึ้นมาเพื่อจะเป็นคนกำกับมันเอง”

วอห์นกล่าวว่า แว็ดโลว์คือผู้กำกับที่เป็นคนกุมบังเหียน เขากล่าวว่า “ไอเดียที่เจฟฟ์นำมาเสนอตอนทำ Bloodshot มันเป็นสุดยอดแห่งความน่าประทับใจ จากนั้นบทภาพยนตร์ของเขาก็ถูกส่งเข้ามา เหมือนกับที่เขาเคยเสนอไอเดียไว้ทุกอย่าง ซึ่งในฮอลลีวู้ดถือว่าหาได้ยากมาก ผมชอบเขา และเขาก็ชื่นชอบพวกหนังสือการ์ตูน โดยเฉพาะ ‘Kick-Ass’” อย่างไรก็ดี การส่งต่อไม้ไม่ได้เกิดขึ้นในทันที วอห์นเล่าว่า “ถึงแม้ผมจะอยากให้โอกาสคน แต่มันเป็นการตัดสินใจที่ประหลาดมากที่จะส่งมอบงานนี้ให้ผู้กำกับคนอื่น ผมคิดว่าผมต้องหาคนที่เหมาะเจาะที่มีความหิวกระหาย แต่เป็นคนที่มีประสบการณ์และมีความรัก ผมชอบการที่มือเขียนบทเป็นผู้กำกับด้วย เพราะมันหมายความว่าพวกเขารู้ว่าจะเขียนบทยังไง บางครั้ง คุณมีบทภาพยนตร์ที่ดีมาก จากนั้นคุณก็จ้างผู้กำกับที่ดันทำงานที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับตัวบทภาพยนตร์”

วอห์นยังเล่าให้ฟังด้วยว่าแว็ดโลว์ ที่อิงบทภาพยนตร์ของเขากับเรื่องราวต้นแบบของมิลลาร์และโรมิตา นำพาเหล่าฮีโร่ของเราไปถึงจุดไหน “เดฟไปหามินดี้ และพูดว่า ‘ฟังนะ ช่วยฝึกให้ฉันหน่อย ฉันอยากทำงานซูเปอร์ฮีโร่ให้ดีที่สุด แล้วเธอกับฉันก็เป็นคู่หูไดนามิคดูโอคู่ใหม่ได้’ ขณะที่เดฟกำลังไปได้สวย และพวกเขากำลังสนุกเพลิดเพลินกับทุกอย่าง แต่แล้วมินดี้ก็ต้องเลิกทุกอย่าง เธอต้องให้คำสัญญาว่าเธอจะไม่เป็น ฮิทเกิร์ล อีกต่อไป จากนั้น เดฟจึงถูกทิ้งให้ต้องอยู่เพียงลำพัง เขากลัวที่จะทำงานนี้โดยลำพัง ดังนั้นเขาจึงไปรวมกับกลุ่มคนที่อยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่ แต่พวกอยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่ 8 คนก็ยังไม่อาจแทนที่ ฮิทเกิร์ล น้อยเพียงคนเดียวได้”

ทีมผู้อำนวยการสร้างไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่พอใจกับความคิดริเริ่มของแว็ดโลว์ มิลลาร์ให้ความเห็นไว้ว่า “แมทธิวประทับใจในตัวเจฟฟ์มาก เขาต้องการคนที่เป็นทั้งมือเขียนบทและผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์และความรักในงาน ไม่ใช่แค่คนที่รับผิดชอบงานเท่านั้น เจฟฟ์เขียนเรื่องนี้และบอกเล่าเรื่องราวนี้ในฐานะผู้กำกับ หลายอย่างที่แมทธิวถนัดมาก เจฟฟ์ก็บังเอิญถนัดมากเช่นกัน เราเลยรู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในมือคนที่ไว้ใจได้แล้ว”

ในการนำตัวละครเหล่านี้กลับมา แว็ดโลว์เลือกที่จะขุดลึกลงไปในแง่มุมส่วนที่เป็นอารมณ์ของชีวิตพวกเขา และขยายความเข้าใจในตัวละครเหล่านี้ออกไป เขากล่าวว่า “ไอเดียตั้งแต่เริ่มแรกของผมก็คือความคิดที่ว่าเดฟ มินดี้ และคริส ยังคงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นใคร ในภาพยนตร์ภาคแรก พวกเขาได้สร้างอีกตัวตนที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา นั่นก็คือ คิ๊กแอส, ฮิทเกิร์ล และเร็ดมิสต์ แต่พวกเขายังไม่ได้ตอบคำถามที่ยิ่งใหญ่ขึ้นที่พวกเราทุกคนถามตัวเองว่า ‘ฉันเป็นใคร จุดยืนของฉันในโลกนี้อยู่ตรงไหน และฉันตั้งใจจะทำอะไรในชีวิตของฉัน’ การพยายามเป็นคนอื่น พยายามเป็นซูเปอร์ฮีโร่ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การพยายามค้นหาว่าจริงๆ แล้วคุณเป็นใคร ผมว่ามันน่าสนใจที่จะให้ตัวละครเหล่านี้มาถามตัวพวกเขาเองว่า ‘อะไรที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากนั้น’ ในที่สุดแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ว่าด้วยเรื่องของการเติบโต”

แว็ดโลว์รู้สึกว่าจุดที่แข็งที่สุดของ Kick-Ass ในฐานะของภาพยนตร์แฟรนไชส์ก็คือ มันไม่ได้พึ่งพิงกับคติพจน์ใดๆ ในภาพยนตร์แนวนี้ แว็ดโลว์กล่าวต่อไปว่า “มันเป็นเรื่องของการวางอยู่เคียงข้างกันของซูเปอร์ฮีโร่และโลกที่เป็นจริง ด้วยเรื่องราวของเดฟ เราจับเขาไปวางเอาไว้ในสถานการณ์ที่เขาพยายามจะผูกสัมพันธ์กับซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆ ที่กำลังรับมือกับปัญหาในโลกที่เป็นจริง กับเรื่องราวของมินดี้ เราจับเธอไปอยู่ในโรงเรียนไฮสกูล สำหรับคริส เราให้เขาพยายามที่จะเป็นสุดยอดวายร้ายในโลกที่ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นซูเปอร์วายร้าย”

ทีมผู้อำนวยการสร้างของวอห์นและทาร์ควิน แพ็ค อย่าง อดัม โบห์ลิ่ง และเดวิด รี้ด ต่างพอใจที่แว็ดโลว์ได้สร้างเรื่องราวที่อิงอยู่กับภาพยนตร์ภาคแรกที่มีการวางโครงเรื่องไว้อย่างพิถีพิถัน และใส่อารมณ์แบบอเมริกันลงไปในเรื่อง แพ็คกล่าวว่า “ Kick-Ass จะมีลักษณะแบบอังกฤษอยู่ ขณะที่ภาคต่อจะมีความรู้สึกที่เป็นอเมริกันมากขึ้น อิงกับตลาดใหญ่มากขึ้น มันยังคงเดินหน้าไปยังจุดที่คุณไม่สามารถหาเจอได้ในภาพยนตร์ส่วนใหญ่ แต่เจฟฟ์รับมือมันในแบบที่เป็นแนวตลาดวงกว้างมากขึ้น เขามีความรู้สึกทางภาพที่แข็งแกร่ง และมีไอเดียที่แน่ชัดว่าเขาอยากสร้างภาพยนตร์แบบไหน เขายังมีข้อมูลที่ชัดเจนว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้างในส่วนของเสื้อผ้าและงานออกแบบโปรดักชั่น”

จนถึงจุดนั้น แว็ดโลว์พอใจอย่างมากในการได้ตัวหัวหน้าทีมงานเบื้องหลังจาก Kick-Ass กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง ได้แก่ โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ รัสเซลล์ เดอ โรซาริโอ, ผู้ลำดับภาพ เอ๊ดดี้ แฮมิลตัน, ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แซมมี่ เชลดอน ดิฟเฟอร์ และผู้ออกแบบทรงผมและแต่งหน้า เฟ แฮมมอนด์ แว็ดโลว์กล่าวว่า “แมทธิวบอกผมว่า ‘คนพวกนี้เป็นคนที่ผมชื่นชมในฐานะคนทำงานหนัง’ ผมรู้ดีว่าผมควรจะเรียกตัวคนที่เคยทำงานในหนังภาคแรกกลับมาให้หมด พวกเขาสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมมาก ไม่มีเหตุผลที่จะใช้คนใหม่ ผมหยิบเอากล่องเครื่องมือที่น่าทึ่งที่แมทธิวทิ้งเอาไว้ให้ผม และทำงานต่อไป”

เหล่านักปราบอธรรมขาบู๊ และด็อกเตอร์ผู้เคร่งขรึม: ใครเป็นใคร?

เมื่อพิจารณาถึงจำนวนตัวละครที่มีทั้งที่พยายามปกป้องหรือทำลายเมือง จึงสมควรแล้วที่จะแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้ว่าใครเป็นใคร และทำอะไรกับใครบ้าง ข้อมูลด้านล่างนี้จะเป็นตัวชี้นำให้เข้าใจเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ผู้หาญกล้า กับเหล่าวายร้ายตัวเอ้ที่เดินขวักไขว่อยู่ในโลกใบนี้ พวกเขาดี เลว และ/ หรือน่าเกลียด แต่ได้อย่าประมาทคนธรรมดาที่อยากออกมาเป็นขาลุยเหล่านี้อย่างเด็ดขาด

แวดวงคนสนิทคิ๊กแอสและฮิทเกิร์ล

  • เดฟ ลิซิวสกี้/ คิ๊กแอส (แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน) คือหนุ่มวัยรุ่นชาวนิวยอร์กผู้พิทักษ์บ้านเมือง เจ้าของความหาญกล้าที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่านักต่อสู้ที่ทำหน้ากากขึ้นใส่เอง ขณะที่ใกล้จะเรียนจบ และยังไม่แน่ใจในแผนการในอนาคตของตนเอง เดฟตัดสินใจก่อตั้งทีมซูเปอร์ฮีโร่ทีมแรกของโลก ร่วมกับมินดี้ หรือฉายา ฮิทเกิร์ล เมื่อมินดี้เกิดถูกจับได้ขณะแอบลอบออกไปในฐานะ ฮิทเกิร์ล เดฟต้องผนึกกำลังกับทีมจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ ซึ่งดูแลและบริหารโดยอดีตมาเฟียที่เรียกตัวเองว่า ผู้พันสตาร์ส แอนด์ สไตรป์ส

  • มินดี้ มาเครียดี้/ ฮิทเกิร์ล (โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์) คือเด็กสาววัย 14 ที่โบกสะบัดดาบเป็นอาวุธคู่ใจ ผู้ต้องเผชิญกับประสบการณ์เด็กปีหนึ่งที่ทำให้อึดอัด แม้จะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจากพ่อผู้ล่วงลับ บิ๊ก แด๊ดดี้ แต่ถึงกระนั้นเธอก็มิอาจหนีพ้นจากเสียงวิจารณ์แย่ๆ จากสาวๆ สุดป็อปในชั้นเรียน เธออยากออกไปเตะก้นโจรร้ายมากกว่าจะต้องเผชิญกับชีวิตไฮสกูล ดังนั้นเธอจึงแอบโดดเรียนในทันทีที่ผู้ปกครองมาส่งเธอ

  • หลังจากการตายของพ่อของมินดี้ ด้วยน้ำมือของแฟรงก์ ดีอามิโค่ คู่หูเก่าของ บิ๊ก แด๊ดดี้ มาร์คัส วิลเลี่ยมส์ (มอร์ริส เชสต์นัท) ได้กลายมาเป็นผู้ปกครองของเธอ มาร์คัสไปส่งมินดี้ที่โรงเรียนทุกวัน แต่ทันทีที่เขาจากไป มินดี้ก็ออกจากโรงเรียนไปเช่นกัน เขาจึงให้มินดี้สัญญาว่าเธอจะเลิกทำกิจกรรมนอกหลักสูตรในฐานะฮิทเกิร์ล ถึงแม้เขาจะเกรงว่าจะต้องเจอมีดคาตานะซุกอยู่ใต้เตียงนอนของเธอในทุกครั้งที่เขาแอบไปดู

  • มาร์ตี้/ แบ็ทเทิล กาย (คล๊าร์ก ดุ๊ก) และท็อดด์/ แอสคิ๊กเกอร์ (ออกัสตุส พริว) คือเพื่อนซี้ของเดฟที่ชอบสะสมหนังสือการ์ตูน ถึงแม้มาร์ตี้จะมีแผนการจะเรียนต่อทางด้านเตรียมแพทย์ แต่เขาได้แอบสร้างตัวตนที่เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ชื่อ แบ็ทเทิล กาย มาร์ตี้ที่ได้แรงบันดาลใจจากคิ๊กแอส ได้เข้าร่วมทีมจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ อย่างตื่นเต้น แผนการอนาคตของท็อดด์กำลังสดใส แม้ว่าเขาจะมีแผนการจะเข้าเรียนที่โรงเรียนในฟลอริด้าเพื่อศึกษาต่อด้านการบริหารงานกอล์ฟ เพราะอยากมีส่วนร่วมในเรื่องสำคัญ ท็อดด์จึงกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมกับทีมไหนก็ได้ที่จะทำให้เขามีความสำคัญขึ้นมาบ้าง

  • เคตี้ โดซ์เม่ (ลินด์ซี่ ฟอนซีก้า) คือ แฟนสาวสุดน่ารักของเดฟ ผู้มีความตื่นเต้นระดับซูเปอร์ที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เธอมีแผนจะเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย และเดฟก็คาดว่าเธอจะทิ้งเขาทันทีที่ไปเรียนต่อ คู่หนุ่มสาวผู้น่ารักคู่นี้เริ่มเซ็งกับความน่าเบื่อในห้องนอน เธอฝันถึงชายอีกคนขณะที่เดฟก็เอาแต่ฝันเปียกถึงครูสอนภาษาอังกฤษของเขา

ทีมจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์

  • ซัล เบอร์โตลินี่/ ผู้พันสตาร์ส แอนด์ สไตรป์ส (จิม แคร์รี่ย์) คืออดีตมาเฟียใจพระ ผู้นำที่ออกต่อสู้เหล่าร้ายในชุดพรางตัวและหน้ากากที่โดดเด่น เขาลาดตระเวนไปตามท้องถนนพร้อมกับคู่หูใส่หน้ากากที่ไว้ใจได้ของเขา เป็นสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดที่ชื่อ ไอเซนฮาวร์ ผู้พันได้ตั้งทีมจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ขึ้นมาเพื่อปกป้องประชาชนเมื่อระบบล้มเหลว และเขาเกลียดคำหยาบพอๆ กับที่เกลียดความชั่วร้าย

  • หนึ่งในสมาชิกที่กระตือรือร้นของจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ ดร.กราวิตี้ (โดนัลด์ ไฟสัน) คือก๊อปปี้ไรท์เตอร์ผู้แสร้งทำตัวเป็นโปรเฟสเซอร์ฟิสิกส์ในตอนกลางวัน และเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในตอนกลางคืน “ความรู้” ในเรื่องฟิสิกส์ของเขากลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เมื่อเขาสร้างเครื่องมือสร้างสภาพไร้แรงดึงดูดที่สามารถยกวัตถุหนักเป็นตันให้ลอยขึ้นไปในอากาศได้...แต่อันที่จริง มันก็เป็นแค่ไม้เบสบอลที่ถูกหุ้มไว้ด้วยกระดาษฟอยล์เท่านั้น

  • ครูสอนบัลเล่ต์ในเวลากลางวัน มิแรนด้า สเว็ดโลว์กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ไนท์ บิทช์ (ลินดา บูธ) หลังจากน้องสาวของเธอถูกฆ่าตาย ถึงแม้เธอจะช่วยจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ต่อสู้กับเหล่าร้าย แต่ไนท์ บิทช์ยังสนิทสนมกับสมาชิกใหม่อย่าง คิ๊กแอส มากขึ้น...ในห้องน้ำของร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดทุกแห่งในเมืองนี้

  • อินเซ็คท์ แมน (โรเบิร์ต เอ็มม์ส) ถูกรังแกมาทั้งชีวิตเพราะเขาเป็นเกย์ ดังนั้น ณ บัดนี้ เขาได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อคนที่ไร้ทางสู้ อินเซ็คท์แมนที่มีที่ช็อตไฟฟ้าเป็นอาวุธ (พร้อมกับความรู้ในเรื่องแมลง) ไม่ต้องการหน้ากากเพื่อทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น

  • ทอมมี่ส์มัม และทอมมี่ส์แด๊ด/ รีเมมเบอริ่ง ทอมมี่ (มอนิก้า โดแลน และสตีเว่น แม็คคินทอช) ในหนังสือการ์ตูนซีรีส์เรื่องนี้ ทอมมี่ส์แด๊ดสวมใส่ชุดเกราะที่ทำเอง ขณะที่ ทอมมี่ส์มัม จะแต่งกายคล้ายนักรบอเมซอน ในเรื่องราวของเรา พวกเขาใส่เสื้อยืดที่มีชื่อ “รีเมมเบอริ่ง ทอมมี่” เพื่อให้เกียรติกับลูกชายของพวกเขาที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

แก๊งซูเปอร์วายร้ายเดอะ มาเธอร์ฟั %&*‏^เกอร์

  • คริส ดีอามิโค่/ เร็ดมิสต์/ เดอะมาเธอร์ฟั%&*‏^เกอร์ (คริสโตเฟอร์ มินท์ซ-แพลส) ลูกชายที่โดนตามใจจนเสียคนของเจ้าพ่อผู้ล่วงลับ แฟรงก์ ดีอามิโค่ เติบโตมาพร้อมความคิดหมกมุ่นกับการต้องการล้างแค้น คิ๊กแอส ผู้ระเบิดแฟรงก์ด้วยปืนบาซูก้า หลังจากแม่ของคริส (แยนซี่ บัทเลอร์) ตายไป เร็ดมิสต์ ซึ่งแต่งกายในชุดและผ้าคลุมเก่าของแม่ ก็ถือกำเนิดใหม่ในฐานะมาเธอร์ฟั %&*^เกอร์ และแล้ว เด็กหนุ่มที่รวยที่สุดในนิวยอร์กซิตี้ได้กลายมาเป็นมหาวายร้ายตัวจริงเสียงจริงรายแรกของโลก

  • ฮาเวียร์ (จอห์น ลีกุยเซโม่) คือบอดี้การ์ดของคริส เขาไม่ค่อยเต็มใจจะเรียกชื่อใหม่ของเจ้านายสักเท่าไหร่ (แค่เรียกเขาว่าเร็ดมิสต์ก็ลำบากใจพอแล้ว) จะว่าไป ฮาเวียร์ก็คืออัลเฟร็ดของเจ้านาย ซึ่งเปรียบได้กับ บรูซ เวย์น ฝ่ายอธรรม เขามีหน้าที่คอยช่วยให้มาเธอร์ฟั %&*‏^เกอร์ ขยายแก๊งวายร้ายของเขา บัดนี้ คริสต้องเสียทั้งพ่อและแม่ไปหมด ฮาเวียร์จึงกลายเป็นสมาชิกครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ของเขา

  • สมาชิกค่าตัวแพงที่สุดของทีมมาเธอร์ฟั%&^*‏เกอร์ แคทาริน่า ดอมบรอฟสกี้/ มาเธอร์ รัสเซีย (โอลก้า เคอร์คูลีน่า) คือนักเพาะกายและอดีตสมาชิกเคจีบี ผู้สามารถเอาชนะทุกคนได้ เธอเคยถูกขังอยู่ในกูแล็ก....จนกระทั่งเธอกินเพื่อนร่วมห้องขังและหลบหนีออกมาได้

  • แบล็ค เดธ (แดเนียล คาลูยา) ผู้ได้รับฉายาจากมาเธอร์ฟั%&*^เกอร์ ได้พบกับคริสที่เอ็มเอ็มเอยิมที่ซึ่งเขาเตะคริสจนหมอบ ด้วยความประทับใจ คริสได้จ้างแบล็คเดธให้มาจัดการอัดทุกคนตามใบสั่งของเขา

  • คริสยืนยันว่าชื่อของบรรดาลูกสมุนของเขาจะต้องไม่บ่งบอกเชื้อชาติ พวกเขาเป็นพวกต้นแบบ เจงกิส คาร์เนจ (ทอม วู) คืออดีตมาเฟียจีนที่กำลังมองหาเจ้านายใหม่ มาเธอร์ฟั%&*^เกอร์จ้างเขาให้มาทำหน้าที่ยกของหนักและโจมตีที่หนักยิ่งกว่า

  • บิ๊กโทนี่/ เดอะทูมอร์ (แอนดี้ ไนแมน) ชวนให้นึกถึงหนึ่งในหนังเรื่องโปรดของพวกเรา Goodfellas…ที่อัดมาในความสูง 5 ฟุต 2 นิ้ว ถึงแม้นักฆ่าโรคจิตรายนี้จะตัวเล็ก แต่เขาโหดเหี้ยม และสามารถเอาไม้พูลแทงใส่คุณถ้าเพียงแต่คุณมองเขาแล้วขำ

นี่มันชีววิทยา บิทช์: คิ๊กแอส,  ฮิทเกิร์ล และเร็ดมิสต์โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจ้า

ขณะที่เขาคิดสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา แว็ดโลว์อยากให้ Kick-Ass 2 เปิดโอกาสให้แฟนๆ ได้เห็นตัวละครสามตัวนี้ที่พวกเขาเคยตกหลุมรักกันอีกครั้ง เพื่อดูว่าพวกเขาเติบโตมายังไง และพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร มือเขียนบทและผู้กำกับกล่าวว่า “ผมหวังว่ามันจะดังก้องสะท้อนไปกับคนดู เพราะมันไม่ใช่แค่การนำหนังภาคแรกมาสร้างเป็นเรื่องราวใหม่เท่านั้น และมันก็ไม่ใช่หนึ่งในหนังภาคต่อที่พูดแค่ว่า ‘เฮ้! จำได้ไหมว่าคุณรักหนังภาคแรกแค่ไหน นี่คือหนังภาคแรกในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งนะ’”

ไม่ว่าเรื่องไหน เรื่องราวของแว็ดโลว์ก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม แว็ดโลว์เล่าว่า “เราพูดว่า ‘จำได้ไหมว่าคุณรักตัวละครเหล่านี้แค่ไหน ลองเดาดูซิ เราจะจับพวกเขาเข้าเครื่องบดเนื้อที่โหดยิ่งกว่าเดิม’ เราส่งพวกเขาเดินทางไปในที่ที่พวกเขากำลังเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปในแบบที่คุณจินตนาการไม่ถึง เราผลักดันพวกเขาให้ก้าวไปข้างหน้ายิ่งกว่าในหนังภาคแรก เพราะในหนังภาคแรกนั้น คุณต้องทำความรู้จักพวกเขาก่อน เราคาดว่าตอนนี้พวกคุณคงรู้จักพวกเขาแล้วและคงจะชอบพวกเขาด้วย เราก็เลยใช้เวลาทั้งหมดที่มีผลักดันพวกเขาต่อไป”

ขณะที่ภาคต่อคือความหวัง แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงสี่ปีนับแต่ที่ทีมนักแสดงดั้งเดิมได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Kick-Ass เอาไว้ ในตอนจบของภาคแรก เดฟกลับไปใช้ชีวิตตามเดิม และคิ๊กแอส ซูเปอร์ฮีโร่ของเขา ได้หายไปแล้ว แต่ยังไม่ถูกลืมเลือนโดยคลื่นซูเปอร์ฮีโร่หน้าใหม่ อย่างไรก็ดี ชีวิตหลังจาก Kick-Ass เดินหน้าไปอย่างมีความหมายสำหรับนักแสดงหนุ่มผู้รับบทเป็น คิ๊กแอส บัดนี้ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน แต่งงานแล้ว แถมยังเป็นคุณพ่อลูกสอง และยังได้ทำงานกับผู้กำกับ โอลิเวอร์ สโตน และโจ ไรท์ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงสนใจที่จะกลับมาเยี่ยมเยียนบทบาทที่ช่วยแจ้งเกิดให้กับเขา ถ้าทางทีมผู้สร้างจะสามารถสร้างเรื่องราวที่มีแบบฉบับและมีความแปลกใหม่ได้เท่ากับ Kick-Ass

นักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษผู้นี้รู้สึกดีใจที่เดฟไม่เคยทำร้ายใคร เขาอยากจะหยัดยืนต่อสู้เพื่อคนที่ไร้หนทางสู้ ขณะที่คนอื่นๆ อาจนิ่งดูดาย เทย์เลอร์-จอห์นสัน กล่าวว่า “ข้อดีในตัวเดฟก็คือเขาไม่อยากฆ่าคน มินดี้อาจจะเฉือนเนื้อจากมือคนเพื่อความสนุก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เดฟเกิดแรงบันดาลใจจะมาเป็นซูเปอร์ฮีโร่ สำหรับเขา มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเป็นคนดี เกี่ยวกับการต่อสู้กับอาชญากรรม และไม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน”

บทภาพยนตร์ของแว็ดโลว์ทำให้เขาแน่ใจในการกลับมารับบทนี้ “เจฟฟ์สร้างงานที่ยอดเยี่ยมมาก” เทย์เลอร์-จอห์นสันให้ความเห็นไว้ “เราทุกคนชอบบทภาพยนตร์เรื่องนี้มาก และนั่นก็คือเหตุผลหลักที่ทำให้งานเดินหน้า” เมื่อพูดถึงความรู้สึกที่ได้กลับมารับบทนี้ เทย์เลอร์-จอห์นสันบอกว่า “มันแปลกมากที่ได้มาทำสิ่งที่คุณทำไปแล้วซ้ำอีก ดังนั้นผมจึงต้องก้าวขึ้นไปอีกหลายระดับ เดฟคือคนที่พวกเรารู้จักกันดีแล้ว แต่เขาเพิ่งจะเริ่มต้นค้นพบตัวเอง เพิ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และรับผิดชอบต่อการกระทำของเขา ครั้งนี้ ผลพวงมันตกลงบนบ่าของเขาอย่างหนัก และเขาก็เข้าใจความรู้สึกนั้นแล้วจริงๆ”

เทย์เลอร์-จอห์นสันรู้สึกเหมือนที่ทีมผู้อำนวยการสร้างรู้สึก ว่าบทภาพยนตร์ของแว็ดโลว์ได้นำเอาแกนอารมณ์ที่ลึกซึ้งมาสู่เรื่องนี้ที่พูดถึงชายหนุ่มผู้ค้นพบภารกิจที่พยายามและช่วยเหลือผู้อื่น “นับแต่วินาทีที่เราพบกัน เราผูกพันกัน” เทย์เลอร์-จอห์นสันบอก”เขามีความจริงใจและรักในงานนี้ และสนใจที่จะสร้างการเดินทางให้กับเดฟ เราไม่ได้ให้ความสำคัญว่าเราจะต้องใส่ฉากแอ็กชั่นเข้าไปเยอะแค่ไหน เบื้องหลังงานสตั๊นต์และฉากต่อสู้ จะต้องมีแรงกระตุ้นเสมอ คุณต้องเริ่มเชื่อมโยงอารมณ์เข้ากับแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังกำปั้นหมัดนั้น และเจฟฟ์ก็สนใจที่จะพัฒนาแนวคิดนี้ไป”

แว็ดโลว์ยอมรับว่า ผลงานของเทย์เลอร์-จอห์นสันในหนังภาคแรกทำให้เขาสนใจที่จะมาพัฒนาบทที่สองในเรื่องราวของเดฟ หรือคิ๊กแอส เมื่อเขาได้พบกับเทย์เลอร์-จอห์นสัน เขาก็ยิ่งประทับใจมากขึ้น “ผมมีความนับถือแอรอนสูงมาก ขณะที่นักแสดงมากมายหลายคนแสดงบทบาทของพวกเขาให้ออกมาดูเท่ เพื่อให้ดูมีเสน่ห์ตลอด เพื่อจะเป็นจุดสนใจในแต่ละฉาก แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจก็คือเรากำลังบอกเล่าเรื่องราวซึ่งตัวละครของพวกเขาคือจุดสนใจ ถึงแม้พวกเขาจะเป็นดารานำก็เถอะ สำหรับผมมันชัดเจนตั้งแต่วินาทีที่ผมได้พบแอรอนว่าเขามีความพิเศษแค่ไหน เขาเริ่มพูดเกี่ยวกับเนื้อเรื่องและบทที่เดฟมีเพื่อเล่าเรื่องนั้น รวมถึงสิ่งที่เขาสามารถทำเพื่อช่วยให้มันเดินหน้าไปตลอดรอดฝั่ง เขาต้องการให้เดฟใส่รองเท้าเทนนิสเชยๆ กับเสื้อยืดไม่พอดีตัว กับทรงผมเฉิ่มๆ ตอนที่เรากลับไปเจอเขา”

คิ๊กแอสคงจะไม่ใช่ฮีโร่อย่างที่เขาเป็นถ้าปราศจากฮิทเกิร์ล และหนังภาคสองนี้คงไม่อาจเริ่มต้นงานสร้างได้ถ้าปราศจากเธอมาร่วมผสมโรงด้วย มิลลาร์ได้สร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมาเพื่อระลึกถึงลูกสาวคนโตของเขา ฮิทเกิร์ลเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนอ่านมาตั้งแต่ได้รับการเปิดตัวครั้งแรก และนับวันก็ยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้น โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ เด็กสาวที่เป็นคนมอบชีวิตให้กับฮิทเกิร์ล มีงานแสดงออกมาแบบถล่มทลาย เธอได้รับคำชมอย่างท่วมท้นจากงานแสดงภาพยนตร์อย่าง Let Me In รวมถึงยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับสุดยอดตำนาน มาร์ติน สกอร์เซซี่ ใน Hugo และทิม เบอร์ตัน ใน Dark Shadows และอีกไม่นานเธอจะประชันบทบาทกับ จูลีแอนน์ มัวร์ ในบทนำในภาพยนตร์รีเมก เรื่อง Carrie เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมจอ มอเร็ตซ์ตื่นเต้นมากที่จะได้กลับมารับบทเป็น ฮิทเกิร์ล อีกครั้ง

สำหรับภาพยนตร์ภาคแรกในปี 2010 นักแสดงสาวรุ่นที่ตอนนี้อายุ 16 ปีแล้วผู้นี้ ไม่เพียงแต่ทำให้โลกต้องตื่นตะลึงด้วยความสามารถในการแสดงของเธอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธและศิลปะการต่อสู้ที่เธอมีด้วย อันที่จริง มอเร็ตซ์ไม่รู้เลยว่าเธอทำนายอนาคตได้ถูกต้องเมื่อเธอพูดติดตลกเอาไว้ที่การฉายรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์ภาคแรกว่า เธออยากจะขี่รถดูคาตี้สีม่วง ซึ่งเป็นพาหนะคู่ใจของฮิทเกิร์ลใน Kick-Ass 2 มอเร็ตซ์หัวเราะ “การได้กลับมาใส่ชุดนี้อีกครั้ง และได้ทำงานสตั๊นต์ทั้งหมดนี้มันน่าทึ่งมาก ฉันสนุกมากกับการได้กลับมามอบชีวิตให้กับตัวละครตัวนี้ และใส่มิติเข้าไปให้มากขึ้น ขณะที่ใส่ประสบการณ์สูงวัยมากขึ้นลงไปในบท ฉันชอบที่ได้ดูว่าฉันเล่นอะไรได้บ้างในบทนี้”

เราได้พบกับเด็กนักเรียนสาวเกรด 9 ที่ตอนนี้กลายเป็นลูกกำพร้าไปแล้วใน Kick-Ass 2 เธอเป็นเด็กสาวที่หวาดกลัวพวกสาวๆ ในโรงเรียน มากกว่ากลัวผู้ร้ายที่เธอกับบิ๊กแด๊ดดี้เคยล้มมานักต่อนัก มอเร็ตซ์อธิบายถึงจุดที่เราได้พบมินดี้ในภาพยนตร์ภาคนี้ว่า “เธอชอบโดดเรียน และยังคงทำตัวเป็นผู้พิทักษ์บ้านเมืองอยู่ เธอดูจะใส่ใจกับชีวิตของฮิทเกิร์ลมากกว่าชีวิตของมินดี้ และเพราะเธอไม่มีบิ๊กแด๊ดดี้อยู่เคียงข้างอีกแล้ว เธอจึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง เธอสัญญากับมาร์คัสว่าเธอจะหยุดสถานะความเป็นฮิทเกิร์ล และเริ่มต้นใช้ชีวิต แต่เรื่องของเรื่องก็คือ...มินดี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”

หนึ่งในผู้สร้าง ฮิทเกิร์ลได้พูดถึงพัฒนาการของฮิทเกิร์ลในการรับมือกับผู้ร้ายที่ต่างออกไป นั่นก็คือแก๊งสาววัยรุ่นที่นำทีมโดยหัวหน้าทีมแด๊นซ์อย่าง บรู้ก (คลอเดรีย ลี) โรมิตาอธิบายว่า “มินดี้ไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป ดังนั้นแทนที่จะวิ่งกลับบ้านและไปนอนร้องไห้ ต่อยใส่หมอน เธอได้ใช้ความแค้นนั่นในแบบที่ทุกคนอยากใช้กับอันธพาล เธอสอนให้คิ๊กแอสเป็นซูเปอร์ฮีโร่ และเขาก็กำลังสอนเธอให้เป็นเด็กสาวธรรมดา”

ขณะกำลังวางโครงเรื่องกันอยู่นั้น แว็ดโลว์และทีมผู้อำนวยการสร้างต่างสนใจที่จะนำเสนอสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมินดี้เลิกเป็นฮิทเกิร์ล และหันมาใช้ชีวิตและมีความรักในแบบเด็กนักเรียนไฮสกูล ผู้กำกับแว็ดโลว์รู้สึกว่าไม่มีนักแสดงคนไหนอีกแล้วนอกจากมอเร็ตซ์ที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึกเช่นนั้นออกมาได้ เขากล่าวว่า “มีบางอย่างที่พิเศษมากๆ ในตัวโคลอี้ ซึ่งยากจะอธิบายออกมาได้ แต่เมื่อคุณเห็นเธอบนจอ คุณจะเข้าใจได้ในทันที ในฐานะผู้กำกับ ผมตื่นเต้นมากที่ได้ทำงานกับนักแสดงอย่างเธอ เพราะปกติแล้ว ผมชอบที่จะแยกวิเคราะห์ตัวละครและใส่เหตุผลเข้าไปในเรื่อง โคลอี้เข้าใจมันได้ทันที เธอไม่ต้องให้ผมมาอธิบายอะไรเลย”

แว็ดโลว์พบว่าการกำกับนักแสดงในแบบที่เจอกันทั่วๆ ไป ใช้ไม่ได้ผลกับมอเร็ตซ์ เขาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “โคลอี้เข้าใจดีว่าจะสร้างวินาทีนั้นขึ้นมาได้อย่างไรในแบบที่คุณไม่สามารถสอนหรือพูดอธิบายถึงมันได้ เธอแค่ทำ และเธอก็ทำแบบนั้นในทุกเทก มันสนุกมากเพราะเราไม่ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับการแสดงซีนนั้นๆ เลย ไม่ได้คุยกันว่าผมอยากให้มันเป็นยังไง หรือมันควรจะเข้ากับโครงเรื่องหลักอย่างไร และบางครั้งผมก็สงสัยว่าสิ่งที่ผมกำลังพูดไปนั้นมันมีเหตุผลหรือเปล่า แต่เมื่อเราถ่ายทำกัน โคลอี้ให้การแสดงเทกแล้วเทกเล่า ผมไม่เคยคิดว่าเธอเป็นเด็กเลยนะ ผมคุยกับเธอในฐานะคนที่เท่าเทียมกันเพราะเธอเจ๋งมากและโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ขณะเดียวกันเธอก็ยินดีที่จะแสดงท่าทางติงต๊อง เธอเป็นนักแสดงที่น่าทึ่งมาก”

ที่มาเสริมให้ครบสามนักแสดงหลัก ก็คือวายร้ายที่กลับคืนจอ อย่าง คริส ดีอามิโค่ ในตอนจบของ Kick-Assเร็ดมิสต์ อีกตัวตนหนึ่งของคริส หันมาหากล้องและพูดว่า “บุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ‘รอนะ จนกว่าเราจะได้เจอกันอีก’ นั่นเป็นการยกย่องคำกล่าวของ โจ๊กเกอร์ ตัวละครที่ แจ็ค นิโคลสัน ได้แสดงเอาไว้ในภาพยนตร์ของ ทิม เบอร์ตัน เรื่อง Batman คำพูดนี้คือการบ่งบอกเป็นนัยว่าเขามีแผนจะกลายเป็นซูเปอร์วายร้าย ชายหนุ่มผู้นี้หมกมุ่นกับความคิดที่ต้องการจะล้างแค้นให้กับการตายของพ่อ และกำลังทำการรวบรวมกลุ่มมหาวายร้ายที่เขาจะกลายเป็นผู้นำ โชคดีที่ คริสโตเฟอร์ มินต์ซ-แพลส พร้อมที่จะเซ็นสัญญาเพื่อแสดงบทนี้อีกครั้ง

นับแต่ถ่ายทำภาพยนตร์ภาคแรกจนเสร็จ จนถึงปัจจุบัน มินต์ซ-แพลส มีผลงานอย่างต่อเนื่องทั้งจอเงินและจอแก้ว เขาให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์แอนิเมชั่นของ ดรีมเวิร์กส์ แอนิเมชั่น เรื่อง How to Train Your Dragon และภาพยนตร์การ์ตูนของ โฟกัส ฟีเจอร์ส เรื่อง ParaNorman, ร่วมแสดงในภาพยนตร์ตลกสุดฮิตอย่าง This Is the End และ Pitch Perfect รวมถึงร่วมแสดงซีรีส์ทางทีวีอย่าง The Far Cry Experience และ Friend Me

ถึงแม้ในเวลานี้ คริส ดีอามิโค่ จะสืบทอดมรดกของพ่อ แต่เขายังคงเป็นวายร้ายที่ยังต้องฝึกงาน ถึงแม้ว่าลุงราล์ฟ (เอียน เกลน) จะดูแลรักษาความปลอดภัยที่ไรเกอร์สไอสแลนด์ แต่ราล์ฟก็ยังคงปกครองแก๊งมาเฟียท้องถิ่น นั่นไม่อาจหยุดคริสจากการพัฒนาไปเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมากขึ้น “ดีจริงๆ ที่ได้กลับมาสู่โลกใบนี้อีกครั้ง” มินต์ซ-แพลส บอก “ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะต่างไปจากเดิม พ่อของผมตาย ส่วนแม่ก็เป็นพวกโรคจิต และเร็ดมิสต์ก็หันเข้าหาด้านมืด และหมกมุ่นกับเรื่องจะฆ่าคิ๊กแอส” เร็ดมิสต์ที่ระดมพลังคนชั่ว ได้สร้างตัวเองให้กลายเป็น “มาเธอร์ฟั%&*^เกอร์ และพร้อมที่จะสร้างความปั่นป่วนให้กับนิวยอร์กซิตี้ โดยยังคงมีจิตใจมุ่งมั่นอยู่กับการตามฆ่า คิ๊กแอส

มินต์ซ-แพลสพูดถึงวิวัฒนาการของตัวละครของเขาว่า “คริสค่อยๆ เริ่มรู้สึกตัวว่าเขาได้กลายเป็นมาเธอร์ฟั%&*‏^เกอร์ เขาเสียทุกคนที่เขารักไปจนหมด ทั้งเพื่อนฝูง ครอบครัว และเขาก็เสียตัวเองไปด้วย เมื่อเขาใส่ชุดเต็มยศ และเสียฮาเวียร์ไป เขาก็ไม่ใช่ คริส ดีอามิโค่ อีกแล้ว เขาคือมาเธอร์ฟั%&*‏^เกอร์”

แว็ดโลว์รู้สึกประทับใจในตัวมินต์ซ-แพลส เมื่อเขาได้พบปะกับเพื่อนร่วมจออีกสองคน “คริสคืออัจฉริยะด้านการแสดงตลก เขาตลกมาก ไม่กลัวอะไร แถมยังเป็นนักแสดงที่เก่งมากด้วย เขาเป็นมากกว่านักแสดงตลก เขาคือปรากฏการณ์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ และผู้คนจะต้องหัวเราะงอหายในสิ่งที่เขาทำ ผมอยากขอความดีความชอบบ้าง เหมือนผมมีแผนการใหญ่ให้กับเขา แต่ความดีความชอบทั้งหมดคงต้องยกให้เขาคนเดียวนี่แหละ เพราะเขาตีบทแตกกระจุยไปเลย”

เราพาพวกมาด้วย: เชิญพบกับแก๊งจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์

เมื่อมาร์คัส อดีตคู่หูของบิ๊กแด๊ดดี้ และเป็นผู้ปกครองของมินดี้ ทำให้มินดี้ต้องเลิกทำงานหลังเลิกเรียนในฐานะฮิทเกิร์ล เดฟจึงต้องเข้าร่วมกลุ่มกับจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ กลุ่มผู้พิทักษ์สันติราษฎร์สวมหน้ากาก แว็ดโลว์อธิบายถึงบทบาทของซูเปอร์ฮีโร่ทีมนี้ในพลอตเรื่องว่า “ส่วนใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้จะเน้นไปที่ตัวละครเหล่านี้ที่พยายามจะหาว่าพวกเขาเป็นใคร และบ่งบอกความเป็นตัวเองผ่านกลุ่มที่พวกเขาสร้างขึ้นมา เดฟเริ่มต้นด้วยความรู้สึกเหมือนซูเปอร์ฮีโร่เมื่อเขาเริ่มคลุกคลีอยู่กับเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ และมีตัวละครอยู่สามตัวด้วยกันในกลุ่มที่เป็นเหมือนตัวแทนของความรู้สึกเป็นเจ้าของ ผู้พันคือตัวแทนพ่อสำหรับเขา, ดร.กราวิตี้ ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนซี้คนใหม่ของเขา และไนท์บิทช์ ซึ่งกลายมาเป็นสาวคนรักคนใหม่ของเขา คุณได้เห็นเดฟมีความสุขกับการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนี้ผ่านความสัมพันธ์เหล่านี้”

ผู้รับผิดชอบระดมหาสมาชิกและเป็นผู้นำกลุ่มจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ ก็คือผู้พันสตาร์ส แอนด์ สไตรป์ส อดีตมาเฟียใจพระที่รับบทโดยดาราตลกซุปตาร์ จิม แคร์รี่ย์  ผู้พันที่ใส่ชุดพรางตัวกับสวมหน้ากาก เดินลาดตระเวนไปตามท้องถนนพร้อมกับคู่หูที่เขาไว้วางใจ เป็นสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดที่ชื่อ ไอเซนฮาวร์ การหลอมรวมระหว่างผู้พันสตาร์ส และผู้กองสไตรป์ส จากหนังสือของมิลลาร์และโรมิตา ผู้พันจึงอึดทรหดอย่างคาดไม่ถึง

แว็ดโลว์พูดถึงผู้พันสตาร์ส แอนด์ สไตรป์ส ว่า “ผมไม่คิดว่าคำว่า ‘ตัวป่วน’ จะใช้ในการเริ่มต้นอธิบายถึงตัวผู้พันได้ ตัวละครตัวนี้ค่อนข้างจะมีความลึกลับ แม้กระทั่งบนหน้าหนังสือ เขาเป็นคริสเตียนที่เหมือนถือกำเนิดใหม่อีกครั้ง เป็นอดีตมาเฟีย ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาต้องการอะไร จิม แคร์รี่ย์คือคนที่เราเล็งเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ผมคิดว่าเขาคงไม่มีทางมาแสดงบทนี้แน่ นี่ไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์ และเขาก็เป็นหนึ่งในดาราที่โด่งดังที่สุดในโลก ดังนั้นเมื่อเรารู้ว่าเขาเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ และเขาอาจสนใจ เราก็เลยเกาะติดเขาตลอด ในที่สุด ผมก็ได้คุยโทรศัพท์กับเขา ผมรู้ว่าเขาจะต้องสร้างงานที่พิเศษแน่ๆ วิธีที่เขานำเสนอตัวเอง รูปแบบที่เขาเปลี่ยนแปลงร่างกายของเขา และวิธีเคลื่อนไหวของเขา เขาได้สร้างตัวละครที่ไม่ใช่ในแบบที่ทุกคนคาดว่าจะได้จาก จิม แคร์รี่ย์ หรือจากผู้พัน”

“จิมมีไอเดียที่ชัดเจนว่าเขาอยากจะเล่นบทนี้ออกมายังไง และเขาก็ทุ่มเทเป็นพิเศษเพื่อทำมันให้ออกมาเป็นแบบนั้น” แพ็คกล่าวเสริม โดยเขาพูดถึงอวัยวะปลอมและฟันปลอมที่แคร์รี่ย์ทำขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนใบหน้าของเขา ให้ดูคล้ายกับภาพวาดของโรมิตามากขึ้น ผู้อำนวยการสร้างแพ็คกล่าวต่อไปอีกว่า “จิมเป็นนักแสดงตลกที่ยอดเยี่ยมที่สุด จนทำให้อาจหลงลืมไปว่าเขาเองก็เป็นนักแสดงที่เล่นได้อย่างจริงจังและยอดเยี่ยมเช่นกัน ในการผสมผสานความสามารถพิเศษเหล่านั้นเข้าไปในตัวละครตัวนี้ จิมได้สร้างงานที่พิเศษจริงๆ”

โดนัลด์ ไฟสัน ผู้เป็นที่รู้จักดีจากการรับบทนำในซีรีส์ทางทีวีที่ออกอากาศมายาวนานมากอย่าง Scrubs รับบท ดร. กราวิตี้ หนึ่งในสมาชิกที่สุดกระตือรือร้นของทีมจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ แว็ดโลว์อธิบายให้ฟังว่าไฟสันได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญของทีมนี้ได้อย่างไร “ผมรู้จักโดนัลด์จากรายการทางทีวีที่เขาเคยทำกับผมเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เราทำการแคสติ้งตัวนักแสดงในบท ดร.กราวิตี้ ผมก็เอาแต่พูดว่า  ‘เราต้องหาคนอย่าง โดนัลด์ ไฟสัน นะ’ ผมลองถามเขาว่าเขายินดีจะมาลอนดอนไหม เขาตอบว่า ‘เพื่อน คุณสร้างชีวิตให้ผมแล้ว! ผมอยากเล่นเป็นซูเปอร์ฮีโร่จะตายอยู่แล้ว ผมยินดีที่สุดเลย’  เราโชคดีที่ได้ตัวเขามา เพราะเขาคือตัวอย่างของความกระตือรือร้นที่ดร.กราวิตี้มีเพื่อจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่”

นักแสดงหญิง ลินดี้ บูธ ซึ่งร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องแรกของแว็ดโลว์ Cry_Wolf และยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ แซ็ค สไนเดอร์ เรื่อง Dawn of the Dead รับบทเป็น ไนท์บิทช์ ครูสอนเต้นบัลเล่ต์ มิแรนด้า สเว็ดโลว์ ก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์ฮีโร่ หลังจากที่น้องสาวของเธอโดนฆ่าตายอย่างโหดร้าย ไนท์บิทช์ลาดตระเวนตามท้องถนนร่วมกับ คิ๊กแอส และเธอรู้สึกเสน่หาในตัวเขาเหมือนที่เขาเองก็รู้สึกเสน่หาเธอ สุดท้าย ไนท์บิทช์ก็คือคนที่อธิบายให้ คิ๊กแอส ฟังว่า ถึงแม้พวกเขาจะพยายามทำให้โลกนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น แต่การกระทำสุดโลดโผนของพวกเขาก็อาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงได้เช่นกัน

ทีมจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ยังประกอบไปด้วย อินเซ็คท์ แมน ซึ่งรับบทโดยนักแสดงชาวอังกฤษ โรเบิร์ต เอ็มส์ ที่มีผลงานทั้งในแวดวงภาพยนตร์จอเงิน จอแก้ว และละครเวที เจ้าของผลงานเมื่อเร็วๆ นี้อย่าง ภาพยนตร์ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง War Horse และภาพยนตร์ของ ทาร์เซม ซิงห์ เรื่อง Mirror Mirror อินเซ็คท์แมนที่รู้สึกเบื่อหน่ายที่โดนรังแกมาตลอดชีวิตของเขาเพราะการที่เขาเป็นเกย์ ตัดสินใจว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาจะลุกขึ้นสู้เพื่อคนที่ไร้ทางสู้ และเขาเป็นซูเปอร์ฮีโร่เพียงคนเดียวที่ไม่สวมหน้ากาก เพราะเขารู้สึกว่ามันเหมือน “การต้องเข้าไปอยู่ในตู้”

สตีเว่น แม็คคินทอช และมอนิก้า โดแลน สองนักแสดงชาวอังกฤษผู้ประสบความสำเร็จ รับบทเป็น ทอมมี่ส์ แด๊ด และทอมมี่ส์ มัม ซึ่งกลายเป็นคู่หูซูเปอร์ฮีโร่ รีเมมเบอริ่ง ทอมมี่ ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติกับลูกชายของพวกเขาที่หายตัวไป พวกเขาสวมหน้ากากและเสื้อคลุม รวมถึงเสื้อยืดที่มีตัวหนังสือเขียนว่า “รีเมมเบอริ่ง ทอมมี่”

และที่สำนักงานใหญ่ของจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์นี่เองที่เพื่อนของเดฟที่ชื่อ มาร์ตี้ ได้เผยตัวในฐานะซูเปอร์ฮีโร่ที่ชื่อ แบ็ทเทิล กาย (ประวัติของเขาช่างฟังละม้ายคล้าย บรูซ เวย์น อย่างมาก) ผู้ที่กลับมารับบท มาร์ตี้ ก็คือ คล๊าร์ก ดุ๊ก ขณะที่ ออกัสตุส พริว ซึ่งเป็นแฟนของหนังภาคแรก รีบกระโจนใส่โอกาสเมื่อผู้รับบท ท็อดด์ อย่าง อีแวน ปีเตอร์ส เกิดคิวงานไม่ว่าง ท็อดด์อยากจะร่วมทีมกับเพื่อนซี้ของเขาในจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์อย่างมาก แต่การล้อเลียนของพวกเขาเกี่ยวกับชื่อซูเปอร์ฮีโร่ของท็อดด์ ดูไม่เหมาะนักกับชายที่รู้จักกันในชื่อ แอสคิ๊กเกอร์

แก๊งโรคจิต: ซูเปอร์วายร้ายผนึกกำลัง

ในเดือนกรกฎาคม ปี 2012 ได้มีการคัดเลือกตัวนักแสดงในบท “วายร้ายคลาสสิก” เป็นบทที่ในเวลาต่อมา ผู้สมัครได้รู้ว่าเป็นบทที่มีชื่อว่า มาเธอร์รัสเซีย ใบประกาศออนไลน์ประกาศรับสมัคร “นักเพาะกายหญิง” ผู้ “จะต้องมีรูปกายที่ดูโดดเด่นและแข็งแกร่ง แต่ก็ยังต้องมีความเป็นผู้หญิง และต้องมีรูปร่างสูงด้วย (ต้องสูงเกิน 6 ฟุตเท่านั้น)” มาเธอร์ รัสเซีย คืออดีตเจ้าหน้าที่เคจีบี ที่ตอนนี้ได้รับการว่าจ้างเป็นรายอาทิตย์จากคริสให้ก่อเหตุวุ่นวาย เธอคือนักฆ่าที่มีฝีมือและอำมหิตที่สุด

ทางทีมผู้สร้างได้รับใบสมัครมากมาย และต้องเลือกดูใบสมัครที่ดูเข้าทีหลายร้อยใบ ก่อนที่พวกเขาจะเจอผู้หญิงที่ตรงสเป็ค เธอคือนักเพาะกายหญิงชาวรัสเซีย โอลก้า เคอร์คูลิน่า ผู้มีส่วนสูงน่าประทับใจ 6 ฟุต 2 นิ้ว และมีกล้ามเนื้อกว่า  200 ปอนด์ เคอร์คูลิน่าเล่าถึงตอนที่เธอได้เห็นประกาศรับสมัครนักแสดงในเฟซบุ้ค เธอเล่าผ่านล่ามในกองถ่ายว่า “ฉันตกหลุมรัก มาเธอร์ รัสเซีย ตั้งแต่แรกเห็น นับแต่วินาทีแรกที่ฉันเห็นเธอ ฉันพูดว่า ‘บทนี้เป็นของฉัน ฉันจะไม่ให้ใครได้มันไปแน่’” ถึงแม้เธอจะดีใจที่ได้เล่นบทนี้ แต่มันคือความท้าทายสำหรับเคอร์คูลิน่า ผู้ไม่เคยผ่านงานแสดงมาก่อนเลย แถมยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักคำ

แว็ดโลว์พบว่าเคอร์คูลิน่า คือ “พลังธรรมชาติ”  เขาชมว่า “โอลก้าคือการค้นพบที่แท้จริงสำหรับพวกเรา เรารู้ดีว่าความท้าทายสูงสุดในงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการคัดเลือกนักแสดงในบทนี้นี่แหละ ถ้าคุณลองดูประวัติการค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตของผม มันจะน่าหงุดหงิดมาก มีเว็บไซต์ของนักเพาะกาย และเว็บแปลกๆ ที่ผมต้องเข้าไปดู เพื่อค้นหาผู้หญิงที่มีส่วนสูงกว่า 6 ฟุต โชคดี หลังจากค้นหาไปทั่วโลก เราก็ได้พบโอลก้า ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้ เร็ก โพเออร์สเก๊าต์-เอ๊ดเกอร์ตัน แคสติ้ง ไดเร็คเตอร์ของเรา ผมจะไม่มีวันลืมเลยตอนที่เขาเดินเข้ามาในห้องทำงานของผมพร้อมกับรูปถ่ายของโอลก้า และพูดว่า ‘นี่คือมาเธอร์ รัสเซีย’”

ทั้งทีมนักแสดงและทีมงานต่างก็รักนักแสดงสาวหน้าใหม่คนนี้มากเมื่ออยู่ในกองถ่าย แว็ดโลว์สรุปว่า “โอลก้าเป็นเพื่อนร่วมงานที่น่ารักมาก เพราะเธอมีความกระตือรือร้น เธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่เธอตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เธอทำงานหนักกว่าคนอื่น เธอต้องฝึก ต้องหัดต่อสู้ และยังต้องเรียนรู้เรื่องบทพูดอีกด้วย เธอต้องทำงานยากมากๆ ไม่ใช่แค่แสดงอย่างเดียว แต่ยังต้องเล่นบทบู๊ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน”

เคอร์คูลิน่าถ่ายทำฉากแรกๆ ของเธอที่โลเกชั่นในโตรอนโต้ แพ็คเล่าว่า “เรามีโค้ชสอนการแสดงมาทำงานกับเธอด้วย เธอต้องฝึกเยอะมาก และแน่นอน เรายังมีล่ามที่ทำงานเต็มเวลา แต่ก็ยังมีช่วงเวลาที่เราพยายามทำงานกับเธอในวันแรก ซึ่งตอนนั้นเราคิดว่า  ‘จะไปรอดไหมเนี่ย’ ทีมงานสร้างภาพยนตร์มีเป็นร้อยคน ต้องจัดแสงเยอะ ไหนจะกล้อง และคนที่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ โอลก้าไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน วันแรกของเธอ เธอโผล่ออกมาจากรถในชุดเต็มยศของมาเธอร์ รัสเซีย ผมคิดว่า ‘นี่ต้องเป็นวินาทีที่ทุกอย่างต้องจบแน่เพราะมันมากไปสำหรับเธอ’ แต่เธอกลับตีบทแตก และชอบมันมาก”

นักแสดงหญิงหน้าใหม่ ได้แฟนอีกคนในตัวเจ้านายบนจอของเธอ มินต์ซ-แพลส กล่าวชมว่า “โอลก้าสุดยอดมาก คุณเห็นเธอ เธอมีกล้ามเป็นมัด และดูน่ากลัวมาก แต่พอคุณได้คุยกับเธอ เธอกลับเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานที่สุดเท่าที่คุณเคยพบ ทุกๆ เช้า เธอจะส่งจูบทักทายคุณ”

มาเธอร์ รัสเซีย ไม่ใช่คนกล้ามโตเพียงคนเดียวที่ถูกจ้างมาเพื่อคอยระวังหลังให้มาเธอร์ฟั%&*^เกอร์ จอห์น ลีไกวเซโม่ เจ้าของรางวัลเอ็มมี่ รับบทเป็นฮาเวียร์ บอดี้การ์ดของคริส บัดนี้ คริสเสียทั้งพ่อและแม่ไปจนหมด ฮาเวียร์เป็นสมาชิกในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ แว็ดโลว์ยอมรับว่าพวกเขารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ลีไกวเซโม่มาร่วมงานด้วย “คริสกับจอห์นมีสัมพันธ์ที่ดีมาก และผมก็สนุกกับการได้ร่วมงานกับเขาอย่างมาก จอห์นด้นมุขสดเก่ง แต่เขาก็มีความเข้าใจดีว่าเรากำลังเล่าเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เราจะถ่ายทำกันเทกต่อเทก ซึ่งเขาเหมือนกำลังฆ่าผมด้วยการด้นมุขสดของเขา ทำให้ผมมีทางเลือกดีๆ ที่จะนำมาใช้ในระหว่างตัดตัดหนัง”

ฮาเวียร์ได้รับมอบหมายงานให้ช่วยมาเธอร์ฟั%&*^เกอร์ระดมสมาชิกกองทัพชั่วช้าของเขา ซึ่งเป็นกลุ่มมหาวายร้ายที่มีภารกิจชั่วร้ายมากมาย สมาชิกของกลุ่มนี้ได้แก่ แบล็ค เดธ ซึ่งรับบทโดย แดเนียล คาลูย่า เขาได้พบกับ คริส ที่โรงยิมสอนศิลปะป้องกันตัว (MMA) โรงยิมแห่งนี้ ซึ่งเป็นฉากสุดยอดอีกฉากที่เป็นฝีมือของโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ รัสเซลล์ เดอ โรซาริโอ เป็นบ้านของ ชั๊ค “ดิ ไอซ์แมน” ลิดเดลล์ นักสู้ MMA ปลดเกษียณ และเป็นอดีตแชมป์ต่อสู้รุ่นไลท์เฮฟวี่เวต

หลังจากแบล็ค เดธแสดงให้คริสเห็นว่าใครคือเจ้านายตัวจริง คริสได้จ้างเขาให้มาซ้อมทุกคนที่อยู่ในลิสต์รายชื่อที่เขาทำไว้ ฮาเวียร์ยังพบ บิ๊ก โทนี่/ เดอะ ทูมอร์ ซึ่งรับบทโดยนักแสดงและนักมายากลชาวอังกฤษ แอนดี้ ไนแมน เขาคือโจรโรคจิตตัวเล็ก แต่เขาชอบฆ่า กลุ่มวายร้ายยังประกอบด้วย เจงกิส คาร์เนจ อดีตเจ้าหน้าที่ตกงาน บทนี้รับบทแสดงโดยนักแสดงชาวอังกฤษ ทอม วู ผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ที่ฝีมือของเขาเคยผ่านการทดสอบมาแล้วในภาพยนตร์อย่าง Revolver และ Batman Begins เจสกิส คาร์เนจ ยังมีความเชี่ยวชาญในการใช้ดาบพอๆ กับฮิทเกิร์ล

งานเบื้องหลัง: งานออกแบบ, โลเกชั่น และเสื้อผ้า

การถ่ายทำ Kick-Ass 2 เริ่มต้นขึ้นในโตรอนโต้ ซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นนิวยอร์ก ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี 2012 ประมาณหนึ่งเดือนหลังเริ่มต้นงานถ่ายทำ ทางทีมงานได้ย้ายกลับไปยังสหราชอาณาจักร เพื่อถ่ายทำกันที่โรงถ่ายไพน์วู้ด สตูดิโอส์ และยังถ่ายทำตามโลเกชั่นในลอนดอน นอกจากนี้ พวกเขายังไปถ่ายทำกันที่ถนนเดนมาร์ก หรือถนนที่มีฉายาว่า “Tin Pan Alley” ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องร้านขายงานดนตรีต่างๆ

ฉากตลกๆ หลายฉากเกิดขึ้นในสำนักงานใหญ่ของจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ ฉากที่สร้างโดย เดอ โรซาริโอ ที่ตั้งอยู่ในโรงถ่ายที่ไพน์วู้ด สตูดิโอส์ ฉากที่ว่านี้คือที่ที่คนอื่นไม่ต้องการ มันคือห้องใต้ดินผุๆ พังๆ ที่มีเพดานต่ำ กำแพงสีหลุดร่อน นี่ยังไม่ได้พูดถึงเฟอร์นิเจอร์เก่า และก็เหมือนกับคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ดูเหมือนไม่มีใครแคร์เรื่องสถานที่นี้เลย

ฉากกลางแจ้งที่ทีมจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ต้องต่อสู้กับผู้ร้าย ถ่ายทำกันในย่านดาวน์ทาวน์ของโตรอนโต ในช่วงนี้เองที่การถ่ายทำดึงดูดความสนใจจากสาธารณชนและปาปารัสซี่ เมื่อทีมจัสติซ ฟอร์เอฟเวอร์ ที่นำทีมโดยผู้พันสตาร์ส แอนด์ สไตรป์ส ลาดตระเวณไปตามท้องถนนเพื่อทำความดีและกำจัดผู้ร้าย

ไม่มีผู้นำมหาวายร้ายที่ไร้สไตล์  ฉะนั้น เดอ โรซาริโอจึงได้ออกแบบสภาพแวดล้อมแบบฮาร์ดคอร์ให้กับ คริส ดีอามิโค่ ซึ่งเข้ากันดีกับรูปลักษณ์ใหม่ของเขา นั่นก็คือถ้ำปีศาจ ถ้ำที่ถูกสร้างขึ้นที่ไพน์วู้ด สตูดิโอส์ ถูกมองว่าเป็นสถานที่ที่คริสเปิดตัวภายในอาณาจักรอาชญากรรมของพ่อของเขา ถ้ำแห่งนี้ที่ถูกทาสีที่เป็นเอกลักษณ์ของมาเธอร์ฟั%&*‏^เกอร์ ซึ่งก็คือสีแดงและสีดำ มีทั้งโต๊ะพูล พื้นที่ที่วางเครื่องจักรต่างๆ มีจอทีวีพลาสม่าใหญ่ยักษ์ บาร์ ลูกกรงที่มีแดนเซอร์เปลือยอก และรถหรูอย่าง เฟอร์รารี่ เอฟ40 รวมถึงรถบีเอ็มดับเบิลยูหลายคันด้วยกัน และที่เด็ดสุดก็คืออะควอเลี่ยมยักษ์ที่มีฉลามเป็นๆ ว่ายวนเวียนไปมาอยู่

บุคลิกใหม่ย่อมต้องการภาพลักษณ์ใหม่ เมื่อแม่ของคริสโยนชุดเร็ดมิสต์ของเขาทิ้งไป จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะหาชุดที่ทันสมัยมากขึ้น หลังจากแม่ของเขาตาย คริสเกิดไปเจอกล่องอุปกรณ์ของแม่ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพลักษณ์ใหม่ของเขา “เรารักษาธีมสีแดงและดำเอาไว้” แซมมี่ เชลดอน ดิฟเฟอร์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ บอก “เพราะสีดำเป็นสีสัญลักษณ์ในโลกผู้ร้ายอยู่แล้ว เขาต้องพัฒนาจากเร็ดมิสต์ไปเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมากขึ้น เราจึงตัดสินใจที่จะบอกเป็นนัยในตัวมาเธอร์ฟั%&*^เกอร์ แม้ในยามที่เขาไม่ได้ใส่ชุดซูเปอร์วายร้ายก็ตาม มันทำให้เขาได้ภาพลักษณ์แบบเขย่าขวัญ ซึ่งนำไปสู่ชุดที่เขาใส่ในฐานะมาเธอร์ฟั%&*‏^เกอร์ มันดูฮาร์ดคอร์มากกว่าชุดเร็ดมิสต์ของเขาเยอะ”

เชลดอน ชิฟเฟอร์ไม่เพียงแต่อัพเกรดชุด ฮิทเกิร์ล ของ มอเร็ตซ์ ด้วยวิกผมและผ้าคลุมที่มีสไตล์ รวมถึงออกแบบเสื้อผ้าของมินดี้ที่ต้องเอาชนะบรูกที่ชั่วร้ายเท่านั้น แต่เธอยังช่วยให้ เทย์เลอร์-จอห์นสัน ได้ระลึกถึงอดีตของเขาในฐานะเดฟอีกด้วย ตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน เชลดอน ชิฟเฟอร์เปิดเผยว่าเธอยังคงเก็บแว่นตา นาฬิกา เข็มขัดที่เทย์เลอร์-จอห์นสันเคยใส่ใน Kick-Ass เอาไว้ งานนี้ ตัวคิ๊กแอสออกมาเล่าเองว่า “แซมมี่ได้รวบรวมคอลเล็คชั่นที่เยี่ยมมาก เป็นเสื้อผ้าสไตล์แบ็กกี้ที่เหมาะกับเดฟที่สุด มันช่วยให้ผมกลับคืนสู่การเป็นตัวละครตัวนี้ได้จริงๆ”

เพราะต้องแต่งตัวในชุดบิกินี่สีแดง เสริมเกราะ รองเท้าบู้ทส์หนังส้นสูง 5 นิ้ว กับต้องปิดตาเอาไว้ข้างหนึ่ง ทำให้คงไม่มีใครที่จะจำมือสังหารอย่าง มาเธอร์ รัสเซีย ไม่ได้ เชลดอน ชิฟเฟอร์บอกว่า “หนึ่งในคำสั่งที่เจฟฟ์ให้ไว้กับฉันก็คือ ให้ดูน่ารังเกียจที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยจะต้องไม่ดูน่ารังเกียจจนเกินไป แต่เราได้ลองและทำทุกรูปแบบสำหรับเหล่ามหาวายร้ายเหล่านี้ กับโอลก้า เธอเป็นคนรัสเซีย และเธอเป็นคนตัวใหญ่ แต่เริ่มเดิมที จะมีอะไรในชุดของเธอเยอะมาก เราค่อยๆ ถอดความเยอะนั้นออก และย้อนกลับไปทำให้เธอดูมีกล้ามเป็นมัดๆ เธอดูน่าทึ่งมาก”

แว็ดโลว์กล่าวเสริมว่าเขารู้สึกประทับใจที่นักแสดงของเขาสามารถแสดงได้ในชุดเหล่านี้ เขาพูดถึงโอลก้าว่า “คุณคิดถึงนักเพาะกายดูซิ คุณคิดว่าเธอต้องมีรูปร่างที่ใหญ่โตแน่ แต่เราจับเธอไปใส่รองเท้าส้นสูง ซึ่งเวลาเดินคงทรมานมากและยังทำให้เธอต้องสวมใส่รองเท้าส้นสูงนั่นนานวันละ  12 ชั่วโมง ขณะต้องแสดงฉากต่อสู้ฉากใหญ่ด้วย เธอไม่เคยบ่นเลยสักคำ ผมประทับใจในตัวเธอมาก รวมถึงความแข็งแกร่งและความรักที่เธอมีอยู่กับการได้มาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้”

การกลายเป็นซูเปอร์: การฝึกและงานสตั๊นต์

ในตอนจบของหนังภาคต่อ คิ๊กแอสต้องกลายเป็นแอ็กชั่นฮีโร่ที่เรารู้จักเขามาตั้งแต่วันแรก สำหรับบทนี้ เทย์เลอร์-จอห์นสันต้องแสดงให้เห็นถึงการอุทิศตนให้กับการฟิตหุ่นอย่างจริงจังอีกครั้ง อันที่จริง เขาออกกำลังกายอย่างจริงจัง และยังควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดตลอดการถ่ายทำด้วย

แว็ดโลว์รู้สึกพอใจมากที่ เทย์เลอร์-จอห์นสัน มองงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้โดยรวม ไม่ได้มุ่งเน้นแค่บทของเขาคนเดียวเท่านั้น ผู้กำกับสรุปว่า “แอรอนจะคิดถึงตอนที่เรากำลังถ่ายทำฉากเหล่านั้น เขาจะดูว่าเขาต้องทำอย่างไร และมันตรงกันข้ามกับลักษณะของเขาในช่วงต้นเรื่อง มันน่าประทับใจมาก เพราะเขามักคิดถึงเรื่องก่อนเสมอ เขาไม่ได้คิดว่าเขาจะดูเป็นยังไงเมื่ออยู่บนจอ เขากลับคิดว่า ‘ฉันจะรับใช้ตัวเนื้อเรื่องยังไง และจะช่วยให้คนดูเข้าใจการเดินทางครั้งนี้ได้ยังไง’”

โชคดีที่ ฮิทเกิร์ล คือหัวใจของฉากแอ็กชั่นส่วนใหญ่ของ Kick-Ass 2 ซึ่งฉากเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาอย่างชำนาญการโดยผู้ประสานงานสตั๊นต์ เจมส์ โอดี แพ็คอธิบายถึงมุมมองที่ทีมงานมีต่อการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ในภาพยนตร์ภาคสองนี้ “ฉากต่อสู้จะอิงอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้นกว่าในภาพยนตร์ภาคแรก โดยเฉพาะกับฮิทเกิร์ล ซึ่งในเวลานั้นโคลอี้เพิ่งจะอายุ  11 ปีเท่านั้น ทำให้ฉากต่อสู้ทั้งหลายต้องถูกทำออกมาในแบบที่ดูเป็นการ์ตูนเพื่อเลี่ยงความจริงที่ว่านี่คือเด็กอายุ 11 ที่กำลังฆ่าคน มันต้องทำให้รู้สึกเว่อร์ขึ้นไปอีก มันเป็นความคิดที่ตลกมากเพราะเธอยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ เท่านั้น ขณะที่ในหนังเรื่องนี้ โคลอี้อายุมากขึ้น และตัวเธอก็โตขึ้น ดังนั้นเราจึงทำให้ฉากแอ็กชั่นต่างๆ ดูจริงมากขึ้น”

ในฉากสำคัญฉากหนึ่งของหนัง เดฟโดนลูกสมุนของมาเธอร์ฟั%&*‏^เกอร์ ลักพาตัวไปจากงานศพมิสเตอร์ ลิซิวสกี้ พ่อของเดฟ (แกร์เร็ตต์ เอ็ม บราวน์) เพื่อปกป้องลูกชายของเขา ลิซิวสกี้ผู้เป็นพ่อได้อ้างตนว่าเป็นคิ๊กแอส ซึ่งทำให้เขาต้องเสียชีวิตเมื่อเขาโดนฆาตกรรมในคุกตามคำสั่งของมาเธอร์ฟั%&*^เกอร์ มินดี้ต้องกระโดดมาลุยในฐานะฮิทเกิร์ลเพื่อช่วยเพื่อนของเธอให้พ้นจากความตาย

ฮิทเกิร์ลกับคิ๊กแอส นำกองทัพซูเปอร์ฮีโร่ ที่มาพร้อมอาวุธทำมือ เพื่อเผชิญหน้ากับมาเธอร์ฟั%&*‏^เกอร์ และลูกสมุนที่ชั่วร้ายของเขาในมหาสงคราม ที่ต้องใช้นักแสดงแต่งคอสตูมมาเข้าฉากกว่า 100 คนภายในถ้ำวายร้าย โดยมีไฮไลท์อยู่ที่การต่อสู้ระหว่างฮิทเกิร์ลกับมาเธอร์รัสเซีย

มอเร็ตซ์ได้เล่าให้ฟังว่านี่คือฉากที่ถือว่ายากที่สุดสำหรับเธอในระหว่างการถ่ายทำ และไม่ใช่เพราะเหตุผลอย่างที่คุณคิด เธออธิบายว่า “ในตัวโอลก้าไม่ได้มีความโหดร้ายอยู่เลย เธอไม่รู้วิธีต่อยหน้าคนด้วยซ้ำ นี่คือผู้หญิงรัสเซียที่แข็งแกร่งผู้มีจิตใจที่อ่อนหวานที่สุด เราได้หัวเราะ จากนั้นก็ออกไปซ้อมกัน และพยายามฆ่าอีกฝ่าย”

แว็ดโลว์ยอมรับว่างานสตั๊นต์และงานสลิงเหล่านี้คือสิ่งที่เขาโปรดปรานอย่างมากในกองถ่าย “สนุกจะตายที่ได้ถ่ายทำ เพราะคุณสามารถเหวี่ยงพวกเขาไปรอบๆ และทำอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ เพราะความแตกต่างในเรื่องรูปกายและสีสันที่ใช้ คุณจึงดูรู้ว่าใครเป็นใคร และคุณอยู่ตรงไหนในเหตุตะลุมบอน จิมมี่ออกแบบฉากการต่อสู้ เพื่อให้เราสามารถเล่นกับความแข็งแรงของมาเธอร์รัสเซีย และแสดงให้คุณเห็นว่าไม่ว่ามินดี้จะเคลื่อนที่อย่างไร ไม่ว่าเธอใช้อาวุธอะไร มาเธอร์รัสเซียก็มีคำตอบไว้รอเธอจนหมด”

มันคือการต่อสู้จนถึงตอนจบ “เมื่อมินดี้ขว้างมีดใส่มาเธอร์รัสเซีย มันกระแทกโดนแส้ของเธอ และเธอก็กวาดมีดทิ้งจนหมด” แว็ดโลว์สรุป “เมื่อมินดี้พยายามวิ่งไปบนกำแพง มาเธอร์รัสเซียคว้าตัวเธอเอาไว้และทุ่มเธอลงกับพื้น เราทุกคนทำงานด้วยกันเพื่อบอกเล่าเรื่องราวนี้ ซึ่งพูดถึงสองยักษ์ที่มาเจอกันและสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมา ซึ่งเราคิดว่าฮิทเกิร์ลคือพลังธรรมชาติน้อยๆ ที่หยุดไม่อยู่ แต่ลองเดาซิ เธอแค่วิ่งไปเจอสิ่งที่จะหยุดเธอได้ นั่นก็คือมาเธอร์ รัสเซีย”

****

ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และมาร์ฟ ฟิล์มส์ ภูมิใจเสนอผลงานการสร้างของ แมทธิว วอห์น เรื่อง Kick-Ass 2 นำแสดงโดย แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน, คริสโตเฟอร์ มินต์ซ-แพลส, โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ และจิม แคร์รี่ย์ ผู้ทำหน้าที่คัดเลือกตัวนักแสดงให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้คือ เร็ก โพเออร์สเก๊า-เอ๊ดเกอร์ตัน, ซีเอสเอ และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แซมมี่ เชลดอน ดิฟเฟอร์ งานดนตรีประกอบของภาพยนตร์ตลกแอ็กชั่นเรื่องนี้เป็นฝีมือของ เฮนรี่ แจ็คแมน, แมทธิว มาร์จสัน โดยผู้ทำหน้าที่ลำดับภาพ ได้แก่ เอ๊ดดี้ แฮมิลตัน, เอซีอี และโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ รัสเซลล์ เดอ โรซาริโอ ผู้กำกับภาพได้แก่ ทิม มอริซ โจนส์, บีเอสซี และทีมผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ มาร์ก มิลลาร์, จอห์น เอส โรมิตา จูเนียร์, สตีเฟ่น มาร์กส์, คลอเดีย วอห์น, ปิแอร์ ลาแกรนจ์, เทรเวอร์ ดุ๊ก มอเร็ตซ์ Kick-Ass 2 อำนวยการสร้างโดย แมทธิว วอห์น, อดัม โบห์ลิ่ง, ทาร์ควิน แพ็ค, เดวิด รุ้ด สร้างโดยอิงจากหนังสือการ์ตูนที่สร้างสรรค์โดย เจฟฟ์ แว็ดโลว์ และกำกับโดย เจฟฟ์ แว็ดโลว์ ยูนิเวอณ์แซล จัดจำหน่าย © 2013 Universal Studios.  www.kickass-themmeovie.com

ประวัตินักแสดง

แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (AARON TAYLOR-JOHNSON) รับบท เดฟ ลิซิวสกี้/ คิ๊กแอส

แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน เกิดเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ปี 1990 และเติบโตในไฮไวคอมบี้ ประเทศอังกฤษ และได้เข้าเรียนที่โรงเรียนการละครแจ็คกี้ พัลเมอร์ สเตจ

เทย์เลอร์-จอห์นสัน ได้สร้างความประทับใจให้กับคนดูทั่วโลกด้วยบทบาทการแสดงที่อยู่ในความทรงจำหลายบทด้วยกัน

ในปี 2009 เขาร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ แซม เทย์เลอร์-วู้ด เรื่อง Nowhere Boy ซึ่งเขารับบทเป็น จอห์น เลนน่อนในช่วงที่เป็นวัยรุ่น ซึ่งทำให้เขาคว้ารางวัลต่างๆ มากมาย

ในปี 2010 เทย์เลอร์-จอห์นสันรับบทนำเป็น เดฟ ลิซิวสกี้/ คิ๊กแอส ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์สุดฮิตเรื่อง Kick-Assโดยได้ประกบบทกับ นิโคลัส เคจ, โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ และคริสโตเฟอร์ มินต์ซ-แพลส

ปัจจุบัน เทย์เลอร์-จอห์นสันอยู่ระหว่างงานสร้างภาพยนตร์รีเมกของ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส พิคเจอร์ส เรื่อง Godzilla ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ ไบรอัน แครนสตัน และเอลิซาเบธ โอลเซ่น โดยมี แกเร็ธ เอ๊ดเวิร์ดส์ เป็นผู้กำกับ และเมื่อปีที่แล้ว เทย์เลอร์-จอห์นสัน แสดงนำในภาพยนตร์ของ โอลิเวอร์ สโตน เรื่อง Savages

หลังจากนั้น เทย์เลอร์-จอห์นสันได้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Anna Karenina ซึ่งผู้กำกับ โจ ไรท์ ดัดแปลงมาจากนิยายคลาสสิก โดยเทย์เลอร์-จอห์นสันได้ประกบบทกับ คีร่า ไนท์ลี่ย์, จู้ด ลอว์, มิเชลล์ ด็อคเคอรี่ และฮอลลิเดย์ เกรนเจอร์

ผลงานก่อนหน้านี้ของเทย์เลอร์-จอห์นสัน ได้แก่ ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ เรื่อง The Illusionist ซึ่งเขารับบทเป็นเอ๊ดเวิร์ด นอร์ตันตอนเป็นเด็ก; Shanghai Nights ซึ่งเขาได้ร่วมแสดงกับ แจ็คกี้ ชาน และโอเว่น วิลสัน; The Thief Lord ดดยร่วมแสดงกับ แคโรไลน์ กู้ดออล และแจสเปอร์ แฮร์ริส; ภาพยนตร์อินดี้ของสหราชอาณาจักรเรื่อง Dummy; ภาพยนตร์ของ กูรินเดอร์ แช็ดดา เรื่อง Angus, Thongs and Perfect Snogging และ The Greatest ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ แครี่ย์ มัลลิแกน และเพียร์ซ บรอสแนน

คริสโตเฟอร์ มินต์ซ-แพลส (CHRISTOPHER MINTZ-PLASSE) รับบท คริส ดีอามิโค่/ เดอะมาเธอร์ฟั%&*‏^เกอร์

คริสโตเฟอร์ มินต์ซ-แพลส คือหนึ่งในนักแสดงตลกหนุ่มผู้เป็นที่ต้องการตัวในฮอลลีวู้ดนับแต่ที่เขาให้บทบาทการแสดงที่ยากจะลืมเลือนในภาพยนตร์ฮิตที่ได้รับคำชมเรื่อง Superbad

ในปี 2008 มินต์ซ-แพลสร่วมแสดงในภาพยนตร์ตลกสุดฮิตเรื่อง Role Models ซึ่งนำแสดงโดย พอล รัดด์, ฌอนน์ วิลเลี่ยม สก็อตต์ และเคน จ็อง ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง และทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $90 ล้าน และในปี 2009 เขาได้กลับไปร่วมทีมกับเพื่อนร่วมจอจาก Superbad อย่าง ไมเคิล เซร่า ในภาพยนตร์ของ แฮโรลด์ เรมิส เรื่อง Year One

ในปี 2010 มินต์ซ-แพลส รับบทเป็น เร็ดมิสต์ ในภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่สำหรับวัยรุ่น เรื่อง Kick-Ass และในปีเดียวกันนั้น เขายังไปให้เสียงพากย์ให้กับภาพยนตร์การ์ตูนจากค่ายดรีมเวิร์กส์ แอนิเมชั่น เรื่อง How to Train Your Dragon ส่วนในปี 2011 เขาร่วมแสดงกับ แอนทอน เยลชิน, โคลิน ฟาร์เรลล์ และเดวิด เทนแนนต์ ในภาพยนตร์รีเมกเรื่อง Fright Night

ในส่วนของงานแอนิเมชั่น มินต์ซ-แพลสยังให้เสียงพากย์กับภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง ParaNorman และจะกลับไปให้เสียงพากย์เป็น ฟิชเลกส์ ตัวละครตัวเดียวใน How to Train Your Dragon 2 เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งจะปิดกล้องงานถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Get a Job และ Townies ซึ่งเรื่องหลังเขาร่วมแสดงกับ เซ็ธ โรเก้น และแซ็ค เอฟรอน

ผลงานเรื่องต่อไป มินต์ซ-แพลสจะร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The To Do List ที่เขาร่วมแสดงกับ แดนนี่ โกลเวอร์, ออบรีย์ พลาซ่า และแอนดี้ แซมเบิร์ก

โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ (CHLOË GRACE MORETZ) รับบท มินดี้/ ฮิทเกิร์ล

โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะสุดยอดนักแสดงรุ่นใหม่ ผลงานภาพยนตร์ของเธอทำรายได้รวมกันเข้าใกล้หลัก $1 พันล้านแล้ว ในปี 2013 นี้ มอเร็ตซ์จะแสดงนำในภาพยนตร์ของ เอ็มจีเอ็ม เรื่อง Carrie โดยประกบบทกับ จูลีแอนน์ มัวร์ และกำกับโดย คิมเบอร์ลี่ เพียร์ซ

ในปี 2012 มอเร็ตซ์ร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ ทิม เบอร์ตัน เรื่อง Dark Shadows ซึ่งดัดแปลงมาจากซีรีส์เรื่องดังทางทีวี และในปี 2011 เธอร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ มาร์ติน สกอร์เซซี่ เรื่อง Hugo โดยได้ร่วมแสดงกับ เซอร์เบน คิงสลี่ย์, อาซา บัตเตอร์ฟิลด์ และซาช่า บารอน โคเฮน โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์ถึง 5 รางวัลด้วยกัน

ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา มอเร็ตซ์ได้สร้างประวัติผลงานที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือการแสดงที่หลากหลายของเธอ ด้วยวัยเพียง 11 ปี เธอได้รับบทนำเป็น ฮิทเกิร์ล ในภาพยนตร์เรื่อง Kick-Ass และในปี  2011 เธอแสดงนำในภาพยนตร์ของ แม็ตต์ รีฟส์ เรื่อง Let Me In ซึ่งเป็นงานรีเมกภาพยนตร์แวมไพร์ของสวีเดน เรื่อง Let the Right One In ซึ่งทำให้เธอได้รับคำชมไปอย่างท่วมท้น

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของมอเร็ตซ์ ได้แก่ภาพยนตร์ตลกโรแมนติค ปี 2009 เรื่อง (500) Days of Summer ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ และซูอี้ เดสชาเนล และภาพยนตร์ทริลเลอร์ของ อามี่ คานาน แมนน์ เรื่อง Texas Killing Fields ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ แซม เวิร์ธทิงตัน และเจสซิก้า แชสเทน

จิม แคร์รี่ย์ (JIM CARREY) รับบทผู้พันสตาร์ส แอนด์ สไตรป์ส

จิม แคร์รี่ย์ได้รับการยกย่องทั้งงานแสดงหนังตลกและดราม่า เขาเคยได้รับรางวัลลูกโลกทองคำในสาขาภาพยนตร์ดราม่า จากภาพยนตร์ของปีเตอร์ เวียร์ เรื่อง The Truman Show และได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ ดารานำชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์แนวตลกหรือเพลง จากภาพยนตร์ของ มิลอส ฟอร์แมน เรื่อง Man on the Moon

           เมื่อเร็วๆ นี้ แคร์รี่ย์ ได้ร่วมแสดงกับ สตีฟ คาเรลล์ และสตีฟ บุสเซมี่ ในภาพยนตร์ตลกของนิวไลน์ ซีนีม่า เรื่อง The Incredible Burt Wonderstone ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของแคร์รี่ย์ ได้แก่ ภาพยนตร์ตลกสำหรับครอบครัวเรื่อง Mr. Popper’s Penguins และภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต เซเมคคิส ที่ดัดแปลงจากนิยายคลาสสิกของ ชาร์ลส์ ดิ๊คเก้นส์ เรื่อง “A Christmas Carol” โดยแคร์รี่ย์รับบทเป็น เอบีเนเซอร์ สครู้จ รวมถึงผีสามตัวที่คอยตามหลอกหลอนเขา เขายังรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง I Love You Phillip Morris ภาพยนตร์ตลกเสียดสีที่เขียนบทและกำกับโดย เกลนน์ ฟิคาร์ร่า และจอห์น รีควา และภาพยนตร์ตลกโรแมนติคของผู้กำกับ พีตัน รี้ด เรื่อง Yes Man ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ ซูอี้ เดสชาเนล

ก่อนหน้านั้น แคร์รี่ย์ไปให้เสียงพากย์เป็นตัวละครเอกในภาพยนตร์ซีจีไอแอนิเมชั่น เรื่อง “Horton Hears a Who!” ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์ฮิตโกยรายได้อย่างมหาศาล เขายังแสดงนำร่วมกับ เวอร์จิเนีย แม็ดเซ่น ในภาพยนตร์ทริลเลอร์เขย่าขวัญ เรื่อง The Number 23 ซึ่งกำกับโดย โจล ชูมัคเกอร์, ได้ประกบบทกับ เทีย ลีโอนี่ ในภาพยนตร์ตลกสุดฮิตประจำปี 2005 เรื่อง Fun With Dick and Jane และร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Lemony Snicket’s a Series of Unfortunate Events ซึ่งสร้างจากหนังสือสำหรับเด็กของ แดเนียล แฮนด์เลอร์ และแสดงนำในภาพยนตร์ดราม่าที่ได้รับคำชมเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลบัฟต้าสามารถดารานำชายยอดเยี่ยม

ในปี 2003 แคร์รี่ย์แสดงนำในภาพยนตร์ตลกที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Bruce Almighty ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปีนั้น และถือเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 3 ที่เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับ ทอม แช็ดแย็ค ที่ก่อนนี้เคยกำกับเขาในภาพยนตร์ตลกสุดฮิตอย่าง Ace Ventura: Pet Detective และ Liar Liar ส่วนในปี 2001 เขาแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง The Majestic และในปี 2000 แคร์รี่ย์ให้เสียงและบุคลิกในการแสดงกับบทนำในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดแห่งปีเรื่อง How the Grinch Stole Christmas ซึ่งสร้างจากผลงานคลาสสิกของดร.ซุส และในซัมเมอร์ปีเดียวกันนนั้น เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์ตลกของพี่น้องฟาร์เรลลี่ เรื่อง Me, Myself & Irene

มอร์ริส เชสต์นัท (MORRIS CHESTNUT) รับบทจ่ามาร์คัส วิลเลี่ยมส์

มอร์ริส เชสต์นัทรับบทเป็น ดร.ไอก์ เพรนติสส์ ในซีรีส์ของ โชว์ไทม์ เรื่อง Nurse Jackie และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งจะปิดกล้องภาพยนตร์ของค่ายโซนี่ เรื่อง The Call ซึ่งเขาแสดงนำร่วมกับ ฮัลลี่ เบอร์รี่ และภาพยนตร์เรื่อง The Best Man Holiday ซึ่งทำให้เขาได้กลับไปร่วมงานกับทีมนักแสดงของภาพยนตร์ภาคแรก The Best Man แบบพร้อมหน้าพร้อมตา

เชสต์นัทเป็นนักแสดงขาประจำของซีรีส์แนวดราม่าเรื่อง American Horror Story ในซีซั่นแรก และผลงานเรื่องก่อนหน้านี้ของเขาทางจอเงิน ได้แก่ Think Like a Man และ Identity Thief

โดนัลด์ ไฟสัน (DONALD FAISON) รับบท ดร.กราวิตี้

โดนัลด์ ไฟสันมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีจากการรับบทเป็น เติร์ก ในซีรีส์ยอดฮิตเรื่อง Scrubs ซึ่งเคยทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล NAACP Image Award มาแล้ว ปัจจุบัน ไฟสันเป็นนักแสดงประจำของซิทคอม เรื่อง The Exes ซึ่งออกอากาศมาเป็นปีที่สามแล้ว

ทางด้านภาพยนตร์ ไฟสันแสดงนำในภาพยนตร์ของ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และรีเลทิวิตี้ มีเดีย เรื่อง Skyline รวมถึงภาพยนตร์ของ เบนนี่ บูม เรื่อง Next Day Air ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ตลกคลาสสิกของ เอมี่ เฮ็คเกอร์ลิ่ง เรื่อง Clueless, Something New, Remember the Titans, Waiting to Exhale, King’s Ransom, Uptown Girls, Josie and the Pussycats, Can’t Hardly Wait, Big Fat Liar และ Juice

จอห์น ลีไกวเซโม่ (JOHN LEGUIZAMO) รับบท ฮาเวียร์

จอห์น ลีไกวเซโม่ คือนักแสดงที่มีผลงานหลากหลาย ทั้งในแวดวงภาพยนตร์จอเงิน จอแก้ว และละครเวที ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ เขาจะร่วมแสดงในภาพยนตร์ตลกเรื่อง Fugly! ซึ่งเขาทั้งเขียนบท อำนวยการสร้าง และแสดงนำเอง  และในปีนี้ เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์ดราม่าแนวอาชญากรรมของ ริดลี่ย์ สก็อตต์ เรื่อง The Counselor ซึ่งเขาได้ประกบบทกับ แบร็ด พิตต์, ไมเคิล ฟาสส์เบนเดอร์ และฮาเวียร์ บาร์เด็ม

เมื่อเร็วๆ นี้ ลีไกวเซโม่เพิ่งจะปิดกล้องภาพยนตร์ตลกแอ็กชั่นของ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง Ride Along ซึ่งกำกับโดย ทิม สตอรี่ และนำแสดงโดย เควิน ฮาร์ต โดยเขารับบทเป็นตำรวจลับที่ต้องเจอกับเพื่อนตำรวจด้วยกัน ซึ่งรับบทแสดงโดย ไอซ์ คู้บ

ในปี 2012 ลีไกวเซโม่กลับมาให้เสียงเป็น ซิด ในภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Ice Age: Continental Drift ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับที่ 5 ของปีนั้น ในปีเดียวกันนี้ เขายังแสดงนำในภาพยนตร์ที่พูดภาษาสเปน เรื่อง El Paseo 2 ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์โคลัมเบีย

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของลีไกวเซโม่ ได้แก่ Vanishing on 7th Street, The Lincoln Lawyer, the Ice Age franchise, Love in the Time of Cholera, The Happening, Righteous Kill, The Babysitters, The Take, Where God Left His Shoes, Miracle at St. Anna, Land of the Dead, Assault on Precinct 13, Sueño, Spun, Summer of Sam, King of the Jungle, Spawn, William Shakespeare’s Romeo + Juliet, Dr. Dolittle, Carlito’s Way และ Casualties of War

บทบาทกะเทยของเขาในภาพยนตร์เรื่อง To Wong Foo Thanks for Everything, Julie Newmar ทำให้ลีไกวเซโม่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ALMA Award จากภาพยนตร์เรื่อง Moulin Rouge และ King of the Jungle

ประวัติทีมผู้สร้าง

เจฟฟ์ แว็ดโลว์ (JEFF WADLOW) – ผู้กำกับ/ ผู้เขียนบท

หลังจากขายบทภาพยนตร์เรื่อง Bloodshot ให้กับค่ายโซนี่ พิคเจอร์ส และผู้อำนวยการสร้าง นีล เอช มอริตซ์ แล้ว ผู้อำนวยการสร้าง แมทธิว วอห์น ได้มอบโอกาสให้ เจฟฟ์ แว็ดโลว์ เป็นผู้เขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง Kick-Ass 2

เขาสำเร็จการศึกษาจากดาร์ตเม้าธ์ คอลเลจ และโครงการ Peter Stark Producing Program ที่ยูเอสซี ต่อมา แว็ดโลว์ได้กำกับภาพยนตร์สั้นเรื่อง tHE tOWeR oF BabBLe ซึ่งไปคว้ารางวัลต่างๆ มาได้มากมาย ก่อนจะคว้าเงินรางวัลสูงสุดที่งานเทศกาลภาพยนตร์ Chrysler Million Dollar Film Festival และแว็ดโลว์ได้ใช้เงินรางวัล $1 ล้านเหรียญที่ได้สร้างภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Cry_Wolf  ผลงานภาพยนตร์เรื่องต่อมาของเขาในฐานะผู้กำกับ ก็คือภาพยนตร์แอ็กชั่นดราม่าเรื่อง Never Back Down ซึ่งนำแสดงโดย จิมอน ฮูนซู ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ไปคว้ารางวัล Best Fight ที่งานแจกรางวัลเอ็มทีวีในปี 2008

แมทธิว วอห์น (MATTHEW VAUGHN) – ผู้อำนวยการสร้าง

แมทธิว วอห์นคือผู้สร้างภาพยนตร์แถวหน้าชาวอังกฤษที่มีผลงานทั้งในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ผู้เขียนบท และกำกับ วอห์นเริ่มต้นเข้าวงการด้วยการเป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ของ กาย ริทชี่ เรื่อง Lock, Stock and Two Smoking Barrels และ Snatch ซึ่งนำแสดงโดย แบร็ด พิตต์ เมื่อเขาก่อตั้งบริษัท MARV Films เขาได้ทำหน้าที่ผู้กำกับให้กับภาพยนตร์เรื่อง Layer Cake ซึ่งนำแสดงโดย แดเนียล เคร็ก ต่อมา เขาได้กำกับและร่วมเขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่อง Stardust ซึ่งนำแสดงโดย โรเบิร์ต เดอ นีโร และมิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ และในปี 2009 วอห์นได้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง Harry Brown ซึ่งนำแสดงโดย ไมเคิล เคน ส่วนในปี 2010 วอห์นอำนวยการสร้างและเขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Debt ซึ่งนำแสดงโดย เฮเลน มิร์เรน และแซม เวิร์ธทิงตัน และเขายังกำกับ อำนวยการสร้าง และเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Kick-Ass

ปัจจุบัน วอห์นอยู่ระหว่างดำเนินงานสร้างภาพยนตร์ที่ทุกคนรอคอยเรื่อง X-Men: Days of Future Past

อดัม โบห์ลิง (ADAM BOHLING) – ผู้อำนวยกาสร้าง/ ผู้จัดการกองถ่ายย่อย

อดัม โบห์ลิง พร้อมด้วย เดวิด รี้ด ได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับผลงานการกำกับเรื่องแรกของ แมทธิว วอห์นเรื่อง Layer Cake และภาพยนตร์ของ วอห์น เรื่อง Kick-Ass นอกจากนี้ โบห์ลิงและรี้ดยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์เข้าชิงรางวัลบัฟต้าเรื่อง Rang De Basanti, Mister Lonely และผลงานการกำกับเรื่องแรกของ นิค โมแรน เรื่อง Telstar

ทาร์ควิน แพ็ค (TARQUIN PACK) – ผู้อำนวยการสร้าง

ทาร์ควิน แพ็คได้ร่วมงานกับ แมทธิว วอห์นเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Layer Cake เขายังได้ทำงานกับผลงานการกำกับเรื่องที่ 2 ของวอห์น เรื่อง Stardust และทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Debt ซึ่งวอห์นเขียนบทและอำนวยการสร้าง แพ็คยังเป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่อง Kick-Ass และ X-Men: First Class

เดวิด รี้ด (DAVID REID) – ผู้อำนวยการสร้าง และผู้กำกับกองถ่ายย่อย และผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2

เดวิด รี้ด พร้อมด้วยอดัม โบห์ลิง ได้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับผลงานการกำกับเรื่องแรกของ แมทธิว วอห์น เรื่อง Layer Cake และภาพยนตร์ของ วอห์น เรื่อง Kick-Ass เขากับโบห์ลิงยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้เข้าชิงรางวัลบัฟต้าเรื่อง Rang De Basanti, Mister Lonely และผลงานการกำกับเรื่องแรกของ นิค โมแรน เรื่อง Telstar

มาร์ก มิลลาร์ (MARK MILLAR) – ผู้เขียนหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ/ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

มาร์ก มิลลาร์คือนักเขียนและผู้สร้างสรรค์ผลงานหนังสือเรื่อง “Wanted” และ “Kick-Ass” มิลลาร์ยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Wanted ซึ่งนำแสดงโดย แองเจลิน่า โจลี่ และภาพยนตร์เรื่อง Kick-Ass ซึ่งนำแสดงโดย นิโคลัส เคจ นอกจากนี้เขายังเป็นที่ปรึกษาให้กับทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ โดยได้เข้ามาดูแลงานให้กับภาพยนตร์ใหม่ของ มาร์เวล อย่าง X-Men: Days of Future Past, The Wolverine และ The Fantastic Four

บริษัท มิลลาร์เวิร์ลด์ ของมิลลาร์ ยังผลิตผลงานอย่าง “Hit-Girl,” “The Secret Service,” “Nemesis,” “War Heroes,” “American Jesus,” “Supercrooks” และ “Superior” ซึ่งหนังสือเหล่านี้อยู่ระหว่างถูกนำไปดำเนินงานสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยมี แมทธิว วอห์น ได้รับการวางตัวให้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Secret Service และ โจ คาร์นาแฮน กำกับภาพยนตร์เรื่อง Nemesis

จอห์น เอส โรมิตา จูเนียร์ (JOHN S. ROMITA JR.) – ผู้เขียนหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ และผู้อำนวยการสร้างบริหาร

จอห์น เอส โรมิตาเริ่มต้นทำงานที่มาร์เวล ยูเค โดยเป็นผู้สเก็ตช์ภาพปกของหนังสือ เขาเดิมประเดิมงานในอเมริกาด้วยผลงานเรื่อง “Chaos at the Coffee Bean!”  ความนิยมในตัวโรมิตาเริ่มขึ้นด้วยผลงานที่เขาสร้างสรรค์ให้กับ “Iron Man” ในปี 1978 และในช่วงต้นยุค 80

ในช่วงปลายยุค 1980 และต้น and early 1990 โรมิตาสนุกสนานกับการสร้างสรรค์ผลงานเรื่อง “Daredevil” และในระหว่างยุค 1990 เขาได้ทำงานให้กับผลงานหลักของ มาร์เวล อย่าง “The Punisher War Zone,” “The Hulk,” “The Mighty Thor” และ “Punisher/Batman: Deadly Knights”

ในยุค 2000 เขากลับไปทำงานกับ “The Amazing Spider-Man” และยังเป็นผู้วาดภาพให้กับ “Wolverine” โดยร่วมงานกับ มาร์ก มิลลาร์ ผลงานศิลปะของเขายังมีให้เห็นในการ์ตูนเรื่อง “Black Panther,” “The Sentry” และ “Ultimate Vision” ที่มิลลาร์เป็นคนเขียนเรื่อง

ในปี 2008 โรมิตาได้กลับไปทำงานกับหนังสือ “The Amazing Spider-Man” อีกครั้ง จากนั้นเขายังได้ร่วมงานกับมิลลาร์ในการทำหนังสือการ์ตูนชุด “Kick-Ass” ที่ตีพิมพ์โดยไอค่อน บริษัทของมาร์เวล โรมิตาซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่องนั้น ยังได้ประเดิมงานกำกับเรื่องแรกของเขา ด้วยการกำกับการ์ตูนที่เป็นเหตุการณ์แฟลชแบ็คในภาพยนตร์เรื่องนั้นด้วย

ทิม มอริซ โจนส์ (TIM MAURICE JONES, BSC) – ผู้กำกับภาพ

ทิม มอริซ โจนส์ ได้ทำงานให้กับภาพยนตร์ของ เจมส์ วัทกิ้นส์ เรื่อง The Woman in Black และภาพยนตร์ของ โดมินิค เมอร์ฟี่ย์ เรื่อง White Lightnin’

ก่อนหน้านี้ โจนส์ได้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง Filth and Wisdom ซึ่งกำกับโดย มาดอนน่า และภาพยนตร์ตลกซูเปอร์ฮีโร่ของไลออนส์เกท เรื่อง Kick-Ass ซึ่งกำกับโดย แมทธิว วอห์น และนำแสดงโดย แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน และโคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์

โจนส์เคยทำงานให้กับภาพยนตร์สองเรื่องของผู้กำกับ กาย ริทชี่ โดยเริ่มต้นจากงานกำกับภาพยนตร์สุดฮิตของริทชี่ เรื่อง Lock, Stock and Two Smoking Barrels และภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Snatch ซึ่งนำแสดงโดย แบร็ด พิตต์

รัสเซลล์ เดอ โรซาริโอ (RUSSELL DE ROZARIO) –โปรดักชั่น ดีไซเนอร์

รัสเซลล์ เดอ โรซาริโอ สำเร็จการศึกษาจากเชลซี คอลเลจ ออฟ อาร์ต แอนด์ ดีไซน์ เขาทำงานเป็นโปรดักชั่นดีไซเนอร์ให้กับภาพยนตร์ของ แมทธิว วอห์น เรื่อง Kick-Ass และยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านภาพให้กับภาพยนตร์ของ วอห์น เรื่อง X-Men: First Class ก่อนหน้านี้ เดอ โรซาริโอ เคยร่วมงานกับวอห์นมาแล้วในภาพยนตร์ของ กาย ริทชี่ เรื่อง Swept Away และภาพยนตร์ของ แบร์รี่ สโคลนิค เรื่อง Mean Machine ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของ เดอ โรซาริโอ ได้แก่ ภาพยนตร์ของ นิค โมแรน เรื่อง The Kid และ Telstar: The Joe Meek Story และภาพยนตร์ของ แอนดี้ โมราแฮน เรื่อง Goal III: Taking on the World

แซมมี่ เชลดอน ดิฟเฟอร์ (SAMMY SHELDON DIFFER) – ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย

แซมมี่ เชลดอน ดิฟเฟอร์ เริ่มต้นทำงานด้วยการทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ให้กับภาพยนตร์หลายเรื่อง อาทิเช่น ภาพยนตร์ของ ริดลี่ย์ สก็อตต์ เรื่อง Gladiator และภาพยนตร์ของ เจก สก็อตต์ เรื่อง Plunkett & Macleane จากนั้น เธอได้ไปออกแบบเสื้อผ้าให้กับภาพยนตร์ของสก็อตต์ เรื่อง Black Hawk Down และภาพยนตร์ล้อเลียนสารคดีเรื่อง The Calcium Kid ซึ่งนำแสดงโดย ออร์แลนโด้ บลูม เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัฟต้าเป็นครั้งที่สอง จากภาพยนตร์เรื่อง The Merchant of Venice ซึ่งนำแสดงโดย อัล ปาชิโน่ และเจเรมี่ ไอรอนส์ โดยก่อนหน้านั้นเธอเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมาแล้วจากผลงานของบีบีซี เรื่อง “The Canterbury Tales”

ผลงานการออกแบบเรื่องอื่นๆของ เชลดอน ดิฟเฟอร์ ได้แก่ภาพยนตร์ตลกเรื่อง Kinky Boots; The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy; V for Vendetta; Hellboy II: The Golden Army; ภาพยนตร์ของพอล กรีนกราส เรื่อง The Green Zone และภาพยนตร์ของ ร็อบ เล็ตเตอร์แมน เรื่อง Gulliver’s Travels เธอยังได้ทำงานกับ แมทธิว วอห์น ในภาพยนตร์เรื่อง Kick-Ass, X-Men: First Class และ Stardust ผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเธอ ได้แก่ Ex Machina ซึ่งเป็นงานเขียนบทและกำกับของ อเล็กซ์ การ์แลนด์ และเรื่อง The Imitation Game ซึ่งกำกับโดย มอร์เท่น ทิลดัม

เอ๊ดดี้ แฮมิลตัน (EDDIE HAMILTON, ACE) – ผู้ลำดับภาพ

เอ๊ดดี้ แฮมิลตันทำงานลำดับภาพให้กับภาพยนตร์มานานกว่า 15 ปีแล้ว โดยเขาเคยทำหน้าที่ร่วมตัดต่อลำดับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง X-Men: First Class และ Kick-Ass ภาคแรก รวมถึงภาพยนตร์มากกว่า 20 เรื่องซึ่งมีทั้งที่เป็นภาพยนตร์อินดี้และภาพยนตร์สตูดิโอ นอกจากนี้ เขายังมีผลงานดราม่าทางทีวี สารคดี และภาพยนตร์สั้นที่คว้ารางวัลต่างๆ

เฮนรี่ แจ็คแมน (HENRY JACKMAN) – ผู้แต่งดนตรีประกอบ

เฮนรี่ แจ็คแมนคือผู้แต่งดนตรีประกอบที่ผสมผสานความรู้ด้านดนตรีคลาสสิกเข้ากับความสนใจที่เขามีต่องานเฮ้าส์มิวสิค โดยเป้าหมายในการทำงานของเขาก็คือการแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ช่วยสนับสนุนการเล่าเรื่องและการสื่ออารมณ์ของเรื่อง

ผลงานเมื่อเร็วๆ นี้ของแจ็คแมน ได้แก่ G.I. Joe: Retaliation; Wreck-It Ralph ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลแอนนี่ และ Turbo ภาพยนตร์การ์ตูนเกี่ยวกับหอยทากที่ฝันอยากเป็นนักแข่งในการแข่งอินดี้ 500

แจ็คแมนยังเป็นปรมาจารย์ในการผลิตงานดนตรีให้กับภาพยนตร์สำหรับครอบครัว อย่าง Puss in Boots, Winnie the Pooh และ Gulliver’s Travels รวมถึงภาพยนตร์แอ็กชั่นอย่าง Man on a Ledge, Abraham Lincoln: Vampire Hunter, X-Men: First Class และ Kick-Ass

ก่อนหน้าจะมาทำงานในแวดวงภาพยนตร์ งานดนตรีของเขาสร้างความสนใจให้กับนักแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์หลายคน จน ฮาน ซิมเมอร์ ได้ดึงเขาให้ไปร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง The Da Vinci Code, Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest, Kung Fu Panda และ The Dark Knight เขามาแจ้งเกิดในปี 2009 เมื่อเขาโชว์ฝีมือเดี่ยวในการแต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์ของ ดรีมเวิร์กส์ แอนิเมชั่นเรื่อง Monsters vs. Aliens

แมทธิว มาร์จีสัน (MATTHEW MARGESON) – ผู้แต่งดนตรีประกอบ

แมทธิว มาร์จีสัน คือนักแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ชาวอเมริกัน ที่เคยศึกษาด้านงานดนตรีประกอบภาพยนตร์ร่วมสมัยอยู่ที่เบิร์กลี คอลเลจ ออฟ มิวสิค ในบอสตัน

มาร์จีสันย้ายมาอยู่ลอสแอนเจลิส ในปี 2003 และได้รับเชิญให้ไปฝึกงานกับ เคล้าส์ บาเดลท์ (The Recruit, Catwoman, Constantine) จนในปี 2005 เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าวิศวกรเทคนิคที่ทำงานให้กับนักแต่งดนตรีประกอบ เจมส์ ดูลี่ย์ ที่สตูดิโอของ ฮานส์ ซิมเมอร์ ในซานตา มอนิก้า, แคลิฟอร์เนีย

ขณะทำงานอยู่ที่รีโมท คอนโทรล บริษัทของซิมเมอร์ มาร์จีสันได้พัฒนาเทคนิคและสไตล์การประพันธ์ดนตรี โดยได้ร่วมงานกับซิมเมอร์ และผู้แต่งดนตรีประกอบคนอื่นๆ ทำงานให้กับภาพยนตร์อย่าง Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides, Transformers: Revenge of the Fallen และ X-Men: First Class

ในปี 2010 มาร์จีสันได้ทำงานดนตรีให้กับภาพยนตร์เรื่อง Skyline จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BSOSpirit Revelation Composer Award ที่งานเทศกาลดนตรีภาพยนตร์อูเบด้า และในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2012 มาร์จีสันเดินทางไปอยู่ในลอนดอนนานสามเดือน เพื่อทำดนตรีให้กับภาพยนตร์เรื่อง Sherlock Holmes: A Game of Shadows