HIGHLIGHT CONTENT

"At Any Price สัมพันธ์รักไม่เคยร้าง" 27 มิถุนายนนี้พร้อมให้ได้สัมผัส

  • 10,028
  • 11 มิ.ย. 2013

"At Any Price สัมพันธ์รักไม่เคยร้าง"

จุดเด่นภาพยนตร์

คุณจะทำแค่ไหนเพื่อความฝัน? เรื่องราวที่ถ่ายทอดความหมายที่แท้จริงของ American Dream และสิ่งที่ต้องแลกมาเพื่อทำให้บรรลุเป้าหมาย ผลงานที่พิสูจน์ฝีมือทางการแสดงของ แซค เอฟรอน นักแสดงหนุ่มจาก High School Musical และ Hairspray ร่วมด้วยนักแสดงคุณภาพ เดนนิส เคว็ด , เฮทเธอร์ เกรแฮม และ คิม ดิกเก้นส์ กำกับภาพยนตร์โดย รามิน เบห์รานี่

ด้วยเนื้อเรื่องที่โดดเด่นทำให้ภาพยนตร์เรื่อง At Any Price ได้รับเลือกให้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสปี 2012 , งานเทศกาลภาพยนตร์เทลลูไรด์ปี 2012 และ งานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตปี 2012

 เรื่องย่อ

ในโลกของเกษตรกรรมเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม เฮนรี่ วิปเปิ้ล (เดนนิส เคว็ด) ต้องการให้ ดีน (แซค เอฟรอน) ลูกชายของเขา ช่วยพัฒนาและสืบทอดกิจการของครอบครัว อย่างไรก็ตาม ดีน ก็มีความฝันของตัวเอง เขาต้องการที่จะเป็นนักขับรถแข่งNASCARอาชีพ ความไม่ลงรอยกันในทางเลือกของชีวิต บวกกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาสืบสวนธุรกิจของครอบครัว สองพ่อลูกต้องถูกผลักดันไปถึงจุดแตกหัก และเผชิญหน้ากับทางเลือกที่อาจหมายถึงความอยู่รอดของครอบครัว

สารจากผู้กำกับ... รามิน บาห์รานี่

รามิน บาห์รานี่ กล่าวว่า “...ในช่วงหกเดือนที่ผมใช้เวลาอยู่กับชาวนาในดินแดนมิดเวสต์ของอเมริกา สองคำที่ผมได้ยินบ่อยที่สุดคือ “ไม่ขยายก็ตาย” และ “ไม่รุ่งก็ร่วง” คำเหล่านี้เป็นตัวจุดประกายความใฝ่ฝันถึงความสำเร็จของชาวอเมริกันและคนทั่วโลก ชาวนาสมัยใหม่บริหารธุรกิจหลายล้านเหรียญ ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย พร้อมไปกับการทำตัวเป็นเซลส์แมนขายเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม ผู้ที่คอยใช้สมาร์ทโฟนเช็คราคาตลาดโลกอยู่ตลอดเวลา ความกดดันมันมหาศาลเลยครับ ผมอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายคนหนึ่ง ที่ให้คุณค่ากับการขยายธุรกิจมากกว่าครอบครัว เพื่อนบ้าน ชุมชนหรือแม้แต่ตัวเขาเอง ครอบครัวของเขาจะรวมกันเป็นหนึ่งท่ามกลางโลกที่มีการแข่งขันสูงนี้ได้รึเปล่านะ

ผมอยากให้มันเป็นหนังที่ดูคลาสสิกมากๆ ครับ เพราะผมรู้สึกว่ามันจะเป็นภาพที่ตรงกันข้ามกับเรื่องราวที่ทันสมัยและเกี่ยวกับการทำลายล้างนี้ หนังที่ผมดูบ่อยๆ ก็คือ The Searchers, The Last Picture Show, Nashville และ Bonnie and Clyde ผมอยากได้ความรู้สึกแบบอีพิคที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมนุษย์ที่ละเอียดอ่อนภายในภูมิประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นได้น่ะครับ...” บาห์รานี่กล่าว.

เกี่ยวกับงานสร้าง

โลกของธุรกิจการเกษตรไฮเทคที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเป็นฉากหลังสำหรับ AT ANY PRICE ดราม่าที่ผสมผสานธีมของพ่อและลูกความทะเยอทะยานและความดื้อรั้นศีลธรรมและการอยู่รอด เข้ากับมุมมองการเกษตรสมัยใหม่แบบตรงไปตรงมา

รามิน บาห์รานี่ กล่าวว่า “...ผมใช้เวลาประมาณหกเดือนในมิดเวสต์เพื่อสังเกตชีวิตเกษตรกรครับ ผมจะนั่งไปกับเกษตรกรในเครื่องหว่านเมล็ด 48 แถว ติดแอร์ขนาดใหญ่ที่มี GPS ของพวกเขา แล้วพวกเขาก็จะคุยกับผม มันเหมือนเซสชันบำบัดจิตเลยครับ เรื่องราวและอารมณ์ต่างๆ ในหนังเรื่องนี้มาจากบทสนทนาของผมกับเกษตรกรตัวจริงครับ...”

บาห์รานี่ดึงข้อมูลมาจากการค้นคว้าที่ยาวนาน การใช้ชีวิตใกล้ชิดกับแหล่งต้นเรื่องและการรวบรวมเรื่องราว ความคิดเห็นและรายละเอียด “...ตอนที่ผมได้ยินว่าคนขายเมล็ดพันธุ์มีวันขอบคุณลูกค้า ผมก็รู้ว่ามันจะเป็นกรอบที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรื่องราวได้ มีครั้งหนึ่ง จอร์จ เนย์เลอร์ (จอร์จ เนย์เลอร์เป็นหนึ่งในเกษตรกรที่มีข้อมูลอยู่ในหนังสือ The Omnivore’s Dilemma โดยไมเคิล พอลแลน ผู้แนะนำบาห์รานีให้รู้จักกับเกษตรกรจำนวนหนึ่งรวมถึงคนที่เขารู้จักในแหล่งเพาะปลูกข้าวโพด

บริเวณนั้นอีกด้วย) เกษตรกรที่ผมพักอยู่ด้วย พาผมไปดูการนำเสนอ Power Point เกี่ยวกับการพัฒนาผลผลิตในห้องด้านหลังของร้านอาหารของครอบครัว และมันก็อยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วยครับ...”

ในเวลาเดียวกัน AT ANY PRICE ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงสำหรับบาห์รานี่เช่นกันเพราะมันเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่มีทุนมากกว่าและมีทีมนักแสดงอาชีพ “...หลังจากสร้างหนังมาสามเรื่องกับนักแสดงจำนวนจำกัดและโลกที่เฉพาะเจาะจงและคับแคบ ผมก็อยากจะท้าทายตัวเอง เรื่องราวที่ผมได้ยินเกี่ยวกับพื้นที่เพาะปลูกตอนกลางนั้นดูเหมือนเป็นโอกาสที่เพอร์เฟ็กต์ในการขยายทีมนักแสดงของผม ในการร่วมงานกับนักแสดงอาชีพและการขยายสโคปทางสังคมของเรื่องราวให้รวมเอาเรื่องของศาสนา ธุรกิจและการเมืองเข้าไปด้วย ผมอยากจะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประเด็นที่จริงจัง ด้วยตัวละครซับซ้อน ที่จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ชม นอกเหนือจากที่อยู่ในงานเทศกาลภาพยนตร์และนิวยอร์ก ซิตี้น่ะครับ...”

-ไม่ขยายก็ตาย-

บาห์รานี่ได้ร่วมมือกับฮัลลี่ย์ อลิซาเบธ นิวตัน ในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ “...เธอถนัดเรื่องตัวละคร ไดอะล็อคและอารมณ์ขันครับ...” เขากล่าว และการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยรายละเอียดของพวกเขาก็ผลักดันเรื่องราวของมนุษย์ที่น่าติดตาม ที่หลอมรวมประเด็นใหญ่และซับซ้อนเกี่ยวกับศีลธรรม ความก้าวหน้าและธรรมชาติของการเกษตรเข้าไว้ด้วยกัน

“...เราก็เหมือนกับคนจำนวนมากในปัจจุบัน ที่สนใจในเรื่องอาหาร มันมาจากไหน? มันผ่านกระบวนการอะไรรึเปล่า? เรากินอะไรเข้าไปในร่างกายเรา? และราชาของอาหารที่ผ่านการแปรรูปก็คือข้าวโพดครับ มันมีการประสานกันระหว่างไอเดียโรแมนติกของเราที่มีต่อการเกษตรและค่านิยมของการเพาะปลูกและความจริงที่ว่าการเกษตรเป็นธุรกิจใหญ่ที่มีการเชือดเฉือนกัน มันเปลี่ยนแปลงไปมากเลยครับ การเกษตรไม่ได้หมายถึงคนท้องถิ่นสวมชุดเอี๊ยมทำไร่ไถนาอีกต่อไปแล้ว แต่มันหมายถึงนักธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจหลายล้านเหรียญ ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยมากๆ ในการเดินทางไปไอโอวาครั้งแรก เกษตรกรทุกคนที่ผมพบพูดประโยคสองประโยคเดิมๆ กับผม “ไม่ขยายก็ตาย” และ “ไม่รุ่งก็ร่วง” มันดูเหมือนจะเป็นคำเปรียบเปรยสำหรับสังคมอเมริกัน ถึงค่านิยมที่นำเราไปสู่หายนะ ในหลายๆ แง่มุม การเชื่อคติเหล่านี้นำไปสู่วิกฤตการณ์เรื่องที่อยู่อาศัยและหายนะทางเศรษฐกิจโลก มันเป็นหลักปรัชญาชีวิตที่อันตราย ที่ถูกส่งออกไปยังยุโรปและที่อื่นๆ ครับ...”

-เซลส์แมนบนทุ่งหญ้าแพรี่-

 นักธุรกิจภาคการเกษตรที่มีแรงขับดันเช่นนั้นถูกรวมอยู่ในตัวของเฮนรี่ วิปเปิ้ล ที่เดนนิส เควดได้ถ่ายทอดถึงมิติและความสิ้นหวังของเขาว่าเป็น “บทยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต” ของเขา

เดนนิส เควด กล่าวว่า “...เฮนรี่เป็นคนที่มีพื้นที่สีเทามากมายครับ เขาทุ่มเทให้กับครอบครัวเขาแต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เห็นแก่ตัวมากๆด้วย เขาหมกมุ่นอยู่กับมรดกตกทอดของครอบครัวและการขยายฟาร์มตัวเองจนเขามองไม่เห็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ เขายังแสร้งคิดไปว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเก่าแก่ที่ยิ่งใหญ่ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้น และเขาก็ต้องดิ้นรนที่จะรักษาภาพไว้ครับ...”

เช่นเดียวกับบาห์รานี เควดก็ใช้เวลาอยู่กับคนที่เหมือนกับเฮนรี่ในชีวิตจริงเพื่อขัดเกลาการสวมบทบาทนี้ของเขา

“...เรากินข้าวกับเกษตรกรและครอบครัวของเขา ฟังเรื่องราวของพวกเขาและรับรู้ความรู้สึกของพวกเขา พวกเขาเอื้อเฟื้อมากๆ ในการเล่าเรื่องชีวิตพวกเขาให้เราฟัง หนังเรื่องนี้สะท้อนถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอเมริกาสมัยใหม่จริงๆ ว่าคนกำลังดิ้นรนแค่ไหนเพื่อตามคนอื่นๆ ให้ทันน่ะครับ...”

เควดเล่าว่า “...ตอนที่ผมอ่านบท ผมคิดว่า นี่เป็นวิลลี โลแมนบนทุ่งหญ้าแพรีชัดๆ มันเหมือนเรากำลังสร้าง Death of a Salesman เลยครับ...”

-สิทธิบัตรในชีวิต-

เฮนรี่เป็นเซลส์แมนจริงๆ นอกเหนือจากการทำการเกษตรในที่ดินของครอบครัวแล้ว เขายังวิ่งวุ่นไปทั่วรัฐเพื่อขายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดจากบริษัทลิเบอร์ตี้ ซี้ด ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมการเกษตรเมล็ดพันธุ์ GMO ซึ่งมีการจดสิทธิบัตรเหล่านี้ แตกต่างจากเมล็ดพันธุ์ธรรมดาที่สามารถแยกเก็บไว้เพื่อทำความสะอาดและใช้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์สำหรับการเพาะปลูกในฤดูกาลหน้าได้ตรงที่เมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะต้องถูกซื้อใหม่ทุกปี ในการขายเมล็ดพันธุ์ให้กับลิเบอร์ตี้ เฮนรี่และเพื่อนของเขาได้ทำลายระบบเศรษฐกิจของการปลูกพืชจากเมล็ดพันธุ์ ทำความสะอาดเมล็ดพันธุ์เพื่อขายในชุมชนของเขา

“...ผมกับฮอลลี่ได้นำเสนอประเด็นที่ยุ่งเหยิงเกี่ยวกับอาหารที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมและการเป็นเจ้าของสิทธิบัตรชีวิตโดยไม่เป็นการสั่งสอนน่ะครับ เราต้องใส่ประเด็นพวกนี้เข้าไปในดราม่า...” บาห์รานี่กล่าว.

การสืบสวนที่คุกคามอาณาจักรของครอบครัววิปเปิ้ลเป็นเรื่องที่มาจากเรื่องจริง “...ไมเคิล พอลแลนแนะนำผมให้รู้จักกับทรอย รัช เกษตรกรคนหนึ่งใน FOOD, INC ในหนังของเรา เขาเล่นเป็นเกษตรกรคนหนึ่งที่ขี่มอเตอร์ไซค์วิบากออกท้องทุ่งไปกับเฮนรี่กับคาเดนซ์ เขาเล่าให้ผมฟังอย่างละเอียดว่ามอนแซนโต้ได้สืบสวนเขาเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรอย่างไร และเล่าถึงเจ้าหน้าที่สองคนที่ติดตามเขา ว่าพวกเขามีลักษณะอย่างไร แต่งตัวอย่างไร และนั่นก็คือต้นแบบตัวละครของเราครับ จริงๆ แล้ว ทรอยเป็นผู้บริสุทธิ์ และคดีของเขาก็ยุติลงได้หลังจากความยุ่งยากและความเสียหายยับเยิน แต่สำหรับหนังของเรา มันดูจะน่าสนใจมากกว่าถ้าตัวละครของเราผิดจริงน่ะครับ...”

ในการมุ่งมั่นหากำไรของเขา อาชญากรรมที่กระทำโดยบริษัทของเฮนรี่ซึ่งคือการละเมิดสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์GMO เกือบจะเป็นหายนะของเขา แต่การทำผิดศีลธรรมของเขาที่ปกปิดการฆาตกรรมที่มีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า เป็นสิ่งที่ลบล้างการแสดงบทบาทขอเขาและภาพมายาที่ว่าเขามีชีวิตที่ดี “...เฮนรี่และไอรีนต่างก็ไม่สบายใจและรู้สึกเหมือนมีบางอย่างติดค้างในใจในแบบที่ดีนอาจจะไม่เป็น แต่พวกเขาก็เอาตัวรอดได้ นั่นเป็นวัฒนธรรมของประเทศในตอนนี้ครับ นักการเมืองจากทั้งสองฝ่ายช่วยให้ธนาคารรอดตัวไปได้ ความโลภของทั้งบริษัทและนักการเมืองพุ่งขึ้นสูงสุดครับ พวกเขาปั่นหัวคนเล่นและก็รอดตัวไปได้อย่างลอยนวลแถมยังได้รางวัลด้วยซ้ำ! นี่คือปัญหา ปัญหาจริงๆ ครับ การรอดตัวจะตามหลอนครอบครัววิปเปิ้ลไปทั้งชีวิตครับ...” บาห์รานี่กล่าว.

-ลูกชายคนที่สอง-

ดีน ลูกชายคนที่สองผู้ที่ถูกมองข้าม เปลี่ยนแปลงจากวัยรุ่นหัวรั้นที่ต้องการจะหลบหนีจากกิจการที่ตกทอดมายาวนานของครอบครัวเป็นผู้สมคบคิดที่ดิ้นรนเพื่อให้ธุรกิจของครอบครัวอยู่รอดต่อไปได้ ในบทดีน แซ็ค เอฟรอนได้เปลี่ยนตัวละครที่มีลักษณะคลาสสิกนี้ให้เป็นบทบาทของตัวเขาเอง ตัวละครดีน ที่ดิ้นรนจะเป็นอิสระจากรากเหง้าเมืองเล็กๆ และพันธะผูกพันของครอบครัว จำเป็นต้องอาศัยฝีมือและเฉดการแสดงที่น่าเกรงขาม

เอฟรอนกล่าวว่า “...กุญแจที่นำไปสู่ดีนสำหรับผมคือการหาคำตอบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อและพี่ชายของเขา เขาโกรธแค้นคนหนึ่งและรักอีกคนหนึ่ง รวมถึงความรู้สึกเหมือนโดนทอดทิ้งและแรงกระตุ้นที่ต้องการจะเป็นอิสระของเขา เขาเป็นน้องชายผู้มีความหวังว่าเขาจะสามารถทิ้งที่นี่ไปได้เหมือนกับพี่ชายของเขา แต่เขาสับสนกับชีวิตและที่ทางของตัวเองในครอบครัวนี้ ผมสนุกกับการถ่ายทอดแง่มุมมืดหม่นของดีน และผมก็วางใจให้รามินนำทางผมผ่านประสบการณ์ครั้งนี้ด้วยครับ...”

ความใฝ่ฝันของดีนในการก้าวไปเป็นดาวเด่นในแวดวงรถแข่งช่วยขยายเรื่องราวไปยังอีกแง่มุมหนึ่งของความเป็นอเมริกันและนำเอาความลุ้นระทึกชวนตื่นเต้นและแอ็กชันมาสู่เนื้อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ “...การแข่งรถเป็นการหลบหนีจากชีวิตธรรมดาๆ ของดีน บอกตามตรงนะครับ การแข่งรถทำให้ผมกลัวมาก แต่เราก็มีครูฝึกเยี่ยมๆ มาสอน และหลังจากวิ่งไปสองสามแล็บ ผมก็เริ่มจับทิศทางถูก การขับรถตะลุยเข้าไปในไร่ข้าวโพดเป็นอะไรที่บ้าสุดๆ...”

แม้ว่าชื่อและการผจญภัยของตัวละครของเขาอาจทำให้นึกถึงนักแสดงหนุ่มอีกคนที่รับบทตัวเอกผู้มีอารมณ์บูดบึ้งใน EAST OF EDEN เอฟรอนก็กล่าวว่า “...ผมได้รับแรงบันดาลใจจากพอล นิวแมนในHUDเขาก็เป็นลูกชายนอกคอกที่ชื่นชอบรถแข่งเหมือนกันครับ...”

-ผู้หญิงในเรื่อง-

เลี้ยงลูก ดูแลบัญชี ทำอาหาร เชียร์ผู้ชนะ สาวๆ ที่ห้อมล้อมตัวเอกใน AT ANY PRICE ใช้ชีวิตภายใต้ขอบเขตจำกัดเช่นเดียวกับพวกผู้ชาย ไอรีน ภรรยาของเฮนรี่ ที่รับบทโดยคิม ดิคเคนส์ ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของค่านิยมคอบครัว แต่เมื่อโลกของวิปเปิ้ลตกอยู่ในภัยคุกคาม ความรู้สึกด้านศีลธรรมของเธอกลับยืดหยุ่นอย่างน่าประหลาดใจ “...มันไม่ใช่แค่เฮนรี่และดีนเท่านั้นที่เจอปัญหา ถ้าครอบครัวเจอปัญหา ไอรีนก็จะสูญเสียทุกอย่างเช่นเดียวกัน ลูกๆ ของเธอจะสูญเสียทุกอย่าง ใครจะพร้อมเจอเรื่องแบบนั้นล่ะครับ? มันเป็นเรื่องท้าทายมากๆ ที่จะบอกว่า ‘ใช่ ฉันพร้อมที่จะยอมสละทุกอย่างเพื่อความจริง’ แล้วมันจะสร้างความแตกต่างได้จริงๆ หรือ? แล้วคนเป็นพ่อแม่จะยอมทำซักแค่ไหนเพื่อรักษาครอบครัวของพวกเขาเอาไว้ล่ะ พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าคนเราจะตอบคำถามนั้นอย่างไรในสถานการณ์นั้นน่ะครับ...” บาห์รานี่กล่าว.

ไอรีนอาจเป็นหลักพึ่งพิงที่เข้มแข็งให้กับเฮนรี่ก็จริง แต่เมเรดิธ (ฮีทเธอร์ เกรแฮม) สาวงามประจำเมืองผู้ไม่เคยได้ก้าวย่างออกจากเมือง เป็นเหมือนทางหลบหนีของเฮนรี่ “...บางครั้งผมก็ได้ยินเรื่องการนอกใจเพราะคุณเจอกับเมืองเล็กๆ และความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ทุกคนจะรู้ถึงเรื่องนั้นและมันก็เป็นเรื่องที่ยอมรับกันเพราะไม่งั้นคุณจะทำอะไรได้ล่ะครับ หย่างั้นรึ แล้วแต่งงานใหม่กับใครล่ะ บางทีมุมมองที่เป็นแง่บวกมากที่สุดอาจจะเป็นของสาววัยรุ่น คาเดนซ์ ที่รับบทโดยไมก้า มอนโร สาวงามที่เฉลียวฉลาดและไร้เดียงสา โดยเธออาจจะทำตามคำแนะนำของเมเรดิธและไปจากเมืองนี้ก็เป็นได้...” บาห์รานี่เล่า.

-กระดิ่งเตือนภัยจากไร่ข้าวโพด-

ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวของครอบครัววิปเปิ้ลก็ย้อนกลับมาสู่เรื่องราวของเกษตรกรรมมันมีวิธีการมองการทำฟาร์มสมัยใหม่ไฮเทคอย่างน้อยสองแบบที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ตามที่บาห์รานี่อธิบาย

“...เรื่องราวของเราคือวิลลี่ โลแมน โผล่ขึ้นมาจากไร่ข้าวโพดแล้วบอกว่า “ผมฆ่าตัวตายอย่างมีเหตุผลนะ! ทำไมพวกคุณถึงลืมกันไปแล้วล่ะ” วิกฤตการณ์ที่อยู่อาศัยและเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งโลก เกิดขึ้นจากการที่คนให้คุณค่าของการแผ่ขยายมากกว่าคุณค่าของครอบครัว ชุมชนและตัวของพวกเขาเอง มันไม่ได้ต่างอะไรกับวิลลี โลแมนเลย เขาเห็นคุณค่าของการมีอะไรมากกว่า การขยายตัวใหญ่กว่าเดิม มากกว่าคุณค่าชีวิตตัวเอง เขารู้ว่าสังคมไม่ได้เห็นคุณค่าเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งอีกแล้ว และผมคิดว่านั่นเป็นที่ที่เรากำลังมุ่งหน้าไปในฐานะประชาคมโลก ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้อาจเป็นกระดิ่งเตือนภัยที่ดังขึ้นจากไร่ข้าวโพดก็เป็นได้ครับ...”

ในทางกลับกัน บาห์รานี่ตั้งข้อสังเกตว่า “...ผมไม่เคยเจอใครซักคนที่บอกผมว่า ‘ผมอยากได้วันเก่าๆ กลับมา’ ทุกคนบอกผมว่า ‘ผมอยากจะอยู่ในรถแทร็คเตอร์อัตโนมัติติดแอร์ ที่สามารถขับไปได้พร้อมกับ GPS ทำไมผมถึงอยากจะทำงานหลังขดหลังแข็งด้วยล่ะ แบบนี้ดีกว่าเยอะเลย' แล’มันก็มีความขัดแย้งเกิดขึ้นครับ ความก้าวหน้านั้นต้องแลกด้วยอะไรบางอย่าง ครอบครัว   วิปเปิ้ลต้องเลือกระหว่างความจริงกับความอยู่รอด และพวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความพยายามที่จะประสบความสำเร็จให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม พวกเราแต่ละคนต้องตัดสินใจเอาเองว่าเข็มทิศศีลธรรมเราเป็นอย่างไร เราเป็นใคร และเราอยากจะอยู่ในโลกแบบไหนครับ...”

นักแสดงเปิดใจถึงผู้กำกับ... รามิน บาห์รานี่

เดนนิส เควดกล่าว “...รามินเป็นผู้กำกับที่แข็งแรงมากๆ ตอนที่เขาส่งบทเรื่องนี้ให้ผมและผมได้ดูหนังของเขา ผมก็อยากจะร่วมงานกับเขาเพราะการแสดงที่เขาดึงออกมาจากตัวนักแสดง หรือแม้แต่คนที่ไม่ใช่นักแสดงก็ตาม เขาไม่เคยปล่อยให้ผมใช้การแสดงหรือลูกไม้แบบเดิมๆ แต่เขาจะคอยกระตุ้นให้ผมทำในสิ่งที่ต่างออกไปเสมอ ผมรักการทำงานกับมือเขียนบทที่เป็นผู้กำกับด้วยเพราะพวกเขารู้ดีว่าพวกเขาต้องการอะไรครับ...”

แซ็ค เอฟรอนกล่าวเห็นพ้องด้วยว่า “...มันหาได้ยากนะครับที่เราจะได้เห็นคนที่มีความรักในหลายสิ่งหลายอย่างแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขาอาจจะสามารถทำทุกอย่างแล้วประสบความสำเร็จได้ เขาเป็นเหมือนนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องครับ...”

แม้ว่าทุนสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้จะเหลือเฟือเมื่อเทียบกับผลงานอินดีเรื่องก่อนๆ ของบาห์รานี แต่เควดก็กล่าวว่า

“...เหตุผลเดียวที่ทุกคนมาร่วมงานกันในหนังเรื่องนี้ก็เพราะพวกเขาอยากอยู่ตรงนั้นครับ ทีมงานทุกคนทุ่มเทให้กับงานตัวเองจริงๆ มันเป็นเรื่องพิเศษสุดที่ได้ร่วมงานกับรามิน แต่ไม่มีใครทำงานเพื่อเงินเลยครับ เทรลเลอร์ของผมก็คือรถของตัวผมเองเนี่ยแหละ...”

ประวัตินักแสดง

  • Dennis Quaid  (เดนนิส เคว็ด)  รับบท Henry Whipple (เฮนรี่ วิปเปิ้ล)

ในซีรีส์เรื่องแรกของเขา เควดได้แสดงในซีรีส์ดรามาทางซีบีเอสเรื่อง VEGAS ในซีรีส์นี้ที่กำกับโดยเจมส์ แมนโกลด์ เควดรับบท ‘ราล์ฟ แลมบ์’ อดีตคาวบอยผู้กลายเป็นนายอำเภอแห่งลาสเวกัสในปี 1962 เขาเป็นผู้ที่ปรับโฉมกรมตำรวจใหม่และทำให้เมืองที่ถูกปกครองด้วยบรรดาแก๊งอันธพาลและอาชญากรกลายเป็นเมืองภายใต้กฎหมาย ซีรีส์นี้ร่วมแสดงโดยไมเคิล ชิคลิสและเจสัน โอ’ มาราและได้แพร่ภาพครั้งแรกในวันอังคารที่ 25 กันยายน ปี 2012

ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ เควดได้แสดงในภาพยนตร์โดยรามิน บาห์รานีเรื่อง AT ANY PRICE ประกบแซ็ค เอฟรอนและฮีทเธอร์ เกรแฮม ที่จะฉายรอบปฐมทัศน์โลกในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสปี 2012 รวมทั้งเข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เทลลูไรด์และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต นอกจากนี้ เขายังจะได้แสดงประกบแบรดลีย์ คูเปอร์, เจเรมี ไอรอนส์และโอลิเวีย ไวลด์ใน THE WORDS อีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2012 และมีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศในวันที่ 7 กันยายน ปี 2012

นอกจากนี้ เขายังเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์โดยกาเบรียล มุชชิโนเรื่อง PLAYING FOR KEEPS ซึ่งเขาแสดงประกบเจอราร์ด บัตเลอร์, อูมา เธอร์แมน, เจสสิก้า บีลและแคทเธอรีน ซีต้า-โจนส์ และมีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 7 ธันวาคม ปี 2012 อีกด้ว ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของเขา SOUL SURFER และ FOOTLOOSE มีกำหนดเข้าฉายในปี 2011

ในปี 2010 เดนนิสได้แสดงในแฟนตาซี-ทริลเลอร์โดยโซนี สกรีน เจมส์เรื่อง LEGION ประกบพอล เบตตานีย์ นอกจากนี้ เขายังได้รับบท ‘ประธานาธิบดีบิล คลินตัน’ ในภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง THE SPECIAL RELATIONSHIP ที่กำกับโดยริชาร์ด ลอนเครน ซึ่งทำให้เดนนิสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, สมาพันธ์นักแสดงและเอ็มมี อวอร์ดอีกด้วย

เควดเริ่มแสดงตั้งแต่สมัยอยู่ไฮสคูลและเขาก็ได้ศึกษาการละครจากมหาวิทยาลัยฮูสตัน ไม่นานหลังจากที่เขามาถึงฮอลลีวูด เขาก็ได้รับบทคนชนชั้นแรงงานใน BREAKING AWAY

เควดได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมแห่งปีจากสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์กและเวทีอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและแซ็ก อวอร์ดจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์ดังปี 2002 เรื่อง FAR FROM HEAVEN

  • Zac Efron  (แซค เอฟรอน) รับบท Dean Whipple (ดีน วิปเปิ้ล)

แซ็ค เอฟรอนได้รับรางวัลมากมายจากอาชีพนักแสดงของเขา ซึ่งรวมถึงรางวัลนักแสดงดาวรุ่งแห่งปีจากโชเวสต์, รางวัลการแสดงแจ้งเกิดและนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากเอ็มทีวี มูฟวี อวอร์ด (2008) รวมไปถึงหลายรางวัลทีนชอยส์และคิดส์ ชอยส์ อวอร์ด

หลังจากนี้ แซ็คจะได้แสดงประกบนิโคล คิดแมน, จอห์น คูแซ็คและแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ในภาพยนตร์โดยลี แดเนียลส์เรื่อง THE PAPERBOY ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวพร้อมกับเสียงปรบมือกึกก้องในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปีนี้และจะเข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโต ก่อนหน้าที่มันจะเข้าฉายในเดือนตุลาคม นอกจากนี้ เขายังได้แสดงประกบอลิซาเบธ โอลเซนและอัลลิสัน แจนนีย์ในภาพยนตร์เรื่อง LIBERAL ARTS ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับและเขียนบทโดยจอช แร็ดนอร์และจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ นอกเหนือจากนั้น เขายังร่วมแสดงในดรามาเรื่อง AT ANY PRICE ซึ่งโฟกัสไปที่เรื่องของนักธุรกิจชาวนา ผู้ซึ่งแผนการของเขาสร้างปัญหาภายในครอบครัว รามิน บาห์รานีเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งนำแสดงโดยเดนนิส เควดและฮีทเธอร์ เกรแฮมและจะเข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิส, เทลลูไรด์และโตรอนโต

ในปีนี้ เอฟรอนได้นำแสดงในภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งมีหลากหลายแนวตั้งแต่คอเมดีไปจนถึงดรามา ล่าสุด เขาได้แสดงในภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง THE LUCKY ONE ที่ดัดแปลงจากนิยายโดยนิโคลัส สปาร์คส์ ในเดือนมีนาคม แซ็คได้พากย์เสียง เท็ดในภาพยนตร์อนิเมชันโดยเอ็นบีซี ยูนิเวอร์แซลเรื่อง DR. SEUSS’ THE LORAX ที่เขาพยายามจะเอาชนะใจสาวในฝัน ที่พากย์เสียงโดยเทย์เลอร์ สวิฟท์ เมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว แซ็คได้ร่วมแสดงกับมิเชลล์ ไฟเฟอร์, โรเบิร์ต เดอ นีโร, ฮัลลี เบอร์รี, เจสสิก้า บีลและฮิลลารี สแวงค์ในภาพยนตร์โดยแกรี มาร์แชลเรื่อง NEW YEAR’S EVE

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ 17 AGAIN ประกบแมทธิว เพอร์รีและเลสลีย์ แมนน์, ภาพยนตร์โยริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์เรื่อง ME AND ORSON WELLES และภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง HAIRSPRAY ซึ่งได้รับรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม ผลงานจอแก้วของเขาได้แก่บทประจำในซีรีส์วอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง SUMMERLAND, บทรับเชิญใน THE SUITE LIFE OF ZACK & CODY, ER,  THE GUARDIAN และ C.S.I. MIAMI

เอฟรอนกลายเป็นที่รู้จักจากซีรีส์โด่งดังทางดิสนีย์ แชนแนลที่ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดปี 2006 เรื่อง HIGH SCHOOL MUSICAL เขาได้กลับมารับบท ทรอย โบลตัน หัวหน้าทีมบาสเก็ตบอลอีกครั้งใน HIGH SCHOL MUSICAL 2 ซึ่งทำลายสถิติเคเบิลด้วยยอดผู้ชม 17.5 ล้านคน นอกจากนี้ เขายังได้แสดงภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง HIGH SCHOL MUSICAL 3: SENIOR YEAR ซึ่งเป็นภาคสามของแฟรนไชส์ “High School Musical” ที่ประสบความสำเร็จอีกด้วย โดย HSM3 ได้ทำลายสถิติในฐานะภาพยนตร์มิวสิคัลที่ทำรายได้เปิดตัวช่วงสุดสัปดาห์สูงสุด

แซ็คเป็นชาวนอร์ธเธิร์น แคลิฟอร์เนีย ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งก่อตั้งบริษัทโปรดักชันของตัวเองและมีโปรเจ็กต์ภาพยนตร์หลายเรื่องที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาแล้วด้วย

  • Heather Graham  (เฮทเธอร์ เกรแฮม)   รับบท Meredith Crown (เมเรดิธ คราวน์)

ฮีทเธอร์ เกรแฮมเป็นที่สนใจของบรรดาผู้กำกับจากบทแจ้งเกิดของเธอในภาพยนตร์โดยกัส แวน แซงต์เรื่อง DRUGSTORE COWBOY ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด หลังจากนั้น เธอก็ได้แสดงในภาพยนตร์คลาสสิกปี 1997 เรื่อง BOOGIE NIGHTS ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลการแสดงแจ้งเกิดยอดเยี่ยมจากเอ็มทีวี มูฟวี ออวร์ดและภาพยนตร์เรื่อง AUSTIN POWERS: THE SPY WHO SHAGGED ME ในปี 1999 นอกจากนี้ ในปี 1999 เธอยังได้รับตำแหน่งนักแสดงหญิงแห่งวันพรุ่งนี้ของโชเวสต์อีกด้วย ล่าสุด เธอได้แสดงประกบเจมส์ ฟรังโก้ใน ABOUT CHERRY ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2012 และจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 21 กันยายน

หลังจากนั้น เธอก็ได้นำแสดงในภาพยนตร์โดยรามิน บาห์รามีเรื่อง AT ANY PRICE ที่จะเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เทลลูไรด์, โตรอนโตและเวนิส ตัวละครของเกรแฮมพบตัวเองกลายเป็นคนกลางระหว่างคนรักของเธอ เดนนิส เควด และลูกชายของเขา ที่รับบทโดย แซ็ค เอฟรอน ระหว่างที่เธอต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในเมืองเล็กๆ ของเธอ

เมื่อเร็วๆ นี้ มีการประกาศว่าเกรแฮมจะกลับมารับบท เจด อีกครั้งในคอเมดียอดนิยมเรื่อง THE HANGOVER 3 เธอได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง JUDY MOODY AND THE NOT BUMMER SUMMER, 5 DAYS OF WAR, (2011) และแสดงประกบแบรดลีย์ คูเปอร์, เอ็ด เฮล์มส์และแซ็ค กาลิฟิอานาคิสในภาพยนตร์เรื่อง THE HANGOVER (2010) นอกจากนี้ เธอยังได้ร่วมแสดงกับทีมนักแสดงชั้นนำในภาพยนตร์โดยเอมิลิโอ เอสเตเวซเรื่อง BOBBY ตลอดการเป็นนักแสดงของเธอ เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับและนักแสดงที่ได้รับการยกย่องสูงสุดของวงการหลายคน การแสดงของเธอรวมถึงบทเด็กสาวตาโตใน SWINGERS ประกบจอน แฟฟโรและวินซ์ วอห์น, บทนักแสดงหญิงผู้ทะเยอทะยานในภาพยนตร์โดยแฟรงค์ ออซเรื่อง BOWFINGER ประกบสตีฟ มาร์ตินและเอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์และบทแมรี เคลลี หญิงสาวน่าสงสารในภาพยนตร์โดยอัลเบิร์ตและอัลเลน ฮิวจ์เรื่อง FROM HELL ประกบจอห์นนี เด็ปป์ รวมถึงการแสดงประกบมาริสา โทเมย์ใน THE GURU, HOPE SPRINGS ประกบโคลิน เฟิร์ธ, COMMITTED ประกบลุค วิลสัน, ภาพยนตร์รวมดาราโดยเอ็ด เบิร์นส์เรื่อง SIDEWALKS OF NEW YORK, ภาพยนตร์โดยเจมส์ โทแบ็คเรื่อง TWO GIRLS AND A GUY ประกบโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์, ภาพยนตร์เรื่อง LOST IN SPACE ประกบแกรี โอลด์แมนและวิลเลียม เฮิร์ทและ SIX DEGREES OF SEPARATION ที่นำแสดงโดยวิล สมิธ เกรแฮมได้ควบคุมงานสร้างและนำแสดงในภาพยนตร์เรื่อง CAKE โรแมนติกคอเมดีที่ร่วมแสดงโดยแซนดรา โอห์และเชอริล ไฮนส์ ในปี 2004-2005 เธอได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลามจากบทรับเชิญของเธอในซีรีส์ดังทางเอ็นบีซีเรื่อง “Scrubs” ด้านละครเวที เธอได้เปิดตัวบนเวทีออฟบรอดเวย์ในละครโดยเพลย์ไรท์ ฮอไรซันส์เรื่อง “Recent Tragic Events”

  • Kim Dickens (คิม ดิกเก้นส์) รับบท Irene Whipple (ไอรีน วิปเปิ้ล)

คิม ดิคเคนส์ เธอเปิดตัวในภาพยนตร์อินดีคอเมดีปี 1995 เรื่อง PALOOKAVILLE ที่กำกับโดยอลัน เทย์เลอร์ หลังจากนั้น ดิคเคนส์ก็ได้รับบทนางเอกในผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของไคเฟอร์ ซุทเธอร์แลนด์เรื่อง TRUTH OR CONSEQUENCES, N.M เธอได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง MERCURY RISING ก่อนที่จะแสดงประกบเบน สติลเลอร์ในภาพยนตร์เรื่อง ZERO EFFECT ในปี 2000 เธอได้ร่วมแสดงกับเควิน เบคอนและอลิซาเบธ ชูในภาพยนตร์เรื่อง HOLLOW MAN ในซัมเมอร์ปี 2001 เธอมีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติของผู้กำกับอัลลิสัน แอนเดอร์สเรื่อง THINGS BEHIND THE SUN การแสดงนี้ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ในปี 2003 ดิคเคนส์มีงานชุมทั้งจอเงินและจอแก้ว เริ่มต้นจากบทสำคัญในมินิซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง OUT OF ORDER และบทที่ได้รับการตอบรับอย่างดีในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอขื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง THE HOUSE OF SAND AND FOG

นอกเหนือจากนั้น ดิคเคนส์ยังได้รับบทตัวละครที่โด่งดัง อย่างโจนนี สตับส์ มาดามแห่งเบลลา ยูเนียนในซีรีส์ดังทางเอชบีโอเรื่อง DEADWOOD ไปจนถึงนักร้องร็อคที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ในภาพยนตร์โดยอัลลิสัน แอนเดอร์สเรื่อง THINGS BEHIND THE SUN ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ภาพยนตร์โดยแซม ไรมีเรื่อง THE GIFT ประกบเคท บลังเช็ตต์และคอเมดีโดยเจสัน ไรท์แมนเรื่อง THANK YOU FOR SMOKING ที่ร่วมแสดงโดยแอรอน เอคฮาร์ท

ก่อนหน้าการแสดงนำในภาพยนตร์โดยรามิน บาห์รานี่เรื่อง AT ANY PRICE ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของดิคเคนส์ได้แก่ FOOTLOOSE สำหรับพาราเมาท์และภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์โดยจอห์น ลี แฮนค็อกเรื่อง THE BLIND SIDE นอกเหนือากนั้น เธอยังได้รับบทประจำในซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง LOST, FRIDAY NIGHT LIGHTS และ FLASH FORWARD และเธอยังได้ร่วมแสดงในดรามาเอชบีโอโดยเดวิด ไซมอนเรื่อง TREME อีกด้วย

ประวัติผู้กำกับ

  • Ramin Bahrani (รามิน บาห์รานี่)  ผู้กำกับมือและเขียนบท

รามิน บาห์รานี่ เกิดและเติบโตในนอร์ธ แครอไลนา ภาพยนตร์ของเขาได้เปิดตัวและได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์มากมายเช่นเวนิส, คานส์, ซันแดนซ์, เบอร์ลินและโตรอนโต เขาได้รับรางวัลมากมายเช่นรางวัลฟิเพรสซีสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (MAN PUSH CART, ลอนดอน, GOODBYE SOLO, เวนิส), รางวัลอินดีเพนเดนท์ สปริต อวอร์ด “ผู้น่าจับตามอง” (CHOP SHOP) และได้รับทุนกุกเกนเฮม เฟลโลว์ชิพ เขาได้ร่วมมือกับเวอร์เนอร์ เฮอร์ซ็อกในภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง PLASTIC BAG และเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้กำกับมิวสิค วิดีโอให้กับซิเกอร์ รอส ในปี 2010 โรเจอร์ อีเบิร์ต นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชื่อดังชาวอเมริกันได้ยกย่องบาห์รานี่ว่าเป็น “ผู้กำกับแห่งทศวรรษ”

AT ANY PRICE เปิดตัวในสายประกวดในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสปี 2012 รวมถึงเทศกาลภาพยนตร์เทลลูไรด์ปี 2012 และเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตปี 2012 ในอเมริกาเหนือ

สายสัมพันธ์แห่งรัก ที่เงินซื้อไม่ได้

“At Any Price สัมพันธ์รักไม่เคยร้าง” 27 มิถุนายนนี้พร้อมให้ได้สัมผัส