4 สิ่งห้ามพลาด อุ่นเครื่องก่อนบุกแคปปิตอล
ใน The Hunger games : Mockingjay
The hunger games เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากนวนิยายแนวดิสโธเปีย ชื่อดังจากปลายปากกาของ ซูซาน คอลลินส์ ซึ่งทั้งหมด 3 ภาค คือ เกมล่าชีวิต,ปีกแห่งไฟ และ ม็อกกิ้งเจย์ โดยในภาคหลังได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 พาร์ทและกำลังจะใกล้มาถึงช่วงแห่งการปิดตำนานมหากาพย์ภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่นี้ลงแล้ว แต่ก่อนที่เราจะไปพบจุดจบของเรื่องราว วันนี้เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์จะพาทุกคนไปวิเคราะห์เจาะลึกถึงสิ่งที่แฝงไว้หลังปีกแห่งไฟใน The hunger games ที่นอกจากความมันส์และลุ้นระทึกแล้ว หนังยังซ่อนอีกหลายประเด็นชวนคิดไว้อีกมากมาย
เรื่องย่อ
The hunger games ว่าด้วยเรื่องราวของประเทศสมมตินามว่า พาเน็ม ซึ่งแบ่งเขตการปกครองเป็น 13 เขต โดยมีศูนย์กลางของอำนาจอยู่ที่แคปปิตอล ซึ่งวันหนึ่งเกิดการกบฎของเขต 13 ทำให้แคปปิตอลต้องทำลายเขตนั้นจนสูญสลายไป และใช้วิธีการกำราบอีก 12 เขตที่เหลือด้วยการจัดเกมล่าชีวิตเพื่อเป็นการเตือนใจให้ทุกคนภายใต้การปกครองของแคปปิตอลได้ตระหนักรู้ถึงอำนาจที่สามารถควบคุมพวกเขาได้ โดยกฎของเกมล่าชีวิตคือแต่ละเขตจะต้องส่งตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันฆ่ากันเองจนเหลือผู้อยู่รอดเพียงคนเดียว โดยเรื่องราวพลิกผันเริ่มขึ้นเมื่อ แคตนิส เอฟเวอร์ดีนและพีต้า เมลลาร์ค ได้เป็นตัวแทนเขตที่ 12 เข้าร่วมการแข่งขันพร้อมเย้ยกฎของแคปปิตอลจนทำให้มีผู้ชนะในเกมถึง 2 คน หลังจากเกมครั้งนั้นกลายเป็นสัญญาณส่งถึงคนในพาเน็มได้รับรู้ว่า พวกเขามีโอกาสต่อรองอำนาจกับแคปปิตอล รวมถึงมีความหวังที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการแห่งอำนาจ
พาเน็ม สังคมใหม่ ในรูปแบบดิสโทเปีย
The Hunger Games คุมธีมเรื่องทั้งหมดด้วยความเป็นดิสโทเปีย คือการสร้างสังคมจำลองขึ้นมาแบบใหม่ที่พัฒนาไปทางใดทางหนึ่งอย่างสุดโต่ง มีสภาการควบคุมของสังคมที่เข้มงวดเต็มไปด้วยกฎระเบียบที่เคร่งครัด รุนแรง เพื่อสะท้อนให้เห็นข้อดี ข้อเสียของสังคมแบบนั้นๆ ซึ่งต่างจากภาพสังคมในอุดมคติหรือ ยูโทเปีย โดยวรรณกรรม นวนิยายและภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับดิสโทเปีย มักจะฉายให้เห็นภาพของเผด็จการและอำนาจเบ็ดเสร็จ ซึ่งในเรื่องนี้ก็หมายถึงสังคมของพาเน็ม ที่เต็มไปด้วยความเคร่งครัดของกฎมีระบบระเบียบการปกครองที่สุดกดดันเพื่อป้องกันการลุกฮือ มีการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางคือแคปปิตอล
การตีกระทบวงการบันเทิงและการเสพเรียลิตี้
ในภาพยนตร์เรื่อง Hunger Games เสียดสีสังคมโลกที่มักเสพสิ่งบันเทิง โดยมุ่งเน้นตีกระทบไปที่การเสพรายการประเภทเรียลลิตี้ที่มักเอาคนเข้ามาไว้ในรายการผ่านสถานการณ์จริง มีบททดสอบและโจทย์ให้ โดยไม่มีบท ไม่มีสคริปต์เพื่อหาผู้ชนะ ซึ่งในหนังมีการถ่ายทอดการแข่งขันเกมล่าชีวิตออกไปทั่วพาเน็ม ซึ่ง ซูซาน คอลลินส์ เขียนเรื่องนี้ระหว่างที่เธอเปิดทีวีเจอข่าวสงครามอิรักในขณะที่อีกช่องหนึ่งเป็นเรียลิตี้โชว์ ทำให้เธอเอาสองอย่างมาผสมกันและมันไม่ใช่รายการที่จบแล้วคัดคนตกรอบแต่มันหมายถึงชีวิตของผู้เข้าร่วมรายการ แม้จะเป็นความบันเทิงของคนดู แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าอันไหนเรื่องจริง อันไหนคือรายการ ซึ่งฉากเหล่านี้ปรากฎให้เห็นตลอดการแข่งขัน Hunger Games ทั้งสองภาค
โฆษณาชวนเชื่อ เข้าถึงคนดูหมู่มาก สงครามที่มีสื่อเป็นอาวุธ
ใน The Hunger Games: Mockingjay : Part 1 สะท้อนออกมาอย่างเห็นได้ชัดเกี่ยวกับสงครามสื่อที่แต่ละฝ่ายใช้ปลุกระดมและสร้างความชวนเชื่อให้แก่คนในสังคม โดยที่แคปปิตอล ก็มีการออกแถลงการณ์ผ่านทางแคปปิตอลทีวีเพื่อสร้างความเข้าใจและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแคปปิตอลเอง ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งใช้แคตนิส เป็นสัญลักษณ์ม็อคกิ้งเจย์ นกแห่งความหวังเพื่อเป็นตัวเชื่อมสื่อไปยังมวลชนที่อยู่ในพาเน็ม โดยมีการเผยให้เห็นขั้นตอนการถ่ายทำโฆษณาที่จะถูกส่งไปยังเขตต่างๆ ที่สร้างความหวังให้กับคนในพาเน็มและหันเข้ามาร่วมต่อต้านแคปปิตอลมากขึ้น นอกจากนี้ในหนังยังมีการใช้บทเพลงเป็นสื่อในการปลุกระดมในการลุกฮือในครั้งนี้ นั่นคือเพลงThe Hanging Tree ที่แคตนิสร้องเสียงเดียวตอนแรกและหลังจากนั้นก็เริ่มมีเสียงของมวลชนมาสมทบในตอนหลัง